บทที่ 2
ในที่สุดยามเช้าที่แสนอิสระก็หลุดลอยหายไปต่อหน้าต่อหน้าแล้ว เขาคือเด็กผู้มีเรือนร่างแบบบางท่าทางหงอยเหงา อายุเพียงแค่เก้าปีเท่านั้น มีดวงตาคู่สีน้ำตาลที่ค่อนข้างจะใหญ่สำหรับรูปหน้าที่ผอมเรียว สวมเสื้อแจ๊คเก็ตลายทาง กางเกงขาสั้นที่เรียกว่านิคเคอร์ส ซึ่งรวบปลายขาไว้ตรงใต้เข่า ถุงเท้าก็เป็นสีเดียวกัน เผยให้เห็นหัวเข่าสีน้ำตาลเนียนสะอาดสะอ้าน
เขาวิ่งข้ามท้องทุ่งกว้าง ปีนข้ามรั้วกั้นทางรถไฟและเดินไปตามไหล่ทางที่เคียงขนานอยู่กับถนนที่เป็นหลุมบ่อเต็มไปด้วยโคลนตม ไม่นานก็บรรลุถึงร้านช่างเหล็กซึ่งตั้งอยู่ระหว่างต้นเอล์มขนาดใหญ่สองต้น นกขมิ้นตัวหนึ่งกำลังบินถลาร่อนอยู่บนต้นเอล์มและเมื่อเหนื่อยนักก็เกาะพักอยู่บนกิ่งเป็นครู่ก่อนจะเปล่งเสียงร้องเพลงเจื้อยแจ้วออกมา เวคฟิลด์เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูร้านเพื่อพักขาชั่วคราว
“อรุณสวัสดิ์ ลุงจอห์น”
เด็กชายทักทายจอห์น ชอล์ก ช่างตีเหล็กที่กําลังซ่อมเกือกม้าให้กับม้าของ ของฟาร์มในแถบนั้นตัวหนึ่งอยู่
“อรุณสวัสดิ์ จอห์น ชอล์กตอบ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ เพราะเขากับเวคฟิลด์นั้นเป็นเสมือนเพื่อนเก่ากันมา “วันนี้อากาศดีนะ”
“อากาศดีสำหรับคนที่ไม่ต้องทำงานน่ะสิแต่ผมมันต้องไปเรียนหนังสือนี่” เวคฟิลด์ตอบเสียงข่นขึ้ง
“สงสัยเจ้าคงไม่คิดว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่นี้มันเป็นงานละมั้ง?” ชอล์กย้อนกลับมา
“โอ...ถึงจะเป็นงานมันก็เป็นงานที่ไม่ต้องใช้ความรู้อะไรมากนักหรอกไม่เหมือนกับการเรียนประวัติศาสตร์หรือเรียงความนี่” เด็กชายเถียง
“แล้วเรียงความมันเป็นยังไงล่ะ?” จอห์น ชอล์ค ถามเรื่อยๆ มือก็ทำงานไปพลาง
“ก็...การที่เราเขียนเรื่องต่างๆ ที่เราไม่เคยสนใจเลยน่ะสิ เรื่องที่ผมต้องเขียนก็คือเรื่อง ‘การเดินเล่นในฤดูสปริง’ นั่นไง”
“อ๊ะ เรื่องอย่างนั้นมันก็ง่ายน่ะสิ เพราะเจ้าก็เพิ่งเดินเล่นมาหยกๆ นี่”
“โอ๊ย มันยากกว่านั้นแยะเชียวละ พอถึงเวลาที่ต้องนั่งลงเขียนเข้าจริงๆ รู้สึกว่าหัวข้อมันฟังไม่เข้าท่าเลย พอผมเริ่มต้นว่า ‘เช้าวันหนึ่งในฤดูสปริงที่อากาศสดใส...’ ต่อจากนั้นก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะต้องเขียนอะไรต่อไป”
“อ้าว...แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ลองเขียนเรื่องที่มันเกี่ยวกับตัวฉันดูบ้างล่ะ?”
จอห์น ชอล์คแนะนำด้วยสีหน้ายิ้มๆ อย่างอารมณ์ดี
เวคฟิลด์เปล่งเสียงหัวเราะอย่างขบขันปนเยาะเย้ยออกมา
“ใครที่ไหนเขาจะอยากอ่านเรื่องของลุงกันเล่า?...เรียงความนี่เขาเขียนขึ้นเพื่อให้คนอื่นอ่านนะ ลุงไม่เข้าใจหรือไง?”
การสนทนาชะงักลงชั่วครู่ เมื่อช่างตีเหล็กเอาเกือกม้าใส่เข้าที่และใช้ค้อนตีลงไปแรงๆ เวคฟิลด์ทำจมูกฟุดฟิดกับกลิ่นหนังและขนสัตว์ที่คละคลุ้งอยู่ในอากาศจนเมื่อชอล์ควางค้อนลงแล้วเขาจึงได้เอ่ยขึ้นว่า
“ครั้งหนึ่งยังเคยมีกวีคนหนึ่งเขียนบทกวีเกี่ยวกับชีวิตของช่างตีเหล็กเลย ฉันยังจำได้นะ มันขึ้นต้นว่า ‘ภายใต้ต้นเชสนัทที่แผ่กิ่งก้านร่มครึ้ม...’ เจ้าเคยอ่านหรือเปล่าล่ะ? เขาก็เขียนขึ้นมาเพื่อให้คนอ่านเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
“โอ้...ผมรู้จักกลอนบทนั้นดีทีเดียวละ แต่...ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย และยิ่งกว่านั้นช่างตีเหล็กคนที่เขาเขียนถึงก็ไม่ใช่ช่างแบบลุงหรอก เพราะคนนั้นเขาไม่ขี้เมาไม่ตบเมียจนตาเขียว แล้วก็ไล่ตีลูกๆ อยู่ตลอดเวลาอย่าง...”
“นี่...เจ้าฟังนะ” ชอล์คเกิดโมโหขึ้นมาทันที
“หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาค้อนนี่ฟาดหัวเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ”
เวคฟิลด์ถอยกรูดออกมา แต่ก็ยังอดต่อปากต่อคำไม่ได้อยู่ดี
“นั่นไง เห็นไหมล่ะ? ในที่สุดลุงก็พิสูจน์ให้เห็นว่าผมพูดน่ะมันเป็นความจริง ลุงไม่ใช่ช่างตีเหล็กอย่างที่ใครเขาจะเอาไปแต่งเป็นเรื่องเรียงความได้หรอกน่า หรือแม้แต่จะเอาไปเขียนกลอนก็เถอะ ชีวิตของลุงไม่เห็นมันจะสวยงามตรงไหนเลย มิสเตอร์เฟนเนลบอกว่าเราควรจะเขียนแต่เฉพาะเรื่องสวยๆ งามๆ เท่านั้น”
“เอาละ ฉันรู้แล้วว่าฉันไม่สวยไม่งามอย่างที่เจ้าว่า” ชอล์คตอบ
“แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่ได้เลวไปเสียทั้งหมดหรอกน่า”
“หมดยังไง?” เวคฟิลด์ไม่ใคร่เข้าใจคำพูดของชอล์คเท่าไรนัก
“ก็...หมดจนเขียนถึงไม่ได้น่ะสิ”
“ถ้าอย่างนั้นนะลุงจอห์น เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าผมจะเขียนเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวลุงทั้งหมด แล้วเอาไปส่งมิสเตอร์เฟนเนล ลุงจะดีใจไหมล่ะ?”
“ฉันจะดีใจก็ต่อเมื่อได้เอาค้อนนี่ฟาดใส่หัวเจ้าเท่านั้นละ ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้นะ”
ชอล์คตลาดเสียงดังลั่น พร้อมกับควงค้อนทำท่าคุกคามใส่เด็กชาย
เวคฟิลด์ถอยร่นออกมา เมื่อเห็นท่าทางเอาจริงของชอล์คเข้า แต่กระนั้นก็ยังพยายามจะรักษาศักดิ์ศรีของตนเองไว้ แต่พอออกมาถึงถนนได้ศักดิ์ศรีที่แบกอยู่ก็หบุดออก เด็กชายรู้สึกตัวเบาเป็นอิสระขึ้นอย่างมากมายเมื่อได้ออกวิ่งห้อเต็มเหยียดจนกระทั่งเข้ามาใกล้บ้านหลังเล็กหลังหนึ่งซึ่งมีรั้วเตี้ยๆ ฝีมือประณีตล้อมไว้ และตอนนั้นเองที่เขาเหลือบไปเห็นเด็กหญิงวัยหกขวบที่กำลังเล่นชิงช้าอยู่ใกล้ประตู
“เวคฟิลด์” เด็กหญิงทักทายด้วยสุ้มเสียงดีอกดีใจ
“มาช่วยไกวชิงช้าให้ฉันหน่อยสิ”
“ได้สิ เพื่อนตัวน้อยๆ ของผม” เวคฟิลด์ตอบด้วยน้ำเสียงเริงรื่น
“เอาละ เรามาไกวชิงช้ากันให้สุดเหวี่ยงเลยนะ”
จากนั้นเขาก็ลงมือไกวชิงช้า ในตอนแรกก็ด้วยจังหวะธรรมดา แต่แล้วก็ค่อยๆ เพิ่มความแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในตอนแรกนั้นอีกเช่นกันที่เด็กหญิงก็ดูจะหัวเราะด้วยความสนุกสนานเป็นอย่างดี แต่ในที่สุดด้วยความตกใจกลัวเมื่อเห็นชิงช้าเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ เจ้าหล่อนก็ร้องไห้ออกมาและต้องเกาะเชือกไว้แน่นด้วยความกลัวว่าจะตกลงมาจากชิงช้านั้น
ทันใดประตูบ้านก็เปิดออกและหญิงผู้เป็นมารดาก็ก้าวออกมา
“ไปให้พ้นนะ เจ้าเด็กบ้านี่ ซนเสียเหลือเกินแล้ว”
นางตะโกนไล่ด้วยความโมโห พร้อมกับวิ่งตรงเข้ามายังชิงช้า
“คอยดูนะฉันจะต้องฟ้องพี่ชายของแกให้เฆี่ยนสั่งสอนเสียบ้าง
“พี่ชายคนไหนล่ะฮะ?” เวคฟิลด์ย้อนถาม แต่ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ถอยออกห่างจากชิงช้า
“ผมมีพี่ชายตั้งสี่คน คุณนายก็รู้นี่”
“อ๋อ...ฉันก็ต้องฟ้องคนคนโตที่สุดน่ะสิ มิสเตอร์ไว้ท์โอ๊คที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้นั่นแหละ”
เวคฟิลด์ยืดอกขึ้นทันทีตอบด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มที่ว่า
“คุณนายวิกเกิ้ลฮะ ถ้าผมเป็นคุณนายนะผมเห็นจะไม่ทำอย่างนั้นแน่เลย เวลาที่เรนนี่เขาทำโทษผมทีไรเขาจะต้องรู้สึกเสียใจทุกครั้ง เพราะเขารู้ว่าผมเป็นโรคหัวใจอ่อนอยู่และที่ผมไม่ได้ไปโรงเรียนเหมือนคนอื่นๆ ก็เพราะไอ้โรคหัวใจนี่แหละฮะ แต่ถ้ามีใครไปฟ้องเขาก็จำเป็นจะต้องทำโทษผมอยู่ดี คิดดูก็แล้วกันนะฮะว่าคุณนายอยากจะทำให้เขาเสียใจหรือเปล่า แล้วเรื่องไกวชิงช้านี้ก็เหมือนกัน ถ้ามิวเรียลไม่เรียกให้ผมช่วยไกวผมก็คงไม่ทำหรอกฮะแล้วผมก็คิดว่าเขาเองก็ชินกับการไกวชิงช้าแรงๆ ด้วยคุณนายให้ความยุติธรรมกับผมหน่อยสิฮะ คิดดูก็แล้วกันนะฮะที่มิวเรียลไกวชิงช้าไปชนอยู่กับประตูรั้วโครมๆ อย่างนั้นเดี๋ยวก็หักหมดหรอกถ้าเขาไม่พอใจขึ้นมาอย่างมากแล้วละก็เขาจะทำอะไรคุณนายก็ได้นะฮะ”
สีหน้าของมิสซิสวิกเกิ้ลเผือดซีดลงทันที ลูบหลังลูกสาวที่กำลังสะอึกสะอื้นฮักๆ อยู่อย่างปลอบโยน
“ก็ได้ ฉันกำลังอยากจะให้เขามาซ่อมหลังคาบ้านให้อยู่พอดีทีเดียว เวลาฝนตกทีไรมันรั่วไปหมดทั้งห้องเลย”
“เรื่องนั้นผมจะบอกเขาให้นะฮะ ผมจะให้เขาจัดช่างมาซ่อมหลังคาให้คุณนายทันทีรับรองได้เลยฮะคุณนายวิกเกิ้ล” พูดจบเด็กชายก็เดินออกจากบ้านหลังนั้นด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
ขณะนี้เขามองเห็นโบสถ์ซึ่งตั้งอยู่เหนือเนินเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง รายล้อมอยู่ด้วยหมู่ต้นซีดาร์แล้ว หอคอยทรงสี่เหลี่ยมเด่นตระหง่านขึ้นสู่ท้องฟ้าราวจะท้าทายต่อความกว้างใหญ่ไพศาลแห่งแผ่นฟ้านั้น ปู่ของเขาได้สร้างโบสถ์แห่งนี้ขึ้นไว้เมื่อเจ็ดสิบห้าปีก่อน และขณะนี้ทั้งปู่ พ่อ และแม่ต่างก็ได้นอนสงบอยู่ในสุสานประจำตระกูลที่อยู่ในบริเวณเดียวกันนั้น เมื่อเลยโบสถ์ออกไปทางด้านหลังคือห้องทำงานของบาทหลวง ประจำโบสถ์ซึ่งเด็กชายจะต้องมาเรียนหนังสือที่นี่
แต่ขณะนี้เท้ามันแทบไม่อยากจะก้าวออกจากที่เอาเสียเลย ทั้งนี้เพราะเขากำลังยืนอยู่เบื้องหน้าร้านของมิสซิสบรอนว์ ซึ่งมิใช่จะขายแต่เฉพาะขนมหวานของโปรดเท่านั้น ยังมีพวกเครื่องดื่มต่างๆ ขนมปังบัน ขนมพาย และแซนด์วิชอีกด้วย