เคหาสน์ปลายฟ้า

174.0K · จบแล้ว
Readed
76
บท
217
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

จาลน่า เคหาสน์ปลายฟ้าซึ่งเป็นที่รวม ของทุกชีวิตของคนในตระกูลไว้ท์โอ๊ค นิยายชีวิตคลาสสิคภายในครอบครัว เพลิดเพลิน กับบรรยากาศของธรรมชาติในไร่กว้างป่า ใหญ่แบบเดียวกับนิยายชุด ‘บ้านเล็กในป่าใหญ่’ The mind has a thousand eyes And the heart but one Yet the light of a whole life dies When love is done จิตวิญญาณมีดวงตานับร้อยพัน แต่หัวใจของเรานั้นมีเพียงดวงเดียว เพียงความรักจุดประกายในหัวใจดวงนี้ ทุกแสงแห่งยามราตรีจะเลือนราง

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบันเศรษฐีรักหวานๆดราม่าโรแมนติก

บทที่ 1

เวคฟิลด์ ไว้ท์โอ๊คออกแรงวิ่งตรงไปข้างหน้า อย่างเต็มเหยียดและยังเร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ เขาวิ่ง...วิ่ง...และวิ่งจนกระทั่งหมดแรงที่จะวิ่งต่อไป ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงได้เร่งความเร็วมากมายถึงขนาดนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะเหตุใดจึงต้องวิ่ง...และวิ่งจนกระทั่งหมดแรงหมดพลังที่จะไปต่อได้

และแล้วเด็กชายก็ทุ่มกายลงบนพื้นหญ้าอันอ่อนนุ่มเขียวขจีงอกงามอยู่ด้วยฤดูสปริงที่เพิ่งจะมาถึงความ กว้างใหญ่ไพศาลของท้องทุ่งแห่งนี้ทำให้เด็กชายลืมไปหมดแล้วว่าตนเองได้วิ่งมานานเท่าไรเขาแนบแก้มลง บนความนุ่มเนียนของใบหญ้า หัวใจเต้นระรัวราวจะระเบิดออกมานอกอกไม่มีความคิดใดๆ ผ่านเข้ามาในสมองเลยแม้แต่น้อย ปราศจากทั้งความสุข ความทุกข์เฉกเช่นเดียวกันกับสายลมแห่งเดือนเมษายนที่พัดผ่านมาต้องกายและพลิกพลิ้วยอดหญ้าให้ระริกด้วยจิตวิญญาณที่แฝงฝัง

เด็กชายรู้แต่เพียงว่า นี่คือความมีชีวิต...ชีวิตที่ยังอ่อนเยาว์...ชีวิตที่ปรารถนาในความมานะพยายามอันแรงกล้า

สายตาของเขาจรดจ้องมองดูยอดเรียวแหลมของ ใบหญ้าสีเขียวขจีที่ชไสวอยู่ต่อหน้า มองเห็นมดตัวหนึ่ง คาบเศษอาหารชิ้นเล็กๆ ไว้ในปากที่แทบจะมองไม่เห็น ท่าทางของมันเต็มไปด้วยความรีบร้อนยิ่งนัก เด็กชายจึง วางนิ้วลงดักหน้ามันไว้ อยากรู้นักว่าเจ้ามดตัวน้อยนั้น จะคิดอย่างไรเมื่อได้เห็นแล้วว่าเส้นทางตรงหน้าถูกสกัดกั้นด้วยอะไรบางอย่างที่เปรียบเสมือนปราการอันสูงตระหง่าน มดเป็นสัตว์ที่มีความพยายามอย่างน่าทึ่งที่สุดในโลก

บางที...มันอาจจะไต่ขึ้นมาบนนิ้วแล้วก็วิ่งขึ้นมาตามมือก็ได้...แต่มันไม่ยักเป็นเช่นที่เขาคิด เพราะยังไม่ ทันที่มันจะสัมผัสกับปลายนิ้วเลยมันก็รีบเบี่ยงตัวคลานไปตามเส้นทางสายใหม่ทันที

เวคฟิลด์จมปลายนิ้วลงขวางทางมันไว้อีก แต่มดตัวนั้นก็ยังไม่ยอมคลานขึ้นมาบนมือเขาอยู่นั่นเอง ไม่ว่า เขาจะยืนยันในความตั้งใจสักเพียงไรเจ้ามดก็ดูเหมือนจะมีจุดยืนของมันเช่นกัน ไม่ว่ามันจะรีบร้อนกระวนกระวายสักแค่ไหนมันก็ยังคาบชิ้นอาหารในปากไว้แน่น ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมให้ตัวของลูกมันถูกลวงล่อให้คลานขึ้นไปบนผิวหนังของมนุษย์

แต่เวคฟิลด์ก็อดจะให้เหตุผลกับตัวเองไม่ได้ว่ากี่ครั้งกี่หนมาแล้วล่ะที่มดได้ไต่ขึ้นมาบนเนื้อตัว ทั้งที่เขามิได้ต้องการให้มันทำเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย และครั้งหนึ่งมันก็เคยคลานเข้าไปอยู่ในหูของเขาด้วย ซึ่งเกือบจะทำให้เขาเป็นบ้าด้วยความตกใจกลัวขนาดหนักมาแล้ว

ความโมโหที่ผ่านวูบเข้ามาในใจทำให้เด็กชายผุดลุกขึ้นนั่ง เอานิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้คืบเจ้ามดตัวนั้นไว้แล้วก็วางลงบนหลังมือด้วยความตั้งใจอันมาดมั่น เจ้ามดทิ้งเศษอาหารที่คาบอยู่ลงและนอนหงายหลัง ขาของมันแกว่งไกวอยู่ในอากาศพร้อมกับบิดตัวอยู่ไปมาอันเป็นลักษณะของกิริยาท่าทางที่บอกให้รู้ว่ามันกำลังได้รับความ เจ็บปวดอย่างรุนแรงที่สุด

เวคฟิลด์ปัดมันกระเด็นไปทันที อาจจะเป็นเพราะความเกลียดชังกับความละอายใจที่ประสมกันอยู่ รู้สึกว่าเขาได้ทรมานมันมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว บางทีมันอาจจะถึงตายก็ได้

เมื่อคลายความโกรธลงเวคฟิลด์ก็รีบเร่งค้นหาเจ้ามดตัวนั้น แต่ก็ไม่เห็นทั้งตัวมันและเศษอาหารที่มันทิ้งไว้ แต่ขณะเดียวกันก็กลับมีนกโรบินตัวหนึ่งซึ่งโผผินบินอยู่กับกิ่งเชอรี่ป่าเปล่งเสียงร้องเพลงเจื้อยแจ้วขึ้น

เสียงที่ลงลูกคอไพเราะเพราะพรึงของนกโรบินตัวนั้นกองกำจายไปในอากาศ คละเคล้าอยู่ในแสงตะวัน อันเฉิดฉาย เวคฟิลด์ทำท่าประทับปืนขึ้นบนบ่า เล็งเป้าไปที่นกตัวนั้นทันที

“ปัง….”

เด็กชายตะโกนก้อง แต่เจ้านกน้อยก็ยังส่งเสียงร้องเพลงเจื้อยแจ้ว ราวกับมิได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น

“เฮ้...ฟังนะ เจ้านก” เวคฟิลด์พูดกับมัน

“เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าตัวเองน่ะถูกยิงตายไปแล้ว? และไอ้นก ที่ตายแล้วน่ะมันร้องเพลงไม่ได้หรอกข้าจะบอกให้”

โรบินตัวน้อยถลาร่อนจากกิ่งเชอรี่ไปเกาะอยู่กับ ยอดต้นเอล์ม ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปกว่าเดิม และส่งเสียงร้อง เพลงดังยิ่งขึ้นกว่าเมื่อครู่ เหมือนจะแสดงให้เด็กชายเห็นว่าชีวิตจิตใจนั้นมีอยู่ในตัวของมันเองมากเพียงไร

เวคฟิลด์ทอดตัวลงนอนคว่ำหน้ากับพื้นดินอีกครั้ง ใช้ท่อนแขนหนุนรองศีรษะไว้กลิ่นหอมชื่นของละไอดิน กรุ่นอยู่ตรงปลายจมูก แสงแดดอาบแผ่นหลังจนร้อนผ่าวและเด็กชายก็บังเกิดความใคร่รู้ขึ้นมาอีกว่าเมฆสีขาวกลุ่มใหญ่ที่เขาเห็น ลอยเลื่อนมาจากด้านทิศใต้นั้นบัดนี้ได้มาอยู่ตรงหัวแล้วหรือยัง...

เด็กชายบอกตัวเองว่าเขาจะต้องนอนนิ่งๆ แล้ว ก็นับหนึ่งให้ถึงร้อย...เสียก่อน แต่...อย่าดีกว่า จำนวนร้อยมันมากเกินไป ในยามเช้าเช่นนี้ไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะสร้างความตึงเครียดให้เกิดขึ้นในจิตใจ...เอาเป็นว่านับแค่ห้าสิบก็พอแล้ว เมื่อถึงห้าสิบเมื่อไหร่ก็จะเงยหน้าขึ้นดูเมฆเมื่อนั้น และถ้าเมฆกลุ่มนั้นมาถึงตรงหัวเขาพอดีแล้วละก็...เขาจะ...แต่...เขาก็ยังไม่รู้อีกนั่นแหละว่าจะทำอะไรดี...รู้แต่เพียงว่ามันจะต้องเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งที่มหัศจรรย์อย่างที่สุดแน่ๆ

บางทีเขาอาจจะห้อยเต็มเหยียดไปให้ถึงลำห้วย แล้วก็กระโดดข้ามไป แม้ว่ามันจะเป็นตอนที่กว้างที่สุดก็ตาม เขาซุกมือข้างหนึ่งลงในกระเป๋ากางเกง ใช้ปลายนิ้วลูบคลำอยู่กับลูกหินที่เพิ่งได้มาใหม่ พร้อมกับนับไปพลาง

ขณะนี้อาการง่วงงุนเริ่มเข้ามาครอบงำแล้ว อาหารเช้าแสนอร่อยที่รับประทานเข้าไปอย่างเต็มที่ทำให้จิตใจ ผ่องแผ้วอย่างบอกไม่ถูก อยากรู้นักว่าขณะนี้มันจะยังอยู่ในท้องหรือเปล่า หรือว่าได้เปลี่ยนเป็นเลือด เป็นกระดูก เป็นกล้ามเนื้อไปแล้ว อาหารเช้าดีๆ อย่างนี้ย่อมจะต้องสร้างสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นกับร่างกายแน่

หนุ่มน้อยกำมือข้างที่ใช้หนุนศีรษะให้แน่นเข้าไว้ เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งในกล้ามเนื้อของตน ใช่แล้ว….รู้สึกว่ามันเพิ่มความแข็งแรงขึ้นจริงๆ ไม่ต้องสงสัยเลยละ ถ้าเขาได้กินอาหารเช้าดีๆ อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้ว มันก็จะต้องถึงวันหนึ่ง...วันที่เขาจะไม่ต้องทนต่อการกระทำอันไม่เข้าท่าของฟิ้นช์ หรือจากพี่ชายคนไหนๆ ทุกคน แม้แต่เรนนี่ก็เถอะน่า...

แต่บางทีถ้าจะปล่อยให้เม๊กช่วยจัดการอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันก็ดีเหมือนกัน...เพียงแต่ว่าเม๊กเป็นผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายไม่ควรทำร้ายผู้หญิงอยู่แล้ว แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นพี่สาวหรือน้องสาวของตนเองก็ตาม

ก่อนหน้าที่จะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นมันมิได้มีเสียงฝีเท้าหรือเสียงอะไรเตือนให้เวคฟิลด์รู้ตัวก่อนหน้า ของใครคนหนึ่งเอื้อมมาจับตัวไว้ ความแข็งแรงของมือ นั้นทำให้เขาไม่อาจช่วยตัวเองได้เลย และแล้วก็สะเทือนไปทั้งตัวด้วยแรงเขย่า ก่อนจะถูกจับให้พลิกร่างไปเผชิญหน้ากับพี่ชายคนโตซึ่งขณะนี้กำลังมีสีหน้าบึ้งตึงน่ากลัวอย่างที่สุด

สุนัขพันธ์สเปเนียลสองตัวที่วิ่งตามติดเรนนี่มาด้วยกระโจนเข้าใส่เวคฟิลด์ทันที ใช้ลิ้นเลียใบหน้าของหนุ่มน้อยอย่างรุนแรง จนแทบจะทำให้เวคฟิลด์ก้นกระแทบกลับลงบนพื้นดินอีกครั้งด้วยความดีอกดีใจของมัน

เรนนี่ซึ่งยังคงจับไหล่น้องชายไว้แน่น ส่งเสียง ตะคอกขึ้นว่า

“ทำไมแกถึงได้มาหลบอยู่ที่นี่ หา...ทำไมแกถึงไม่ไปหามิสเตอร์เฟนเนล? แกรู้หรือเปล่าว่ามันกี่โมงแล้ว?...แล้วนี่หนังสือเรียนอยู่ที่ไหน?”

เวคฟิลด์พยายามดิ้นรนจะให้พ้นจากการเกาะกุมของพี่ชาย แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำถามสองประโยคแรกนั่นเสีย ทั้งนี้เพราะรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าคำถาม ประโยคที่สามดูจะเป็นคำถามที่มีอันตรายน้อยที่สุด

“ผมทิ้งไว้ที่บ้านมิสเตอร์เฟนเนลตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วฮะ” หนุ่มน้อยตอบเสียงเบา

“ทิ้งไว้ที่บ้านมิสเตอร์เฟนเนลอย่างนั้นรึ? แล้วแกจะทำการบ้านได้ยังไงกัน?”

“เอ้อ...” เวคฟิลด์ใช้ความคิดอยู่เป็นครู่

“ผมใช้หนังสือของฟิ้นช์ทำการบ้านภาษาละตินฮะ ประวัติศาสตร์ก็ไม่มีอะไร ผมเพียงแต่เขียนความเห็นเรื่องบทบาทของครอมเวลล์เท่านั้นส่วนเรื่องพระคัมภีร์ผมก็ใช้ไบเบิ้ลของเม๊กฮะ แล้วก็...”

ดวงตากลมโตของเด็กชายเป็นประกาย

“ตอนที่พี่เดินเข้ามาผมก็กำลังทำเลขคิดในใจอยู่ด้วยฮะ”

“แกนี่ช่างแต่งเรื่องเก่งจริงๆ”

เรนนี่รู้สึกสับสนกับคำอธิบายของน้องชาย ซึ่งก็ควรจะต้องเป็นเช่นนั้นอยู่ แล้ว

“ฟังนะเวค ฉันไม่อยากจะบังคับขู่เข็ญแกมากนักหรอก แต่แกก็ควรจะต้องทำตัวให้มันดีกว่านี้ แกคิดว่าทุกวันนี้ฉันจ่ายเงินให้มิสเตอร์เฟนเนลเพื่อจะให้แกมาวิ่งเล่นสนุกๆ อย่างนี้เท่านั้นละหรือ? การที่แกมีสุขภาพอ่อนแอจนเกินกว่าจะไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนกับใครเขาได้นั่นน่ะมันไม่ใช่ข้ออ้างที่แกจะเอาแต่เล่นทั้งวันอย่างนี้นะแล้วนั่นอะไร...ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของแกนั่นน่ะ?”

“ลูกหินฮะ...สองสามลูกเท่านั้นเองนะฮะ เรนนี่”

“เอามาให้ฉัน” พี่ชายพูดเสียงหนักๆ

เรนนี่แบมืออยู่ตรงหน้า ขณะที่เวคฟิลด์ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบลูกหินออกมาวางลงบนมือพี่ชาย อย่างไม่เต็มใจเลย ที่จริงแล้วเวคฟิลด์ไม่ได้คิดอยากจะร้องไห้เลยแม้แต่น้อย แต่อารมณ์อันอ่อนไหวทำให้หยาดน้ำใสๆ เอ่อท้นขึ้นมา ขณะที่ต้องจำใจยื่นมหาสมบัติของตนให้ เขาสามารถจะเรียกน้ำตาได้เสมอในทุกยามที่ต้องการ เพียงแค่หลับตาให้แน่น แล้วก็บอกกับตัวเองว่า

“โธ่...มันน่าน้อยใจอะไรอย่างนี้...มันน่าน้อยใจเสียเหลือเกิน...”

ครู่เดียวเท่านั้นน้ำตามันก็จะลามไหลออกมาเอง

แต่ถ้าเด็กชายตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่มีการร้องไห้อย่างเด็ดขาดแล้ว ไม่ว่าใครจะดุด่าอย่างไรก็จะไม่ มีน้ำตาหลั่งไหลออกมาให้เห็นเลยแม้แต่หยดเดียว

แต่ขณะนี้ยามที่ต้องวางลูกหินเหล่านั้นลงในมือของเรนนี่ เขาก็ท่องมนต์บทเดิมอยู่ในใจ แผงอกเล็กๆ ขยับขึ้นขยับลงแรงๆ กล้ามเนื้อในลำคอเต้นตุบๆ และแล้ว...หยาดน้ำตาก็ลามไหลลงมาบนร่องแก้มราวกับน้ำฝน

เรนนี่เอาลูกหินเก็บใส่กระเป๋ากางเกงของตนเอง แล้ว...

“เอาละ เลิกอ้อนได้แล้ว” น้ำเสียงของพี่ชายมิได้ไร้ความเมตตาเสียทีเดียว

“แล้วก็อย่ากลับมาจนไม่ทันเวลากินอาหารก็แล้วกัน” เขาหันไปเรียกสุนัขทั้งสองตัวนั้นก่อนจะผละจากไป

เวคฟิลด์หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนสะอาดยังพับเป็นรูปสี่เหลี่ยมอยู่ที่พี่สาวเอาใส่กระเป๋ามาให้ตั้งแต่เมื่อเช้านี้ขึ้นมาซับน้ำตา มองตามร่างพี่ชายที่เดินจากไป จนกระทั่งเมื่อเรนนี่หันกลับมามองอีกครั้งจึงได้วิ่งไปทิศที่ตั้งของโบสถ์