๓ วนเวียนกลับมาพบอีกครั้ง (๑)
๓
วนเวียนกลับมาพบอีกครั้ง
จอดรถหน้าร้านแล้วนิ่งคิด เห็นลูกค้าอยู่ในนั้นสามถึงสี่คน เขาไม่อยากเข้าไปแออัดจึงเลือกจะหันไปถามพี่สาวที่ถอดสายรัดเข็มขัด เธอนัดเพื่อนไว้ตั้งแต่เมื่อวานและพยายามหาจังหวะรีบออกจากวัด ช่วงนี้เวลาว่างก็มักมาขลุกอยู่ร้านดอกไม้
เหมือนคลายความกังวลจากงานที่ได้รับมอบหมาย เธอไม่ใช่คนเก่งเหมือนน้องชาย ต้องเรียนรู้และพยายามอย่างมาก ใช้ทักษะทุกอย่างจนมีตำแหน่งใหญ่โต อำนาจที่แบกไว้บนบ่ามันหนักอึ้งจนต้องหาที่ผ่อนคลาย
“พี่จะกลับกี่โมง เดี๋ยวผมจะแวะมารับ” ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงแล้วและคิดว่าพี่สาวคงอยากใช้เวลากับเพื่อนนานสักหน่อย
“น่าจะช่วงเย็นเพราะต้องไปงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของคุณพ่อไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ไปมีหวังโดนดุเป็นสัปดาห์แน่” แน่นอนว่าบ้านฤกษ์เดชาจัดงานเลี้ยงฉลองครบหกสิบปีของประธานบริษัท จะขาดลูกชายลูกสาวผู้เป็นอีกกำลังสำคัญได้อย่างไร
“ถ้างั้นเจอกันสี่โมงเย็น เดี๋ยวผมมารับ” ยืดเวลาอยู่ข้างนอกอีกหน่อย กลับบ้านไปก็ไม่สงบเพราะทุกคนกำลังยุ่งกับการเนรมิตบ้านหลังใหญ่ให้กลายเป็นงานเลี้ยง
“โอเค”
หล่อนโบกมือลาน้องชายแล้วลงจากรถซีดาน ก้าวเท้าเข้าไปในร้านดอกไม้ของเพื่อน ส่วนทิวากรขับรถออกจากหน้าร้านเพื่อไปคอนโดมิเนียมของ อหัสกรที่เพิ่งโทรคุยกัน
ร่างหนาลงมารับคนที่แวะเวียนมาหา เหมือนไม่มีที่ไปและห้องของเขาเป็นสถานที่พำนักชั่วคราว อหัสกรปิดปากหาวแล้วพาคนตัวสูงเข้ามาในห้องของตนเอง
เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวจึงแยกตัวออกมาอยู่คนเดียว กลับบ้านเป็นบางครั้งถ้ามารดาโทรตามหรือน้องสาวถามหา เขามักจะไปรับไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัยบ้าง..ถ้าว่าง ความหวงน้องสาวขึ้นชื่อที่หนึ่งอาจเนื่องจากตนเป็นพวกเจ้าชู้ จึงไม่อยากให้มุกดาเจอคนประเภทเดียวกับตนให้ช้ำใจเปล่าๆ
“ทำไมโผล่มาได้วะ วันนี้งานเลี้ยงฉลองวันเกิดพ่อมึงไม่ใช่หรือไง” เปิดประตูต้อนรับแล้วถอดรองเท้าไว้ที่ชั้นวาง สวมสลิปเปอร์ก่อนนั่งลงบนโซฟากลางห้อง
คอนโดมิเนียมแห่งนี้อยู่ใจกลางเมือง พื้นที่ต่อตารางเมตรค่อนข้างแพง ถึงราคาห้องจะอยู่ที่แปดหลักแต่ขนาดความกว้างก็ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ดีตรงที่ความอำนวยสะดวกครบครันและแยกห้องเป็นสัดส่วน
“อย่าให้พูดเลย วันนี้กูต้องตื่นเช้าไปวัดไม่พอยังถูกแม่จับคู่กับลูกของเพื่อนอีก กว่าจะหนีออกมาได้” แขกสุดหล่อเข้าห้องครัวแล้วหยิบขวดน้ำออกมาดื่มพลางถอนหายใจ ดีที่พี่สาวมีธุระต้องไปจึงใช้ข้ออ้างนั้นติดสอยห้อยตามออกมาด้วย
ถึงรู้ว่าเย็นนี้จะเจอกับการถูกพาไปแนะนำตัวก็เถอะ ขอพักหายใจสักหน่อยแล้วกัน
“แล้วตอนเย็นจะหนีพ้นเหรอ ได้ข่าวว่าพ่อมึงจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตเลยนิ งานนี้ลูกท่านหลานเธอคงเดินล้อมมึงหน้าหลังแน่” แค่คิดก็อยากแดดิ้นเหมือนเด็กสามขวบ ความเจ้าชู้ของเขาไม่ได้มีไว้ใช้กับคนระดับเดียวกัน
สิ่งที่กลัวตอนนี้คือการถูกผูกมัดโดยไม่เต็มใจ หากเกิดเรื่องเกินเลยขึ้นสาบานได้เลยว่าคุณเธอทั้งหลายจะต้องจับเขาให้อยู่หมัดแล้วคล้องแขนเข้าประตูวิวาห์
ซึ่งทิวากรไม่เต็มใจ!
“ใครจะกล้าเข้ามาวะ กูสร้างข่าวฉาวไว้ขนาดนั้น” ลุกจากโซฟาแล้วเดินไปเลื่อนลิ้นชักโต๊ะทีวี หยิบเครื่องเล่นเกมออกมาเพราะรู้แล้วว่าวันนี้จะทำกิจกรรมอะไร
“กูล่ะยอมมึงจริงๆ สร้างข่าวเพื่อให้ตัวเองหลุดจากการหาคู่ ตอนแรกกูก็คิดว่าคงไม่มีแม่คนไหนอยากเอาลูกมาประเคนให้มึงแล้วแต่ยังมีเล็ดลอดว่ะ เออๆ น้องขวัญดาราขวัญใจวัยรุ่นนี่ยังไง มึงกิ๊กกับเขาหรือเปล่า”
มีเพียงเพื่อนเท่านั้นที่รู้ว่าความเจ้าชู้ของทิวากรก็แค่ข้ออ้างเพื่อหนีการถูกคลุมถุงชน ถึงเขาจะมีคู่นอนบ้างหรือวันไนท์แสตนด์แต่คนเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในสังคมเดียวกัน แค่คืนเดียวก็จบไม่สานสัมพันธ์หรือกินซ้ำสอง
ถึงจะมีบางคนที่พยายามติดต่อมาก็ตาม เขาเลือกตัดออกหมดเพราะทุกอย่างมันก็แค่เรื่องทางกายไม่มีหัวใจเข้ามาเกี่ยวข้อง
ราวกับว่าหัวใจของเขาด้านชาไปแล้ว
“ขวัญ..ไม่นะ แค่รู้จักกันแล้วก็คุยช่วงหนึ่ง แต่เหมือนเขาพยายามเข้าหากูมากเกินไปเลยเลิกคุยแล้ว” เกือบลืมหล่อนไปด้วยซ้ำจนต้องนึกหน้าสักพัก
เดินกลับมานั่งข้างเพื่อนสนิทแล้วเริ่มเลือกเกมแสนสนุก เกือบลืมความเป็นตัวตนหลังเข้าทำงานที่บริษัทของครอบครัว ต้องปั้นหน้าขรึมทำงานเคร่งเครียด ทุกอย่างเป็นเงินเวลามีค่าจนเขาไม่ได้ทำอะไรตามใจปรารถนา
“แล้ววันนี้จะทำอะไร” เจ้าของห้องเดินไปหยิบขนมมากิน วันหยุดเขาก็ไม่อยากทำอะไรเหมือนกันนอกจากนั่งเล่นที่ห้อง
“เล่นเกม มีเวลาว่างทั้งทีก็ขอหน่อยเถอะ มึงมาแข่งกับกูเลย..แล้วนี่ไอ้ปีย์ไม่มาเหรอ” ถามถึงเพื่อนอีกคนที่มักจะมาขลุกอยู่ด้วยกัน
ปีย์มนัส อาจหาญชัยที่คบหากันมาตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมศึกษาจนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เป็นกลุ่มก้อนที่ทุกคนต่างขนานนามว่าหล่อคูณสี่ ทั้งทิวากรผู้สง่างาม อหัสกรผู้ร่าเริง ปีย์มนัสที่แสนเย็นชาและสราวุฒิแสนอบอุ่น ซึ่งหนึ่งในสี่แต่งงานไปแล้ว
จึงเหลืออีกสามคนที่ยังไม่มีเจ้าของหัวใจ นอกจากอหัสกรที่ขยันมีคนคุยเสียเหลือเกิน กิ๊กเยอะจนสลับรางแทบไม่ทัน
“ไม่นะ เห็นว่ามันพาแพรไปทำธุระ” สองคนนี้ค่อนข้างสนิทกัน จนบางทีทิวากรยังคิดว่าเป็นแฟนแต่แพรวลัยให้การปฏิเสธเสียงแข็ง
“อ้อ มีไรกินไหม ไปหาอะไรมาให้กินหน่อย”
“อ้าวไอ้เหี้ย ห้องก็ห้องกู เกมก็เกมกู ยังต้องไปหาข้าวหาน้ำให้คุณผู้ชายรับประทานอีกหรือขอรับ นี่กระผมเป็นเพื่อนหรือขี้ข้าเอ่ย” หยอกล้อกันเป็นปกติ และดูเหมือนอหัสกรจะรู้คำตอบดี
“ไปหามาเร็วขี้ข้า” หลุดหัวเราะแล้วตบบ่าของทิวากรดังปัก ทำเอาไหล่แทบทรุด
“ซึ้งใจ คบมาสิบปีเพิ่งรู้ว่าเป็นขี้ข้ามึงก็ตอนนี้แหละ อยากแดกไรเดี๋ยวสั่งให้”
“ขอแบบกินง่ายๆ ไก่ทอด แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่าก็ได้มึงสั่งมาเถอะ”
“จัดไปครับเพื่อน” แล้วช่วงบ่ายพวกเขาก็แทบไม่ลุกไปไหน เอาแต่นั่งเล่นเกมอยู่อย่างนั้นพลางส่งเสียงเชียร์อย่างสนุกสนาน และพิซซ่าขนาดสามถาดที่หมดเกลี้ยง ไหนจะไก่ทอดกล่องใหญ่จนไม่น่าเชื่อว่าจะกินแค่สองคน สงสัยกระเพาะของพวกเขาคงเป็นหลุมดำ ดูดเข้าเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ
ถึงช่วงเย็นที่นัดกับพี่สาว เขาพยายามโทรหาอีกฝ่ายขณะที่ขับรถมาร้านดอกไม้ จนจอดซีดานอยู่ข้างหน้าก็ไม่มีสัญญาณตอบรับจากปลายสาย พรูลมหายใจเริ่มหงุดหงิดนารากานต์ มองเข้าไปในร้านก็ไม่เห็นใครสักคน
สงสัยไม่มีลูกค้า...
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์เนี่ย เฮ้อ” บ่นพึมพำกับตัวเอง แล้วเริ่มกดโทรออกเป็นรอบที่สี่จนได้ยินเสียงหวานของโอเปอร์เรเตอร์ แทบจะโยนโทรศัพท์ทิ้งอย่างหงุดหงิดแต่พอนึกได้ว่ามีข้อมูลสำคัญจึงต้องยั้งตัวเองเอาไว้
“ไม่รับจริงๆ ใช่ไหมพี่หนึ่ง รับสิโว้ยคนมันขี้เกียจลงไปตาม” ทุบพวงมาลัยไปหนึ่งทีระบายอารมณ์ ใช้เวลาสักพักกับการโทรออกจนเหนื่อย ร่างหนาตัดสินใจปลดสายเข็มขัดนิรภัยแล้วมองเข้าไปในร้านดอกไม้ที่ดูเงียบเชียบ
“ลงก็ลงวะ” ตัดสินใจกับตัวเองแล้วเปิดประตูรถ รองเท้าผ้าใบราคาหลายหมื่นแตะลงบนพื้น ขายาวภายใต้กางเกงยีนส์สีซีดก้าวเข้าไปข้างใน เขาสวมชุดไปรเวททำให้ค่อนข้างต่างจากลุคไปทำงานจนเหมือนคนละคน
ประตูร้านถูกเปิดออกพร้อมเสียงกระดิ่ง ดวงตาคมสอดส่ายหาพี่สาวที่บอกว่าจะมาอยู่กับเพื่อน เขาก็ลืมถามว่าเพื่อนคนไหน เพราะส่วนมากไม่ค่อยเห็นนารากานต์สนิทกับใครสักคน แทบไม่พูดถึงเพื่อนให้ฟังด้วยซ้ำ
ร้านดอกไม้ยังเหมือนเดิม แตกต่างตรงไม่มีเด็กหญิงที่คอยทำหน้าเชิดแล้วปากยื่นใส่เขา คิดอย่างขบขันที่คนอายุน้อยมักทำท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ชักอยากรู้แล้วสิว่าคนเป็นแม่สอนอย่างไร
“อ้าว มาเมื่อไหร่” ไม่เห็นใครสักคนในร้านกระทั่งพนักงาน แต่ไม่นานพี่สาวของเขาก็เดินออกมาจากด้านหลังของร้านพร้อมทักทายด้วยรอยยิ้ม ต่างจากร่างสูงที่หน้าบูดบึ้งเพราะโทรมาเท่าไหร่นารากานต์ก็ไม่รับ
“โทรหาเป็นสิบกว่าสายแล้วเถอะ ทำไมไม่รับ” เสียงตึงจนคนอายุมากกว่าต้องแสร้งทำท่าตกใจอย่างน่ารักเผื่อน้องจะเห็นใจและลดความโกรธลงบ้าง
“อุ้ย ชาร์ตไว้บนห้องสงสัยจะลืม ซอรี่นะจ๊ะน้องชาย” ถึงกับต้องส่ายหัวแล้วถอนหายใจเสียงดังไม่ปิดบังว่าเอือมระอาแค่ไหน
“กลับได้แล้ว แม่โทรตามเกือบร้อยสายจนจะไหม้” รีบชวนกลับบ้านเพราะน้ำเสียงตอนรับสายมารดาดุจนเห็นภาพท่านถือไม้เตรียมหวดก้นถ้ายังไม่กลับถึงบ้านในเวลากำหนด ร่างหนาไม่เข้าใจเหตุใดแม่จะต้องเข้มงวดทำเหมือนพวกเขายังเป็นเด็กไร้เดียงสา
ทั้งที่พี่สาวก็ล่วงเลยเข้าวัยเลขสาม ส่วนเขาอีกไม่กี่เดือนก็จะสามสิบ ตำแหน่งในบริษัทก็ใหญ่โตน่าจะสามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้แล้ว
นารากานต์พยักหน้าแล้วรีบขึ้นไปชั้นสองเพื่อหยิบโทรศัพท์ คว้ากระเป๋าสะพายมาถือก่อนหย่อนเครื่องมือสื่อสารลงในนั้น ไม่วายตะโกนเรียกเจ้าของร้านที่อยู่ข้างหลังร้าน
“เนเน่ เน่ ฉันจะกลับแล้วนะ” ชื่อนั้นสะดุดหูของร่างสูง แต่ก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดออกไป ยืนนิ่งเหมือนหุ่นเช่นเดิม จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้ากระชั้นชิดที่ก้าวเข้ามาใกล้ ราวกับอีกฝ่ายกำลังเร่งรีบเพื่อให้ทันคนที่กำลังจะกลับบ้าน
ใบหน้าผุดผ่องปรากฏสู่สายตาคมดุจเหยี่ยว จ้องมองหล่อนแล้วนิ่งไปชั่วขณะ เจ้าของร้านดอกไม้ไม่ทันสังเกตคนที่ยืนเยื้องออกไป หล่อนยัดกล่องขนมที่เพิ่งอบและตัดอย่างเรียบร้อยพร้อมรับประทานให้เพื่อนกลับบ้าน