๒ ไม่ถูกชะตาเอาซะเลย (๑)
๒
ไม่ถูกชะตาเอาซะเลย
กรุ๊งกริ๊ง
เสียงกระดิ่งที่ห้อยอยู่ประตูดังขึ้นเมื่อมีคนเปิด ร่างบางที่ง่วนกับการจัดช่อดอกไม้เพื่อให้ลูกค้าไปสารภาพรักกับเพื่อนสนิทและขอเป็นแฟน ค่าดอกไม้ไม่แพงมากนักและขนาดก็ไม่ใหญ่จนเกินไป เน้นความเรียบง่ายแต่มีความหมาย
หล่อนเงยหน้าจากงานที่กำลังทำ แล้วกล่าวทักทายเสียงหวานเพื่อเป็นการต้อนรับ โดยไม่คิดว่าลูกค้าที่เข้ามาจะเป็นคนรู้จักและค่อนข้างสนิทสนมเป็นพิเศษ
“เนเน่!” เรียกชื่อเสียงดังเล่นเอาวรรณวรินถึงกับสะดุ้ง ใบหน้าสวยงอง้ำยามมองเพื่อนสนิทที่กำลังจัดดอกไม้อยู่หลังเคาน์เตอร์ ย่างสามขุมเข้ามาใกล้แล้วจ้องหน้าคนที่ไม่ได้เจอกันนาน
มีอย่างที่ไหนไปต่างจังหวัดแล้วไม่ติดต่อมาสักครั้ง เป็นตายร้ายดีอย่างไรเธอก็ไม่รู้ ทำเหมือนไม่ใช่เพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาเกือบสิบปี นารากานต์ตาแดงก่ำยามจ้องหน้าเจ้าของร้านดอกไม้
แค่ดูชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นร้านของใคร เพราะสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันวรรณวรินเคยบอกจะเปิดร้านดอกไม้ และตั้งชื่อว่ามง นามูร์ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสและแปลว่าความรักของฉัน
“หนึ่ง แกมาได้ยังไง”
“แกนั่นแหละไม่บอกฉันเลยว่ากลับมาแล้ว ฉันรู้จากคนอื่นเพราะแกไปจัดดอกไม้ให้มันที่ร้าน แกรู้ไหมว่าฉันเสียใจแค่ไหน ฉันยังเป็นเพื่อนสนิทนัมเบอร์วันของแกหรือเปล่า ฮือ จะร้องไห้แล้วนะ” น้ำตาไหลเมื่อได้เจอเพื่อนอีกครั้ง เข้าไปกอดคนตัวเล็กกว่าแน่นเล่นเอาหายใจแทบไม่ออก
ไม่อยากเชื่อว่านารากานต์จะขี้แยขนาดนี้ เธออมยิ้มนึกเอ็นเมื่อเพื่อนตัวสูงกำลังกลายร่างเป็นลูกสาวตัวน้อย เหมือนตอนปลอบศศิมณฑลไม่มีผิด
“โอ๋ๆ ฉันขอโทษ พอดีมันฉุกละหุกไปหมด อะไรๆ ก็ยังไม่เข้าที่ฉันเลยไม่ได้โทรบอกแก กะว่าให้ร้านเข้าที่เข้าทางซะก่อนแล้วจะชวนมาฉลอง อย่าโกรธเลยน้า” พยายามพูดไม่ให้อีกฝ่ายน้อยใจ ตั้งแต่จากเมืองกรุงเธอก็เปลี่ยนเบอร์และไม่ติดต่อคนทางนี้เลย
รู้สึกผิดกับนารากานต์อยู่เหมือนกันเพราะอีกฝ่ายดีกับตนมาก เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่จริงใจและอยู่เคียงข้างมาตลอด ขนาดเธอเลิกกับแฟนอีกฝ่ายยังดื่มเหล้าเป็นเพื่อนจนเมาแอ๋ไม่ได้สติทั้งคู่
“ไม่ต้องมาพูดเลย ฉันงอนจริงด้วย นอกจากแกจะยอมจัดดอกไม้ให้ฉันสักช่อเพื่อขอโทษ” ผละออกแล้วเช็ดน้ำตาที่เปื้อนใบหน้า ดีที่ใช้เครื่องสำอางแบบติดทน อายไลน์เนอร์ยังกันน้ำอีกจึงไม่ต้องกลัวเปื้อน
“ได้สิ! แกอยากได้แบบไหนบอกมาเลย” บอกอย่างเต็มใจ แค่นี้ทำไมเธอจะให้เพื่อนไม่ได้ล่ะ
“เหอะ แล้วนี่แกว่างไหม” เริ่มหมั่นไส้เจ้าของร้านแล้ว แต่ก็ยังอยากพูดคุยเรื่องราวที่ผ่านมาหลังไม่ได้เจอกันนานเกือบหกปี
ความจริงวรรณวรินหายไปตั้งแต่งานฉลองสละโสดของน้องชายหล่อน แล้วไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย รู้เพียงเพื่อนจะไปทำงานต่างจังหวัดทว่าไม่ทราบเจาะจงว่าเป็นจังหวัดใด
“ช่อนี้เสร็จก็ว่างแล้ว”
“ดีเลยๆ งั้นเรามาคุยกันดีกว่า ไม่เจอตั้งนานทำไมดูสวยมีน้ำมีนวลขึ้นล่ะ” เดินไปนั่งยังโซฟาสำหรับลูกค้าแล้วชวนคุย เมื่อก่อนเพื่อนหล่อนผอมแห้งจนต้องขุนให้อ้วนพอมีเนื้อขึ้นมาหน่อย แต่ตอนนี้กลับดูอวบอิ่มมากกว่าเดิม เห็นแล้วรู้สึกว่ามีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
แต่ไม่แปลกหรอก วรรณวรินสวยตั้งแต่เรียนแล้ว มีคนมาจีบแต่ก็ปฏิเสธไปหมดเพราะแอบชอบเพื่อนสุดหล่อที่เรียนห้องเดียวกันแถมยังเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันอย่างอนุตร วรกมล ได้คบกันตั้งห้าปีก่อนเลิกราเพราะฝ่ายชายนอกใจ
“กินเยอะน่ะ กินข้าวมาหรือยัง เดี๋ยวเที่ยงนี้ฉันทำข้าวเที่ยงให้แกกินดีไหม” มองเวลาเห็นว่าใกล้เที่ยงจึงเอ่ยชวน อย่างไรก็ต้องกินข้าวคนเดียวเพราะพนักงานทั้งสามคนออกไปจัดดอกไม้ในงานพิเศษของโรงแรม
ไม่น่าเชื่อว่าเปิดร้านมาได้หนึ่งเดือนจะมีคนจ้างให้จัดดอกไม้ในงานแต่ง หล่อนค่อนข้างตกใจพอสมควรทั้งยังสอบถามเจ้าสาวจนรู้ว่าเพื่อนสนิทเคยซื้อดอกไม้ที่นี่แล้วบริการดี การจัดตกแต่งสวยทั้งราคายังย่อมเยา จึงเลือกใช้บริการ สร้างความดีใจให้แก่เจ้าของร้านมาก ที่เธอทุ่มเทไปทั้งหมดไม่เสียเปล่าแล้ว
“ดีสิ! ไม่ได้กินข้าวฝีมือแกตั้งนานคิดถึงจะแย่ เดี๋ยวฉันไปซื้อวัตถุดิบมาดีกว่า” จากที่ร้องไห้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง นารากานต์ไม่เคยโกรธเพื่อนคนนี้ได้เกินหนึ่งชั่วโมงอยู่แล้ว
“ไม่ต้องหรอก ของเต็มตู้เย็นเลย” พอทำงานเสร็จก็พาเพื่อนขึ้นไปบนชั้นสองแล้วปิดร้านชั่วคราว
นารากานต์เดินเข้าออกห้องอย่างสำรวจ ก่อนจะพบรูปภาพและที่นอนของเด็กน้อยแต่ยังไม่กล้าถามอะไร เธอลงไปชั้นล่างที่อยู่โซนด้านหลังเพราะเป็นห้องครัว คิ้วขมวดคิดไม่ตกว่าควรถามอย่างไรดีกับข้อสงสัยของตนเอง
เห็นวรรณวรินตั้งใจทำอาหารก็ทำได้แค่มองข้างหลัง เธอไม่เก่งเรื่องงานครัวสักนิด ต่างจากเพื่อนสนิทที่ออกมาอยู่คนเดียวตั้งแต่มัธยมปลายจึงมีทักษะในการใช้ชีวิตมากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
พวกเธอเรียนสายศิลป์ภาษาฝรั่งเศสเหมือนกันทำให้สนิทสนมไปโดยปริยาย ความต่างฐานะทางสังคมไม่เป็นปัญหาเลย เพราะนารากานต์ไม่เคยเอามันมาตัดสินว่าจะคบเพื่อนคนไหน มองเพียงความจริงใจอย่างเดียว
“ทำของง่ายๆ แล้วกันนะ ผัดกะเพราหมูกับไข่เจียว แล้วก็มีน้ำพริกกะปิผักลวก สองอย่างหลังฉันทำใส่ตู้เย็นไว้อาจจะเย็นหน่อย กินได้ไหมหรือจะอุ่นในไมโครเวฟก่อน” ตักอาหารใส่จานแล้วยกไปเสิร์ฟที่โต๊ะกินข้าว
ปกติตอนเที่ยงก็จะทำอาหารกินเองกับพนักงาน หรือวันไหนขายดีก็สั่งจากข้างนอกมากินอย่างชาบูหรือหมูกระทะ เธอพยายามทำตัวเป็นพี่น้องมากกว่าเจ้านาย แต่ก็ยังขีดเส้นกั้นไม่ให้ล้ำเส้นเป็นเพื่อนเกินไป
และโชคดีที่ทุกคนก็เคารพหญิงสาวในฐานะเจ้านาย รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร จึงอยู่กันอย่างมีความสุข วรรณวรินคิดว่าตัวเองช่างโชคดีเหลือเกินที่เลือกคนได้ถูก
“กินได้ๆ เดี๋ยวฉันตักข้าวไว้รอแก” เดินไปหยิบจานแล้วคดข้าวใส่ ค่อยวางไว้บนโต๊ะอาหารขนาดกลาง
เริ่มรับประทานอาหารแล้วพูดคุยถึงเรื่องเก่า นารากานต์สร้างบรรยากาศสนุกสนานก่อนจะวกเข้ามายังเรื่องที่สงสัย ตักผัดกะเพรามากินรับรสชาติแสนอร่อย ฝีมือของเพื่อนไม่ด้อยลงสักนิดกลับพัฒนาขึ้นทุกวัน
“นี่ เราเป็นเพื่อนสนิทกันใช่ไหม” เกริ่นมาแบบนี้คิดว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน
“ใช่”
“แล้วถ้าฉันถามอะไรแก แกจะตอบหมดทุกอย่างเลยใช่ไหม”
“อือ” วรรณวรินพอจะทราบเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการถาม ชั้นสองมีรูปของเธอกับลูกสาวตัวน้อย และคาดว่าเพื่อนคงสงสัยเรื่องนี้เป็นแน่
“แกท้องเหรอ” ค่อนข้างเกรงใจเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ความอยากรู้ก็ผลักดันให้ถามออกไปจนได้
“อือ ตอนนี้ลูกฉันได้ห้าปีแล้ว” ไม่มีท่าทีจะปิดบังตั้งแต่ต้น เธอตอบตามความจริงแต่ละไว้ไม่พูดถึงพ่อของเด็ก เพราะไม่ต้องการให้คนตรงหน้ารู้ความจริง
นารากานต์นิ่งค้างแล้วนึกถึงช่วงเวลาห้าปีย้อนหลัง จำได้ว่าเพื่อนเลิกกับแฟนไปแล้วหนึ่งถึงสองปี คนที่ทำให้ท้องจะเป็นอนุตรเหรอ...
ไม่น่าเป็นไปได้หรือเปล่า แต่ก็ยังไม่ตัดออกจากช้อยส์
“แล้ว...ใครคือพ่อของเด็ก” ไม่รู้ว่าสมควรถามไหมแต่หล่อนไม่อาจเก็บความสงสัยไว้ได้ เห็นหน้าวรรณวรินสลดลงก็แทบวางช้อนส้อมในมือ เพื่อนของเธอไม่เคยนอกลู่นอกทางเลย ถ้าจะท้องก็ต้องมีแค่คนเดียวที่พอจะเข้าเค้าเป็นพ่อของเด็ก
แฟนเก่าอย่างอนุตรไงล่ะ!
“ไอ้อ้นใช่ไหม มันทำแกท้องแล้วไม่รับผิดชอบใช่ไหม ไอ้บ้าเอ๊ย! ฉันไม่ถูกชะตากับมันตั้งแต่แรกแล้ว รู้อย่างนี้น่าจะอัดมันให้รู้แล้วรู้รอด”
โมโหจนต้องตักข้าวมาเคี้ยวคำโต โกรธแค้นที่ตนเคยสนับสนุนคนทั้งคู่แต่สุดท้ายเพื่อนตนกลับต้องมาเจ็บคนเดียว
วรรณวรินพูดไม่ออกเมื่ออีกฝ่ายคิดเป็นตุเป็นตะ แต่ถ้าให้ปฏิเสธแล้วบอกความจริงก็ไม่กล้าเช่นกัน เธอยังไม่อยากเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดให้ใครรู้
โดยเฉพาะน้องชายของเพื่อนที่เป็นพ่อของลูก...ทำไมทุกอย่างมันจุดไต้ตำตอขนาดนี้ก็ไม่รู้
“ใจเย็น เขา เขาก็ไม่ผิดหรอก” ถึงกับบอกเสียงสั่นอย่างมีพิรุธ แต่คนที่กำลังโกรธไม่สนใจสักนิดเพราะเชื่อไปแล้วว่าพ่อของหลานเป็นใคร
“แกยังเข้าข้างมันอีกเหรอ โอ๊ย ฉันนี่ยอมแกจริงๆ แสดงว่าผ่านมาห้าหกปีแกก็เลี้ยงลูกคนเดียว ส่วนไอ้พ่อตัวดีก็หายต่อมแต่งงานกับเมียใหม่ หน้าตัวเมียจริงๆ เลย พูดแล้วก็แค้น” ถ้าเจอหน้าอยากซัดให้ฟันร่วงหมดปากเลย
ได้ข่าวว่าตอนนี้อนุตรแต่งงานกับลูกสาวเศรษฐี กลายเป็นผู้จัดการของธนาคารไปแล้ว ยิ่งคิดก็แค้นมากกว่าเดิมอีก ขณะที่วรรณวรินคิดไปถึงเรื่องของทิวากร ป่านนี้ชายหนุ่มอาจจะมีลูกกับภรรยาที่แต่งงานกันมาหกปีแล้วก็ได้
หล่อนไม่อยากทำร้ายครอบครัวใคร เรื่องคืนนั้นมันเป็นเพียงความผิดพลาดที่ควรปล่อยผ่าน เธอไม่ได้รักเขาจึงไม่ต้องการให้ชายหนุ่มมารับผิดชอบ
และตอนนี้อยู่กันสองแม่ลูกก็มีความสุขมากอยู่แล้ว...
“ถ้าเขาแต่งงานแล้ว แกอยากให้ฉันขอร้องเขากลับมาในชีวิตหรือไง” มุมปากเล็กยิ้มเยาะตนเอง คิดถึงรักครั้งเก่าที่ผิดหวัง ทำให้เข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกแฟนหักหลังว่ามันเป็นอย่างไร
เจ็บเจียนตายแทบไม่มีแรงจะลุกยืนด้วยซ้ำ ห้าปีที่คบกันโดยไม่รู้ว่าเขาคบซ้อนกับผู้หญิงอีกคน ถึงเธอจะมาก่อนแต่กลายเป็นถูกตราหน้าว่าแย่งแฟนคนอื่น