๒ ไม่ถูกชะตาเอาซะเลย (๒)
“ไม่! ไม่ต้องบอกมันยิ่งดี ฉันจะช่วยเลี้ยงหลานเอง แกน่ะควรจะเจอคนที่ดีกว่านี้ ฉันจะช่วยปิดเรื่องนี้เป็นความลับไอ้อ้นจะได้ไม่มายุ่งกับแก” หมายมาดเอาไว้และคิดว่าจะทำอย่างนั้นจริง เธอจะไม่ให้เศษขยะเข้ามาในชีวิตของเพื่อนอีก
“ขอบใจมากนะหนึ่ง” วรรณวรินไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เธอขอโทษอดีตแฟนหนุ่มในใจที่เอาเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วขอบคุณเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ยังอยู่เคียงข้างถึงจะไม่ได้เจอกันนานหลายปี ความรู้สึกก็ไม่เคยแปรเปลี่ยนเลย
“สบายมากเพื่อน” สองสาวรับประทานอาหารด้วยกันจนอิ่ม แล้วนารากานต์ก็มาช่วยเพื่อนทำงานเล็กๆ น้อยๆ
ต่อจากนี้ร้านดอกไม้คงเป็นที่ประจำของหล่อนแล้วล่ะ...
เมื่อภรรยาของเพื่อนเพิ่งคลอดลูก เขาก็ต้องไปเยี่ยมสักหน่อยแต่ก่อนที่จะไปโรงพยาบาลทิวากรเลือกแวะห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของใช้เสียก่อน จะไปตัวเปล่าเล่าเปลือยได้อย่างไร ต้องหาของขวัญที่มันพิเศษเพื่อต้อนรับหนูน้อย
“นายจะซื้ออะไร” ร่างโปร่งหันมาถามเมื่อตัดสินใจไม่ได้ว่าควรซื้ออะไรไปให้เด็กที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้สองวัน
แพรวลัย การกิจรุ่งเป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันตั้งแต่ประถม เรียนด้วยกันมาตลอดจนถึงปริญญาโท ขนาดเขาบินไปต่างประเทศหล่อนยังเลือกจะบินไปเรียนด้วยเลย สนิทสนมจนหลายคนคิดว่าพวกเขาคบกัน
แต่ความจริงไม่ใกล้เคียงเลย ทิวากรยังวางหล่อนเป็นแค่เพื่อนสนิท และไม่คิดพัฒนาความสัมพันธ์ให้มันยุ่งเหยิงมากกว่าที่เป็น ตนชอบจะพูดคุยและวันไนท์แสตนด์กับคนไม่รู้จักมากกว่า
โดยไม่รู้ว่ามันสร้างความเจ็บปวดให้คนที่ทำได้เพียงมอง...โดยไม่มีสิทธิห้ามหรือหวงเพราะเป็นเพียงแค่เพื่อนสนิท
“ลูกมันผู้หญิงหรือผู้ชายนะ” ลืมถามไปเสียสนิทว่าลูกของอีกฝ่ายเพศอะไร เขาจะได้เลือกของถูกว่าต้องซื้อแบบไหน
“ผู้หญิง”
“นิทานแล้วกัน” ตัดสินใจทันทีเมื่อผ่านร้านหนังสือ กำลังจะเลี้ยวเข้าแต่แขนหนาก็ถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน
“เด็กเพิ่งคลอดอ่านไม่ออกหรอก ทำไมไม่ซื้อเสื้อผ้าหรือไม่ก็ของใช้จำเป็นล่ะ” แย้งอย่างมีเหตุผลแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ร่างหนาเปลี่ยนใจสักนิด
“ของพวกนั้นไอ้วุฒิมันมีหมดแล้วล่ะ ฉันว่านิทานมันยังไม่มี” ไตร่ตรองเพียงครู่เดียวก็ตอบออกมา ทำเอาหล่อนไม่สามารถขัดได้เลย จำต้องพยักหน้าแล้วปล่อยแขนเขาให้เป็นอิสระ ถึงจะรู้สึกเสียดายก็ตาม
บางทีก็อยากสารภาพรักให้มันรู้แล้วรู้รอด ดีกว่าแอบชอบข้างเดียวแล้วมองเขารักกับคนอื่นให้เจ็บหัวใจ ถึงทิวากรจะโสดมาหลายปีแต่ก็ไม่มีอะไรมาการันตีว่ามันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป เมื่อมีหญิงสาวมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาหาเขาไม่ขาดสาย
ลูกชายคนเดียวของบ้านฤกษ์เดชาใครบ้างจะไม่อยากเข้าหา RDC Group เป็นเครือขนาดใหญ่ที่ครอบครองธุรกิจกว่าแสนล้านบาทครอบคลุมด้านโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรมและให้บริการด้านดิจิทัล
ทิวากรนั่งบอร์ดบริหารได้ไม่กี่ปี โดยมีพี่สาวอย่างนารากานต์เป็นหนึ่งกรรมการเช่นเดียวกัน พวกเขายังไม่พร้อมนั่งตำแหน่งประธานหรือรองประธาน แต่คาดว่าอีกไม่นานคงได้ขึ้นเพราะคุณทวีป ฤกษ์เดชาอยากเกษียณเต็มแก่
“โอเค ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปซื้อผ้าอ้อม ถ้าเสร็จแล้วเดี๋ยวเจอกันร้านหนังสือนะ” ตกลงกันเรียบร้อยจึงเดินแยกทาง
ชายหนุ่มเข้ามาในร้านหนังสือแล้วเดินไปโซนนิทานสำหรับเด็ก เขาเองไม่เคยอ่านอะไรแบบนี้และจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเคยได้ฟังแม่อ่านหนังสือพวกนี้หรือเปล่า เพราะในความทรงจำอันน้อยนิดของเขาวัยเด็กไม่ค่อยได้อยู่กับพ่อแม่เท่าไหร่
พวกท่านทำงานหนักกลับบ้านค่ำออกไปแต่เช้า เจอหน้ากันนับครั้งได้ส่วนมากก็อยู่กับพี่เลี้ยงหรือพี่สาว แต่นารากานต์ก็มีโลกของตัวเองไม่ค่อยยุ่งกับน้องที่ชอบเล่นแรงเท่าไหร่ เขาจึงต้องไปเล่นกับเพื่อนแถวบ้านแทน
“เจ้าหญิงเหรอ...เออ น่าสน” อ่านชื่อนิทานไปเรื่อยแล้วสะดุดตาที่นิทานเรื่องเจ้าหญิงเลอโฉม ด้วยภาพสวยและชื่อดึงดูด เขากำลังจะเอื้อมมือไปหยิบแต่ดันมีคนชิงตัดหน้าไปก่อน
“ของหนู” หยิบหนังสือนิทานมากอดเอาไว้แน่น คนที่ย่อตัวลงเพื่อดูหนังสือหันมาตามเสียงเล็กก็พบเด็กหญิงที่เขาเคยเจอเมื่อสัปดาห์ก่อน ใบหน้าบูดบึ้งจ้องมองชายหนุ่มไม่ลดละ เห็นอย่างนี้ก็มั่นใจว่าไม่ใช่แค่ตนที่จำได้
อีกฝ่ายก็น่าจะจำเขาได้เหมือนกัน
“อ่ะ เด็กสตรอว์เบอร์รี่นิ” กลายเป็นชื่อเล่นไปเสียแล้ว ทำเอาศศิมณฑลหน้าบึ้งยิ่งกว่าเดิม ถึงจะชอบไอศกรีมรสนั้นแต่ก็ไม่ได้อยากชื่อสตรอว์เบอร์รี่นี่นา
“ไม่ได้ชื่อนั้นสักหน่อย”
“แล้วชื่ออะไร” หลอกถามกลับถึงจะพอรู้ว่าเด็กน้อยชื่อยิหวาเพราะได้ยินคนในร้านเรียกอย่างนั้น
“ไม่บอก แม่ไม่ให้ยุ่งกับคนแปลกหน้า” สะบัดหน้าไปทางอื่นกลายเป็นคนแสนงอน เรื่องที่โดนแย่งไอศกรีมยังจำฝังใจ คราวนี้ดันมาหยิบหนังสือเล่มเดียวกันอีก ถ้าเธอช้าไปแม้เสียววินาทีต้องโดนลุงหน้าเป็ดแย่งไปแน่เลย
โชคดีที่คว้ามาได้ทัน เพิ่งเจอของถูกใจเพราะหน้าปกสวย อยากให้แม่อ่านกล่อมตอนนอน
“นี่ เราเป็นคนแปลกหน้ากันที่ไหน เคยเจอที่ร้านดอกไม้แถมยังเลี้ยง..เฮ้อ เอาเถอะ จะเอาเล่มนี้เหรอ” ชี้ไปยังหนังสือที่ถูกคนตัวเล็กกอดเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เหมือนกลัวว่าจะถูกขโมยไปต่อหน้าต่อตา
ทิวากรอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดู แต่เขาก็สนุกที่ได้แกล้งมากกว่าเพราะใบหน้าเล็กยามงอง้ำมันช่างน่ารักน่าชังเสียจริง
“ใช่”
“ฉันก็จะเอาเหมือนกัน” บอกพลางยกมือขึ้นกอดอกเหมือนอีกฝ่าย ไม่มีท่าทีจะยอมกันสักนิด
“ลุงก็เอาเล่มอื่นสิ มีตั้งหลายเล่ม” ชี้ไปยังชั้นที่วางหนังสือเรียงราย แต่ยังไม่มีเล่มไหนถูกใจเขาเลยสักเล่ม นอกจากเล่มที่เด็กน้อยกำลังถืออยู่นั่นแหละ
แถมมันยังเหลือแค่เล่มเดียวอีกต่างหาก สงสัยขายดิบขายดีเพราะหน้าปกที่วาดสวยงาม จนต้องตาเด็กหญิงทั้งหลาย
“หลายเล่มอะไร นี่เหลือเล่มเดียวแล้ว เอาอย่างนี้ไหม...เรามาเป่ายิงฉุบกัน ใครชนะได้เล่มนั้นไป” เตรียมท่าจะเป่ายิงฉุบแต่หนูน้อยกลับส่ายศีรษะ ทำไมต้องทำอะไรเสี่ยงแบบนั้นด้วยเมื่อนิทานอยู่ในมือของเธอแล้ว
“ไม่เอา หนูเจอก่อน”
“แต่ฉันเจอก่อนนี่นา กำลังจะหยิบเธอก็มาแย่งไป” ไม่ลดราวาศอกให้เด็ก แต่การถูกเรียกว่าลุงก็ทำเอาทิวากรหมดความมั่นใจในตัวเองเหมือนกัน หน้าเขาออกจะอ่อนเยาว์ยังดูแก่จนเป็นลุงได้อีกเหรอ
แต่ก็ดีกว่าถูกเด็กเรียกว่าตานั่นแหละ...ถ้าเป็นแบบนั้นเขารับไม่ได้หรอกนะ
“ไม่” ยืนยันเสียงแข็งไม่ยอมแพ้
“เอาน่า ครั้งเดียวก็ได้ ยันยิงเยา..” เตรียมจะออกค้อนแต่เหมือนหนูน้อยจะไม่เล่นด้วย ยังพูดไม่ทันจบก็มีคนมาขัดจังหวะเสียก่อน จนเขาต้องหันไปมองพลางทำหน้ายู่ไม่ชอบใจ อุตส่าห์ได้แกล้งเด็กน้อยทั้งที คิดว่าอย่างไรตนก็ต้องเอาชนะได้แน่นอน
“เล่นอะไรน่ะ” แพรวลัยเห็นเพื่อนสนิทนั่งคุยกับเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าชังก็เข้ามาทัก แต่ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ที่เห็นทิวากรกำลังพูดคุยกับคนอายุน้อยกว่า
ปกติเขาเป็นคนชอบเด็กซะเมื่อไหร่ล่ะ หาเรื่องแกล้งตลอดตั้งแต่คนรู้สนิทสนม ยันเพิ่งเคยเจอแค่ครั้งแรก สงสัยเป็นพวกซาดิสท์ชอบเห็นเด็กร้องไห้หรือโวยวาย
“อ้าวแพร มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไหนบอกจะไปซื้อผ้าอ้อม” ยืนเต็มความสูงหลังจากที่เล่นกับเด็กหญิงมาสักพักแล้ว
“ฉันซื้อเสร็จเมื่อกี้เลยเดินมาหานาย นี่กำลังทำอะไรอยู่ อย่าบอกนะว่าแย่งของเด็ก” พูดส่งเดชแต่ไม่คิดว่าเพื่อนสนิทจะทำอย่างนั้นจริง
ผู้ชายตัวใหญ่แย่งนิทานจากเด็กเนี่ยนะ...บ้าไปแล้ว
“พี่คะ คุณลุงคนนี้จะแย่งนิทานของหนูค่ะ” แต่เพื่อนเธอก็ทำอย่างนั้นจริง เล่นเอาแพรวลัยแทบจะยกมือขึ้นกุมขมับ
ดวงตาเรียวเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เมื่อกี้ถ้าเขาหูไม่ฝาดได้ยินเด็กตรงหน้าเรียกร่างบางว่าพี่ แต่กลับใช้สรรพนามแทนตัวเขาว่าลุงอย่างนั้นเหรอ มันไม่ดูตลกเกินไปหรือไง หน้าตาหล่อเหลาปานเทพบุตรจะถูกเรียกว่าลุง
ตอนแรกก็พยายามทำใจยอมรับ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าโดนเด็กเล่นเข้าให้เสียแล้ว
“หะ ทำไมเธอเรียกยายนี่ว่าพี่แล้วเรียกฉันลุงล่ะ พวกฉันอายุเท่ากันนะ” เรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง อายุเขาคงไม่มากจนเป็นคุณลุงได้หรอก หรือถึงจะมากกว่าแม่ของเด็กน้อยก็น่าจะให้เกียรติใบหน้าอันอ่อนเยาว์โดยการเรียกว่าอาหรือน้าก็ได้
“ก็หน้าลุงแก่กว่า” ศศิมณฑลไม่ยอมแพ้ กอดหนังสือนิทานแน่นแล้วโต้กลับอย่างลอยหน้าลอยตา ความจำของเด็กหญิงดีเลิศจึงไม่ลืมว่าคนตรงหน้าทำการแย่งไอศกรีมของตนไป แถมยังทำท่าทางกร่างจนไม่ชอบ
“น้องยิหวา ได้หนังสือหรือยังคะ อุ้ย สวัสดีค่ะ” พี่สาวที่มาด้วยกันเพิ่งเลือกซื้อหนังสือจัดดอกไม้เสร็จ พอเดินมาหาลูกสาวเจ้าของร้านก็เห็นว่ากำลังคุยกับชายหญิงคู่หนึ่ง ผู้ชายยังหล่อมากจนแทบหลง เธอคุ้นว่าเคยเจอหน้าเขาที่ไหน
“ได้แล้วค่ะพี่ขิม เราไปกันดีกว่าค่ะ สวัสดีค่ะพี่สาวคนสวย” ยกมือไหว้แพรวลัยแล้วรีบจับจูงมือพี่เลี้ยงเพื่อไปจ่ายเงิน ปล่อยร่างหนาทำหน้าอึ้งมากกว่าเดิมซะอีก
“หือ ฉันล่ะ ไม่ลาฉันเลย เด็กนี่เจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนกันนะ” ไม่อยากเชื่อว่าอายุเท่านี้แต่กล้าต่อปากต่อคำ อีกทั้งแววตายังไม่เกรงกลัวสักนิด จ้องตาไม่หลบเหมือนจะหาเรื่องกันให้ได้
เข้าทีเหมือนกัน ถ้ามีลูกเขาก็อยากได้ลูกสาวแบบนี้แหละ...
“นายไปทำอะไรเด็กอีกล่ะ ชอบแกล้งไปเรื่อย”
“ฉันเนี่ยนะทำ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เฮ้อ เอาเรื่องไหนดี..” รีบเปลี่ยนเรื่องแล้วเลือกหนังสือนิทานเพื่อเอาไปให้เป็นของขวัญต้อนรับลูกเพื่อน
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย แม่ไม่ได้พาแกมาโรงเชือดนะ” กระซิบลูกชายเสียงเบาขณะที่พระกำลังเทศน์ ขนกันมาทั้งบ้านเพื่อทำบุญวันเกิดให้สามีในวันครบรอบหกสิบปีของเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะครองคู่กันนานเกือบสามสิบห้าปีแล้ว เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเสียจริง เหมือนพวกเขาเพิ่งพบกันครั้งยังเรียนมหาวิทยาลัย
จนมาวันนี้ที่มีลูกถึงสองคน และแต่ละคนก็ได้มาไม่ง่ายเลยเพราะหล่อนมีปัญหาในการตั้งครรภ์ ความพยายามสัมฤทธิ์ผลทำให้ได้ลูกสาวลูกชายที่รัก
ทว่าไม่อาจทำหน้าที่แม่อย่างเต็มที่เพราะต้องช่วยสามีบริหารงาน ทั้งยังมีมูลนิธิต้องดูแลจนแทบปลีกตัวไม่ได้ กว่าจะรู้ว่าห่างเหินจากลูกมันก็สายไปเสียแล้วเมื่อพวกเขาเติบใหญ่โดยไม่ต้องการเธอ
“ผมยินยอมไปโรงเชือดดีกว่าเข้าวัด ผมมันคนบาปแม่ก็รู้” ตอบกลับด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย
“ไม่มีใครเป็นคนบาปทั้งนั้นแหละ หยุดพูดแล้วนั่งฟังพระสวด” เขาไม่ได้กลัวแม่แต่ไม่อยากต่อความยาวจึงเลือกจะนั่งทำหน้ามึนเหมือนเดิม
“หาว” ปิดปากแต่ยังคงส่งเสียงจนหลายคนหันมามอง คุณภวิกา ฤกษ์เดชาหันมาเอ็ดด้วยสายตาอีกรอบ กว่าพิธีทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยก็เล่นเอาชายหนุ่มนั่งจนขาเป็นตะคริว ต้องบีบนวดอยู่สักพักถึงเดินออกมาจากศาลาการเปรียญ
นอกจากครอบครัวของเขาแล้วแม่ยังเชิญเพื่อนสนิทและลูกสาวของเพื่อนมาด้วย แน่นอนว่าเป็นการจับคู่ให้ทิวากรแต่ชายหนุ่มก็หลบเลี่ยงเสียก่อน
“แม่คะ เดี๋ยวหนูจะไปหาเพื่อน..” ระหว่างที่กำลังจะไปรับประทานอาหาร นารากานต์ก็หันไปบอกมารดาแต่ยังไม่ทันจะพูดจบน้องชายที่อยู่ข้างกันก็เห็นช่องว่างแล้วรีบขัด
“เดี๋ยวไปส่ง ผมต้องไปส่งพี่หนึ่ง ขอตัวนะครับแม่ พ่อ สวัสดีครับคุณน้า” ค้อมศีรษะให้บุพการีแล้วลาเพื่อนสนิทแม่ ก่อนหันไปคว้าแขนร่างแบบบางแล้วลากไปยังรถยนต์ของตนเอง ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่รีบ ทำเอาหล่อนต้องรีบเดินขาแทบจะพันกัน
“รีบหนีเลยนะ” มาถึงรถก็นั่งประจำที่ข้างคนขับ ไม่วายหันมาล้อเลียนร่างสูงที่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะตอนแรกก็กำลังคิดว่าจะหาวิธีหลีกหนีจากการจับคู่อย่างไร
พอมารดาว่างก็มักจะทำกิจกรรมที่วุ่นวายกับตัวเขาอย่างการหาคู่ครองที่เหมาะสม เพราะกิตติศัพท์ความเจ้าชู้ของทิวากรดังไปทั่วแวดวงไฮโซ ถึงจะอยากได้เขามาครอบครองแต่ก็ไม่กล้าเสี่ยง คนส่วนมากที่เข้าหาจึงเป็นหญิงที่ต้องการผลประโยชน์
แล้วอย่างนี้มีหรือที่คุณภวิกาจะทานทนไหว ต้องเข้ามาช่วยเหลือบุตรชายในการหาคู่ครองที่เหมาะสม
“ไม่งั้นจะใช้โอกาสไหนล่ะ ยายนั่นตามติดผมแจเลย ขอบคุณมากนะพี่สาวที่หาข้ออ้างให้ออกมาจากวัดได้” แค่คิดก็ต้องส่ายศีรษะ เขาไม่ได้ชอบลูกสาวเพื่อนแม่ที่มองตนด้วยแววตาหวานเยิ้ม ทั้งที่ความจริงเราเพิ่งรู้จักกัน
“แล้วนี่จะให้ไปส่งที่ไหน” ออกรถแล้วถามถึงที่หมาย
“ร้านดอกไม้...มง นามูร์” คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ทำไมเดี๋ยวนี้เจอคนที่ร้านนี้บ่อยจังเลย มีชะตาต้องกันหรือยังไงนะ