บทที่6
ในที่สุดก็ถึงวันที่เรือลำนั้นแล่นเข้าเทียบท่าเมืองควิเบค มันเป็นวันในเดือนพฤษภาคมที่อากาศแจ่มใสที่สุด แต่คู่สามีภรรยาพำนักอยู่ในเมืองนั้นเพียงแค่ปีเดียว บ้านที่ถนนเซนต์หลุยส์เป็นบ้านแบบฝรั่งเศสที่บรรยากาศทึบทึมหนาวเย็นและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งอดีตที่แฝงเร้น เสียงระฆังจากโบสถ์ไม่เคยขาดหูเลยประกอบกับในระยะหลังๆ นี้ฟิลลิปได้สังเกตเห็นว่าอดีลีนมักจะลอบไปโบสถ์โรมันคาธอลิกบ่อยๆ ด้วยความกลัวว่าเธออาจจะเปลี่ยนนิกายที่นับถืออยู่ ดีงนั้นเขาจึงไม่ยินดีที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป
แต่ก็เช่นเดียวกันกับการที่เขาและเธอใช้เวลาอยู่ในลอนดอนมากพอที่จะให้จิตรกรผู้มีฝีมือวาดภาพของตนเองได้ ช่วงเวลาหนึ่งปีในควิเบคนานพอที่จะทำให้คนทั้งสองได้ลูกชายเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง ลูกชายคนนี้สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ยิ่งนักไม่เหมือนออกุสต้า ลูกสาวคนแรกเขาได้ตั้งชื่อให้ว่า “นิโคลาส” ตามชื่อของลุงที่มอบทรัพย์มรดกไว้ให้ (และเป็นคนเดียวกับลุงนิโคลาสซึ่งนั่งอยู่ในเก้าอี้ทางด้านขวาของคุณย่าตอนที่เวคฟิลด์เดินเข้าไปในห้องรับประทานอาหารนั่นเอง)
เมื่อมีลูกถึงสองคนและต้องอยู่ภายในบ้านที่บรรยากาศซึมเซา สุขภาพของอดีลีนก็ทรุดโทรมลงเต็มที อุณหภูมิในฤดูหนาวลดต่ำกว่าศูนย์ถึงยี่สิบองศาเช่นนี้ ฟิลลิป ไว้ท์โอ๊คก็มีความคิดว่าถึงเวลาที่สมควรจะย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้ได้แล้ว
เขามีเพื่อนอยู่คนหนึ่งเป็นนายทหารยศพันเอกนอกราชการ และลงหลักปักฐานอยู่บนฝั่งทะเลด้านทิศใต้ของออนตาริโอ ได้เขียนจดหมายมาถึงเขาว่า
“ที่นี่อากาศในฤดูหนาวสบายมาก มีหิมะบ้างแต่ก็ไม่มากนัก เมือ่ถึงฤดูร้อนจะอุดมสมบูรณ์ด้วยผลไม้มากมายหลายชนิด เรายินดีต้อนรับคุณกับภรรยาอย่างยิ่ง ขอให้เดินทางมาแล้วคุณจะได้พบกับสังคมของบุคคลที่อยู่ในระดับเดียวกัน”
และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ฟิลลิป ไว้ท์โอ๊คตัดสินใจ เขาจัดการขายบ้านกับที่ดินในควิเบค จากนั้นก็หอบเครื่องเรือน ภาพวาดที่สะสมไว้ ลูกสองคนกับนางพยาบาลเดินทางไปหาพันเอกว๊อกคั่น เพื่อนที่ต้อนรับขับสู้อย่างดียิ่งและให้เขาได้อยู่ร่วมด้วยขณะที่สองสามีภรรยากำลังปลูกบ้านของตนเองอยู่
ฟิลลิป ไว้ท์โอ๊คได้ซื้อที่ดินจำนวนหนึ่งพันเอเคอร์จากรัฐบาล เป็นพื้นที่ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง ประกอบด้วยลำธารที่ต้นน้ำอยู่ในระหว่างภูเขาและเป็นที่อยู่อันแสนสุขของปลาเทร้าท์ นอกจากบางแห่งที่เป็นพื้นราบแล้ว ส่วนใหญ่ยังเป็นป่าเบญจพรรณอันอุดมประกอบด้วยสนต้นสูงใหญ่ ต้นเฮมล็อกซึ่งเป็นไม้มีพิษ สนสามใบ ต้นบอลซั่มที่ใช้ทำขี้ผึ้งหรือยารักษาแผล นอกจากนั้นก็ยังมีต้นโอ๊ค ไม้เนื้อแข็งและต้นเอล์มในป่าแห่งนี้จึงเป็นที่อยู่อาศัยของนกนานาพันธุ์ รวมทั้งนกพิราบป่า นกกระทา และอื่นๆ สัตว์ป่านั้นมีตั้งแต่กระต่ายไปจนถึงสุนัขจิ้งจอก เม่น และอื่นๆ
ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่รอบลำธารนั้นก็ได้แก่ ซิลเวอร์เบิร์ช, ซีตาร์ และอื่นๆ ตรงแนวตลิ่งคือที่อาศัยของสัตว์ประเภทหนูน้ำ มิ๊งค์ แรคคูน และนกกระสาสีฟ้า เป็นต้น
ค่าแรงงานที่นี่ถูกมาก คนงานถูกจ้างมาเป็นจำนวนมากเพื่อจะเนรมิตสวนป่าขึ้น ภายในป่าธรรมชาติแห่งนี้และสร้างเคหาสน์ที่ใหญ่โจที่สุดในเมือง เมื่อบ้านหลังนี้ได้รับการตกแต่ง จัดเครื่องเรือนเข้าที่เรียบร้อยแล้วก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้คนถึงความหรูหราสง่างามอันหาที่เปรียบมิได้
เคหาสน์หลังนี้ถูกส้รางขึ้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมก่อด้วยศิลาสีแดงเข้มทั้งหลัง ด้านหน้าประกอบด้วยระเบียงศิลาขนาดใหญ่ ส่วนด้านหลังนั้นถูกลดชั้นลงมีลักษณะคล้ายห้องใต้ดิน ใช้เป็นห้องครัวและที่อยู่ของพวกคนรับใช้ภายในเคหาสน์นั้นชั้นล่างประกอบด้วยห้องรับแขกขนาดใหญ่ ห้องสมุด ซึ่งปกติแล้วจะใช้เป็นห้องนั่งเล่นของสมาชิกในครอบครัวมากกว่า ห้องรับประทานอาหารกับห้องนอนหนึ่งห้องใหญ่
ส่วนชั้นบนของตัวบ้านแบ่งออกเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ถึงหกห้อง นอกจากนั้นยังมีห้องเล็กใต้หลังคาซึ่งไปตามความยาวของตัวบ้านจึงถูกแบ่งออกเป็นห้องนอนอีกสองห้อง ไม้ที่นำมาใช้ประดับเชิงผนังกับประตูทุกบานเป็นไม้วอลนัททั้งหมด ในเคหาสน์หลังนี้จะมีแต่เตาผิงอยู่ด้วยกันทั้งหมดถึงห้าแห่ง ควันไฟจะพวยพุ่งขึ้นไปตามปล่องที่สูงตระหง่านอยู่ในท่ามกลางความเขียวขจีของพุ่มพฤกษ์
ด้วยความรู้สึกอันแสนจะโรแมนติกฟิลลิปกับอดีลีนได้ขนานนามเคหาสน์แห่งนี้ว่า ‘จาลน่า’ ตามชื่อของฐานทัพในประเทศอินเดียที่เขาและเธอได้พบกันเป็นครั้งแรกซึ่งทุกคนต่างก็ลงความเห็นพ้องต้องกันว่ามันเป็นชื่อที่ไพเราะมาก ประกอบด้วยบรรยากาศอันบ่งบอกถึงฐานะอันมั่งคั่งของท่านผู้เป็นเจ้าของบ้าน เคหาสน์จาลน่าตั้งตระหง่านอยู่เหนือเนินเขาลูกหนึ่ง โดยมีพื้นที่อีกถึงหนึ่งพันเอเคอร์รายล้อมไว้ มันเป็นเคหาสน์แสนสุขที่มนุษย์คนหนึ่งจะพึงมาหาบำเรอชีวิตของตนเองได้ เนื่องจากสองสามีภรรยามีความรู้สึกว่าตนเองกำลังตัดจากโลกภายนอกมากเกินไปจึงส่งลูกทั้งสองให้เดินทางไปศึกษาในประเทศอังกฤษ
ที่จาลน่านี้อดีลีนได้ให้กำเนิดลูกชายอีกสองคนคนหนึ่งคือเออร์เนสท์ ทั้งนี้เพราะตอนที่อดีลีนกำลังตั้งครรภ์นั้นเธอเกิดติดใจในนิยายที่เขียนขึ้นโดยเออร์เนสท์ มอลทราเวอร์ส ส่วนคนถัดมานั้นได้ชื่อว่าฟิลลิปตามชื่อบาดาตน
นิโคลาส ลูกชายคนโตแต่งงานในอังกฤษ แต่ภายหลังจากที่ใช้ชีวิตระส่ำระสายอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน ภรรยาของเขาก็หนีตามนายทหารไอริชคนหนึ่งไป เขาจึงเดินทางกลับมาแคนาดาและมิได้พบกับเธออีกเลย
เออร์เนสท์นั้นเป็นหนุ่มโสด ทุ่มเททั้งกายและใจให้กับการศึกษางานของเช็คสเปียร์ และดูเหมือนจะสนใจในตัวเองมากกว่าทั้งนี้เพราะเป็นผู้ที่มีนิสัยละเอียดถี่ถ้วนยิ่งนัก
ส่วนฟิลลิป น้องชายคนสุดท้องนั้นแต่งงานถึงสองครั้ง ครั้งแรกกับธิดาของนายแพทย์ชาวสก๊อตซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้จาลน่าและเป็นผู้ทำคลอดเมื่อตอนที่เขาถือกำเนิดออกมาดูโลกนี้ เขามีบุตรกับภรรยาคนนี้สองคนคือเม๊กกับเรนนี่ ส่วนภรรยาคนที่สองของเขานั้นเป็นครูสาวที่มาสอนหนังสือและเลี้ยงดูลูกทั้งสองซึ่งกำพร้ามารดาสำหรับภรรยาคนนี้บุคคลในครอบครัวต้อนรับด้วยความเฉยเมยเย็นชากลับมีลูกกับเขาถึงสี่คน และภายหลังจากที่ให้กำเนิดเวคฟิลด์ได้ไม่นานก็ถึงแก่กรรมลง อีเด็นซึ่งเป็นลูกคนโตจากภรรยาคนนี้ปัจจุบันอายุยี่สิบสามแล้ว ปิแอร์ยี่สิบ ฟิ้นช์สิบหก และหนุ่มน้อยเวคฟิลด์เก้าขวบ
ฟิลลิปนั้นได้ชื่อว่าเป็นลูกรักของพ่อ ในขณะเดียวกันกับที่ออกุสต้า ลูกสาวคนโตและคนเดียวแทบจะไม่ได้รับความรักจากเขาเลย บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาไม่ยอมยกโทษให้กับการที่ลูกสาวคนนี้เกิดมาในขณะที่เขากำลังประสบปัญหาความยุ่งยากและตอนที่เดินทางจากอังกฤษไปแคนาดาก็เป็นได้ แต่ถึงแม้เขาจะมิได้รักใคร่ไยดีลูกสาวคนนี้เท่าไร เขาก็แทบจะไม่ต้องกังวลในตัวเธอแต่ประการใดเลย ทั้งนี้เพราะออกุสต้าได้แต่งงานไปกับหนุ่มชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อเอ็ดวิน บั๊คเล่ย์ ซึ่งมีฐานะมั่งคั่งขึ้นมาในพริบตาเมื่อลุงกับลูกชายประสบอุบัติเหตุถึงแก่กรรมอย่างปัจจุบันทันด่วนและเขาในฐานะที่เป็นทายาทซึ่งเหลืออยู่เพียงคนเดียวก็ได้รับยศเป็นเซอร์เอ็ดวินไปด้วย
อย่างไรก็ตามการที่ลูกสาวได้ก้าวเข้าสู่ราชสำนักซึ่งเกินหน้าเกินตาของตนไปเป็นสิ่งที่อดีลีนไม่พอใจอย่างยิ่ง ดังนั้นเธอจึงมิได้คิดจะปิดบังความยินดีไว้เลยเมื่อเซอร์เอ็ดวินเสียชีวิตลงและมีหลานชายขึ้นมารับตำแหน่งแทน ส่วนออกุสต้าก็ถูกแขวนอยู่บนหิ้งต่อไป
เหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว และบัดนี้ร้อยเอกไว้ท์โอ๊คก็ได้เสียชีวิตไปนานแล้วรวมทั้งฟิลลิปกับภรรยาทั้งสองของเขา ขณะนี้เรนนี่จึงเลื่อนขึ้นมาเป็นประมุขของเคหาสน์จาลน่าแทน ปีนี้เขามีอายุได้สามสิบแปดแล้ว
แต่ทว่านาฬิกาที่จาลน่านั้นดูเหมือนจะหยุดเดินนานปีทีเดียว นิโคลาสกับเออร์เนสท์มองเรนนี่ว่าเป็นเพียงหลายชายที่มีหัวก้าวหน้าคนหนึ่ง และมิสซิสไว้ท์โอ๊คก็ยังคิดว่าลูกชายทั้งสองที่เหลืออยู่เป็นเพียงเด็กชายเล็กๆ เท่านั้น ส่วนฟิลลิปที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นก็เป็นลูกน้อยผู้น่าสงสารของนาง
นางได้นั่งที่โต๊ะอาหารตัวนี้มาเป็นเวลาเจ็ดสิบปีแล้ว โต๊ะซึ่งครั้งหนึ่งเคยอุ้มนิโคลาสไว้บนตัก ป้อนนมในถ้วยให้ดื่ม แต่ขณะนี้เขากำลังนั่งคอตกซบเซาอยู่ทั้งที่เป็นผู้ชายร่างใหญ่ซึ่งอายุเจ็ดสิบสองปีแล้ว และที่โต๊ะนี้อีกเช่นกันที่เออร์เนสท์เคยร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจกลัวเมื่อได้ยินเสียงพลุวันคริสต์มาสเป็นครั้งแรก และตอนนี้เขาก็นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งด้วยเรือนผมสีขาวโพลน ทั้งที่เรือนผมของมารดายังไม่เปลี่ยนสีเท่าไหร่นัก ทั้งนี้เพราะลึกลงไปในจิตใจเปลวเทียนแห่งความทรงจำอันแสนสุขส่องสว่างสดใสอยู่เสมอมา