บทที่ 3
ร้านค้าของมิสซิสบรอนว์นี้ก็คือห้องด้านหน้าของบ้านที่นางอยู่อาศัยนั่นเอง โดยนางได้จัดตกแต่งด้วยการใส่ชั้นสำหรับวางของกับเคาน์เตอร์เข้าไป เอาโต๊ะตัวหนึ่งตั้งเข้าตรงหน้าต่างและใช้วางสินค้าที่ต้องการโชว์
ทุกครั้งที่ผ่านร้านนี้เวคฟิลด์จะมีความรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงเหมือนจะเป็นลมขึ้นมาเสียให้ได้ ปากคอดูจะแห้งผากลิ้นติดหนับอยู่กับเพดานขึ้นมาทันทีด้วยความหิวกระหายอย่างเหลือกำลัง ท้องไส้ก็ดูโหวงๆ ปั่นป่วนยังไงชอบกล ไม่มีใครอีกแล้วในโลกนี้ ที่อยากจะได้ดื่มอะไรเย็นๆ เท่าเขาในยามนี้ และไม่มีใครในโลกอีกเช่นกันที่จะไม่มีเงินติดตัวเช่นเขา
เวคฟิลด์ล้วงลงไปในกระเป๋า ไม่ว่าเขาจะแบกศักดิ์ศรีไว้หนักอึ้งสักแค่ไหนก็ตาม แต่ในกระเป๋าก็ไม่มีเงินเลยแม้แต่เซ็นต์เดียว ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มิสซิสบรอนด์ถืออย่างที่สุด ตอนนี้เขาสามารถจะมองเห็นใบหน้าอูมๆ แดงก่ำของนางที่โผล่ออกมาตรงช่องกระจกได้แล้วด้วย มันทำให้เด็กชายต้องยิ้มเขินๆ ออกมาเพราะยังเป็นหนี้นางอยู่อีกสิบสามเซ็นต์ ซึ่งตอนนี้ก็ยังมองไม่เห็นว่าจะไปหาเงินที่ไหนมาใช้คืนให้ และขณะนี้นางก็เดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูแล้ว
“ว่าไงพ่อหนุ่ม เงินที่เธอติดฉันอยู่น่ะจะว่ายังไง?” มิสซิสบรอนว์ถามตรงๆ
“โอ...คุณนายบรอนว์ฮะ เช้าวันนี้ผมรู้สึกไม่ใคร่สบายเลย มันคอแห้งจริงๆ อยากจะได้โซดามะนาวซักขวด ได้โปรดเถอะฮะ สำหรับเรื่องเงินนั่น...” เขาทำเป็นยกมือขึ้นมาบีบขมับ
“ที่จริงผมไม่ควรจะออกมาตากแดดทั้งที่ไม่ได้สวมหมวกอย่างนี้เลย จริงไหมฮะ?...เอ๊ะ...เมื่อกี๊ผมพูดถึงอะไรนะฮะ? อ๋อ...ใช่แล้ว เรื่องเงินที่ผมติดค้างไว้นั่นเอง คืออย่างนี้นะฮะ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของผมแล้ว ผมจะต้องได้เงินเป็นของขวัญจากพวกพี่ๆ แน่เลยฮะ จะสิบแปดหรือสิบสามเซ็นต์มันก็ไม่มีความหมายอะไรสำหรับผมหรอกฮะ ต่อให้เหรียญหนึ่งด้วย”
“แล้ววันไหนล่ะที่เป็นวันเกิดของเธอน่ะ?” มิสซิสบรอนว์ชักใจอ่อน
เด็กชายยกมือขึ้นบีบขมับอีกครั้ง
“ผมก็จำไม่ได้แม่นหรอกฮะ มันใกล้ๆ กับวันเกิดของคุณย่านั่นแหละ ผมก็เลยไม่ใคร่แน่ใจรู้แต่ว่าอีกไม่นานแล้วละฮะ”
ขณะที่พูดเวคฟิลด์ก็เดินเลยเข้าไปในร้านและไปยืนพิงอยู่กับเคาน์เตอร์
“ผมขอโซดามะนาวนะฮะ แล้วก็ขอหลอดสองอันด้วย”
เด็กชายรู้สึกมีความสุขยิ่งนักเมื่อมิสซิสบรอนว์เอาขวดน้ำหวานมาตั้งให้ตรงหน้าพร้อมด้วยหลอดฟางสองอันตามที่ขอ
“ตอนนี้คุณย่าของเธอเป็นยังไงบ้างล่ะ?” นางเอ่ยถามขึ้น
“โอ...สบายมากเลยฮะ ขอบคุณ พวกเราหวังกันว่าคุณย่าจะมีอายุยืนถึงหนึ่งร้อยปีเลยนะฮะ ผมว่าตอนนี้คุณย่าก็กำลังใช้ความพยายามอย่างมากอยู่เหมือนกันเพราะคุณย่าอยากจะเห็นงานที่พวกเราจะจัดฉลองให้ท่านเขาว่ากันว่าจะมีปาร์ตี้ แล้วก็จุดพลุสีสวยๆ ด้วย คุณย่าบอกว่าท่านคงจะต้องเสียดายมากเลยละฮะถ้าไม่ได้เห็น แต่ถ้าคุณย่าตายเราก็คงจะไม่มีงานฉลองอย่างนั้นอยู่ดี เพราะฉะนั้นคุณย่าก็ต้องรอดูไปก่อน คุณย่าจะตายได้ยังไงจริงไหมฮะ? ในเมื่อมันเป็นงานฉลองวันเกิดของท่านเองแท้ๆ”
“นั่นสิ แล้วเธอก็คงจะต้องเตรียมของขวัญไว้ให้ท่านด้วยสินะ”
มิสซิสบรอนว์พลอยเคลิบเคลิ้มไปกับคำพูดของเวคฟิลด์ด้วย สายตาที่มองเด็กชายเต็มไปด้วยความชื่นชมยิ่งนัก
“ใช่ฮะ” เวคฟิลด์ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้าผมไม่มีของขวัญให้คุณย่า ผมก็ไม่มีบทบาทอะไรเลยนะฮะ โดยเฉพาะเมื่อผมเป็นสมาชิกคนที่มีอายุน้อยที่สุดในครอบครัวใหญ่ๆ อย่างนั้นคุณย่าท่านชอบคุยกับผมมากเลยฮะ คุณย่าเล่าเรื่องของคุณย่าผมก็เล่าเรื่องของผม เราทั้งสองคนต่างก็คิดเหมือนๆ กันว่าเราอาจจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นานนัก เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องหาความสุขใส่ตัวเองให้มากที่สุด จริงไหมฮะ?”
“โอ...พ่อคุณ อย่าพูดอะไรทำนองนั้นเลย เธอยังจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนานทีเดียวนะ”
ดวงตาของมิสซิสบรอนว์เต็มไปด้วยแววแห่งความสงสาร
“อย่ากลุ้มใจไปเลยนะหนู”
“ผมไม่ได้กลุ้มใจเลยนะฮะ คุณนายบรอนว์พี่สาวผมต่างหากที่กลุ้มใจมาก เพราะเขาต้องเลี้ยงดูผมมาอย่างยากลำบากและเวลานี้ผมก็ยังไม่โตเลย”
เวคฟิลด์ยิ้มเศร้า ก่อนจะโน้มศีรษะลงดูดน้ำในขวดอย่างชื่นฉ่ำ
มิสซิสบรอนว์หายตัวเข้าไปในครัวที่อยู่ด้านหลังร้าน มีไอร้อนๆ พลุ่งออกมาจากในห้องนั้น พร้อมด้วยกลิ่นหอมของขนมเค้กที่เพิ่งจะสุกใหม่ โอ...ผู้หญิงคนนี้ช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน อยากจะอบขนมเค้กชนิดไหนเมื่อไหร่ก็ทำได้ และส่วนไหนที่นางไม่กินเองก็ยังเอามาขายได้สตางค์เสียอีกด้วย แหม...นี่ถ้าได้เค้กสักชิ้นโลกคงจะโสภากว่านี้หาน้อยไม่เลย...แค่ชิ้นเล็กๆ สักชิ้นเดียวเท่านั้นก็พอแล้ว...
ขณะที่เขาดูดน้ำหวานให้ขึ้นมาหล่อเลี้ยงให้ความชุ่มชื่นกับลำคออยู่นั้น ดวงตาคู่กลมโตแจ่มแจ๋วก็กวาดไปทั่วเคาน์เตอร์ ใกล้ๆ กับที่เขายืนอยู่เวคฟิลด์มองเห็นถาดใส่หมากฝรั่ง โอ้โฮ...มันพูนกันอยู่ในถาดนั้นจนแทบจะล้นออกมาเสียให้ได้ แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่เขามิได้รับอนุญาตให้เคี้ยวหมากฝรั่ง...เวคฟิลด์ถอนใจอย่างอาวรณ์ นึกถึงตอนที่ได้ขบฟันลงบนก้อนแข็งที่มีน้ำตาลกรอบๆ หุ้มอยู่และปล่อยให้น้ำหวานๆ ไหลเลื่อนลงไปตามลำคอ...แค่นึกเห็นภาพ เวคฟิลด์ก็กลืนน้ำลายเอื๊อกแทบจะสำลักรสหวานชุ่มฉ่ำของหมากฝรั่งนั่นแล้ว
ดังนั้น ก่อนหน้าที่เด็กชายจะทันรู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไป มือเล็กๆ ก็เอื้อมออกไปยังถาดใบนั้นคว้าหมากฝรั่งขึ้นมาได้กล่องหนึ่งหย่อนลงในกระเป๋ากางเกงทันทีจากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาดูดน้ำหวานต่อ เพียงแต่ว่าเขาพยายามปิดเปลือกตาให้แน่นไว้
มิสซิสบรอนว์เดินกลับออกมาพร้อมด้วยสปันเค้ก เนื้อนุ่มหอมกรุ่นที่วางมาในจาน แล้วนางก็เอาจานใบนั้นวางลงตรงหน้าเขาด้วย
“ฉันคิดว่าเธอคงจะชอบนะ เพิ่งสุกออกมาจากเตาใหม่ๆ เลย ถือเสียว่าเป็นของกำนัลจากฉันก็แล้วกันนะ ฉันไม่คิดเงินเธอหรอก”
เวคฟิลด์รู้สึกตื้นตันใจจนพูดไม่ออก
“โอ...ขอบคุณ...ขอบคุณเหลือเกินฮะ...ขอบคุณจริงๆ”
ดูเหมือนในตอนแรกเขาจะพูดได้เพียงแค่นี้แต่แล้วก็หลุดปากต่อออกมาว่า
“แย่จังเลยฮะ ผมกินน้ำหวานเสียเกลี้ยงแล้วด้วย ถ้าผมกินเค้กเข้าไปตอนนี้ก็คงจะติดคอแย่...นอกเสียจากว่าผมเห็นจะต้องซื้อน้ำหวานอีกสักขวดแล้วละฮะ” เด็กชายกวาดสายตามองไปบนชั้น
“ผมว่าคราวนี้ผมเอาจิงเจอร์เอลดีกว่านะฮะ คุณนายบรอนว์ ไม่ต้องเอาหลอดก็ได้นะฮะ เพราะหลอดเก่านี่มันก็ใช้ได้อยู่แล้ว” เวคฟิลด์พูดด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ
“ได้สิหนู” มิสซิสบรอนว์เปิดน้ำหวานขึ้นอีกขวดหนึ่งและเอามาวางให้ตรงหน้า
ขนมเค้กนั้นด้านนอกกรอบกริบ แต่เมื่อกัดลงไปจะพบกับความอ่อนนุ่มที่แทบจะละลายอยู่ในปาก แถมแต่ละชิ้นยังมีลูกเกดเนื้อนุ่มหวานชุ่มฉ่ำใส่ไว้ตรงกลางอีกตั้งหกเม็ด...โอ มันช่างอร่อยขาดใจอะไรเช่นนี้หนอ...
เมื่ออิ่มหนำสำราญดีแล้วเวคฟิลด์ก็ออกจากร้านค่อยๆ เดินขึ้นบันไดสูงชันตรงไปยังโบสถ์ที่สูงเด่นอยู่บนยอดเนินไม่ไกลนัก พร้อมๆ กันสมองเล็กๆ ก็ทบทวนบทเรียนที่จะต้องเรียนในวันนั้นไปด้วย แต่ใจหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่าวันนี้มิสเตอร์เฟนเนลจะอยู่หรือไม่หนอ? ถ้าอยู่จะกวดขันกับบทเรียนหรือว่าจะไม่ใคร่สนใจเท่าไรนัก
แต่จะอย่างไรก็ตามทีเถอะขณะนี้เขาคือเด็กชายผู้น่าสงสารที่ไม่มีทางจะช่วยตัวเองได้เลย ช่างหงอยเหงาและเศร้าใจอะไรเช่นนี้
เมื่อขึ้นถึงระเบียงด้านบนเวคฟิลด์ก็เดินเลาะลัดไปใต้ร่มเงาของชายคาที่ผ่านไปทางสุสานประจำตระกูล ไปหยุดยืนรีรออยู่ข้างรั้วเหล็กที่กั้นบริเวณที่ฝังศพของบุคคลในตระกูลไว้ ทอดสายตามองไปยังป้ายหินแกรนิตที่สลักข้อความว่า
“ไว้ท์โอ๊ค” จากนั้นก็เลื่อนสายตามองไปยังแผ่นหินที่สลักชื่อผู้เสียชีวิตไว้ว่า
“แมรี่ ไว้ท์โอ๊ค ภรรยาของ ฟิลลิป ไว้ท์โอ๊ค”
นั่นคือหลุมฝังศพมารดาของเขาเอง คุณปู่ก็นอนอยู่ที่นี่ รวมทั้งภรรยาเก่าของพ่อซึ่งเป็นมารดาของเรนนี่กับเม๊ก และทารกอีกหลายคนในตระกูลไว้ท์โอ๊คก็ถูกนำร่างมารวมกันไว้ในสุสานแห่งนี้ด้วย
โดยความเป็นจริงแล้วเวคฟิลด์ชอบบริเวณสุสานนี้มาก ชอบรั้วเหล็กที่ดัดเป็นลวดลายอ่อนหวานกับลูกเหล็กกลมๆ ที่แขวนไว้เป็นระยะระหว่างเสารั้วนั้น มันดูน่ารักเหมือนของเล่นไม่มีผิดเช้าวันนี้เวคฟิลด์อยากจะมานั่งเล่นอยู่แถวนี้มากกว่า อยากจะเด็ดดอกคิงคัพส์สีทองมาวางไว้เหนือหลุมฝังศพของแม่ และบางทีอาจจะเอาสักดอกหรือสองดอกวางบนหลุมฝังศพแม่ของเรนนี่กับเม๊กด้วยก็ได้ แต่สำหรับหลุมฝังศพของพวกผู้ชายแล้วไม่จำเป็นเลย เพราะพวกผู้ชายไม่ใคร่สนใจเรื่องดอกไม้มากนัก หรือแม้แต่พวกทารกในตระกูลก็ตามทีเถอะ แต่บางทีเขาอาจจะให้กวินเนทที่เสียอายุเมื่อตอนห้าเดือนสักดอกหนึ่ง เพราะเขาชอบชื่อของเธอ
เวคฟิลด์เคยสังเกตเห็นว่าเวลาเม๊กเอาดอกไม้มาคารวะหลุมฝังศพเหล่านี้เธอจะเลือกดอกที่ดีที่สุด สวยที่สุดวางลงบนหลุมฝังศพของแม่คือ ‘มาร์กาเร็ท ไว้ท์โอ๊ค’ แต่สำหรับ ‘แมรี่ ไว้ท์โอ๊ค’ ซึ่งเป็นแม่ของเขา ของอีเด็น ปิแอร์และฟิ้นช์แล้ว เม๊กจะให้ดอกไม้ที่สวยน้อยกว่าเสมอ
ดีละ เขาจะต้องทำอย่างเดียวกันบ้าง เด็กชายคิดอาฆาตอยู่ในใจ มาร์กาเร็ทจะได้เพียงดอกไม้ช่อเล็กๆ เท่านั้น ส่วนแมรี่ก็จะต้องได้ช่อที่สวยที่สุดและใหญ่ที่สุดด้วย