บทที่4
เรือนพักซึ่งเป็นทั้งห้องทำงานพร้อมกันในตัวของบาทหลวงประจำโบสถ์นั้นมีลักษณะเป็นบ้านที่หลังคาลาดลงและมีจั่วสูง ขณะที่เดินมาถึงนั้นเวคฟิลด์สังเกตเห็นด้วยว่าประตูบ้านด้านหน้าเปิดอยู่ เด็กชายเพียงแต่เดินเข้าไปในประตูนั้นเงียบๆ โดยไม่สนใจว่าจะต้องเคาะประตูแจ้งให้เจ้าของบ้านรู้ตัวล่วงหน้าเสียก่อน ขณะเดียวกันก็พยายามแต่งสีหน้าให้เคร่งขรึมเข้าไว้
แต่ทว่าภายในห้องสมุดนั้นไม่มีผู้ใดอยู่เลย บนโต๊ะเล็กที่เขาเคยนั่งประจำนั้นมีหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่เด็กชายเดินอย่างอ่อนระโหยไปกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ซุกหน้าไว้ในอุ้งมือ เสียงเข็มนาฬิกาเรือนใหญ่ที่เดินเป็นจังหวะเหมือนจะบอกว่า
“เวคฟิลด์...เวคฟิลด์...เวค...เวค...เวค...เวค...” และแล้วช่างน่าแปลกใจยิ่งนักเมื่อเสียงนั้นเปลี่ยนไปเป็นว่า “นอน...นอน...นอน...นอนเสียเถอะ...นอนเสียนะ”
กลิ่นอับๆ จากเครื่องเฟอร์นิเจอร์กับหนังสือเก่าๆ ในห้องราวจะกดเปลือกตาของเขาให้ปิดลง เวคฟิลด์ได้ยินเสียงจอบกระทบดินอยู่ภายนอกและรู้ว่าขณะนี้มิสเตอร์เฟนเนลกำลังปลูกมันฝรั่งอยู่ในสวน ดูเหมือนเวคฟิลด์จะงีบหลับไปเป็นครู่ ศีรษะก้มลงไปหาโต๊ะทีละน้อย...ละน้อย และในที่สุดเขาก็หลับไปจริงๆ
แต่แล้วเด็กชายก็ต้องตกใจตื่นขึ้นด้วยมิสเตอร์เฟนเนลที่เดินเข้ามาในห้อง ท่าทางของเขาบอกความตกอกตกใจอยู่
“โอ...คุณหนู” เขาร้องออกมาอย่างละอายใจ
“เสียใจจริงครับที่ผมทำให้คุณหนูต้องรอนานอย่างนี้ ผมต้องรีบปลูกมันฝรั่งเสียก่อนที่จะถึงคืนที่พระจันทร์เต็มดวงมันเป็นเรื่องของการเชื่อถือในเรื่องโชคลางไสยศาสตร์นั่นแหละครับ แต่ก็?”
เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาสิบสองนาฬิกาแล้ว...
มิสเตอร์เฟนเนลโน้มร่างอยู่เหนือศีรษะของเด็กชาย
“เช้าวันนี้เป็นยังไงบ้างล่ะครับ” สายตาของเขาจับจ้องอยู่กับหนังสือบทเรียนที่เวคฟิลด์กำลังเปิด
“ก็เหมือนเดิมนั่นแหละฮะ ขอบคุณ” เวคฟิลด์ตอบหยิ่งๆ น้ำเสียงบอกความไม่ใคร่พอใจนัก
“อืม...ดูที่บทนี้สิ เรามาทบทวนบทนี้กันก่อนนะครับ...”
“มิสเตอร์เฟนเนลฮะ” เวคฟิลด์ขัดขึ้น
“ว่าไงล่ะเวค?” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเคราหยิกๆ หันมามองเด็กชายอย่างสงสัย
“คือเรนนี่ให้ผมมาถามว่าวันนี้คุณจะให้ผมกลับบ้านตอนเที่ยงตรงได้ไหมฮะ คืออย่างเมื่อวานนี้กว่าผมจะได้ทานอาหารทุกคนเขาก็ทานกันเกือบจะอิ่มแล้วละฮะ คุณย่าโมโหมาก คุณก็ทราบนะฮะว่าคุณย่าแก่มากแล้ว...”
“ได้สิ...ได้...ผมอนุญาตให้คุณหนูกลับได้ โอ...ผมรู้ครับว่าเราไม่ต้องการจะทำให้คุณย่าไว้ท์โอ๊คต้องโมโห มันไม่ดีเลย รับรองครับว่าเรื่องอย่างนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เอ...ถ้าอย่างนั้นเห็นจะต้องรีบแล้วสินะครับ เอาละคุณหนูกลับได้เลย เราต่างก็มีธุระยุ่งด้วยกันทั้งสองคนผมเองก็จะได้กลับไปปลูกมันฝรั่งต่อ”
เขารีบเร่งให้การบ้านสำหรับวันพรุ่งนี้ทันที
“เอ้อ...มิสเตอร์เฟนเนลฮะ คือผมอยากจะรู้ว่า ทอม ลูกชายของคุณจะเอารถม้าออกไปข้างนอกตอนบ่ายวันนี้หรือเปล่า ถ้าเขาไปผมจะได้ฝากให้เขาช่วยเอาหนังสือกับการบ้านไปส่งให้ผมที่บ้านด้วย ผมต้องใช้ทั้งดิกชันนารีและแผนที่นะฮะ แล้วก็ตั้งสองเล่มอย่างนี้ มันหนักมากและวันนี้ผมก็สายมากแล้วจะต้องรีบวิ่งกลับบ้านไม่เช่นนั้นเดี๋ยวก็จะไม่ทันใครๆ อีก”
“ได้ครับ” มิสเตอร์เฟนเนลตอบด้วยสีหน้ายิ้มละไม
ในที่สุดเด็กชายก็ได้ออกมาอยู่ท่ามกลางแสงสว่างสดใสของดวงอาทิตย์ในยามเที่ยววัน ในท่ามกลางอากาศที่ปลอดโปร่ง เรื่องหนังสือไม่ต้องห่วงเพราะมิสเตอร์เฟนเนลได้รับไปจัดการให้เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นสมองของเขาก็ไม่ต้องหมกมุ่นอยู่กับซีซาร์ หรือโยลิเวอร์ ครอมเวลล์อีกต่อไป อีกทั้งร่างกายก็สดชื่นอย่างมากด้วยน้ำหวานตั้งสองขวดกับเค้กอีกถึงสองชิ้น
เวคฟิลด์เดินย้อนกลับไปตามเส้นทางที่ผ่านมา หยุดยืนดูหมูตัวเมียตัวหนึ่งที่ออกมาเดินเล่นอยู่บนท้องถนนและเดินเคียงข้างเขามาช่วงหนึ่ง จากนั้นมันก็แยกตัวเดินเข้าประตูสวนไม้ดอกที่อยู่ข้างทางไป
โอ...ชีวิตช่างสุขสันต์น่ารื่นรมย์อะไรเช่นนี้ เมื่อเวคฟิลด์วิ่งบ้างเดินบ้างมาถึงลำห้อยที่มีน้ำใสๆ ไหลรินอยู่สายลมอ่อนก็เปลี่ยนเป็นลมแรง เมื่อเด็กชายโผนออกวิ่งเสียงลมหวีดหวิวอยู่กับไรฟัน สายลมนั้นดูเหมือนจะเป็นเพื่อนเล่นที่ดีที่สุดสำหรับเขา เวคฟิลด์พยายามจะวิ่งแข่งกับมันอยู่เสมอ อยากจะให้ตัวเองได้เป็นเช่นสายลมนั้น เพื่อที่จะได้พัดเป่าหมู่เมฆให้เป็นรูปร่างต่างๆ ตามใจชอบ และพลังแห่งสายลมก็ยังสามารถจะเขย่าต้นเชอรี่ให้สั่นสะท้านไปทั้งลำต้นได้อีกด้วย
ขณะที่วิ่งไปนั้นเด็กชายก็พุ่งแขนไปข้างหน้าเหมือนท่าของนักว่ายน้ำ สีหน้าของหนุ่มน้อยในยามเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดมิได้ตื่นกลัวเช่นลูกแกะที่โดดเดี่ยวอีกต่อไป
ในที่สุดเวคฟิลด์ก็บรรลุถึงต้นซีดาร์ที่ตระหง่านอยู่บนลานกว้าง เด็กชายคลานเข้าไปในโพลงใต้ต้นไม้ แม้ใจจะประหวั่นว่าตัวเองจะไปไม่ทันรับประทานอาหารก็ตาม แต่ก็ขอนั่งพักสักครู่เถอะน่า เพราะที่นี่คือบ้านอีกหลังหนึ่งของเขาเหมือนกัน
ตอนที่เวคฟิลด์เดินเข้าไปในบ้านด้วยฝีเท้าที่เงียบกริบนั้น เด็กชายได้ยินเสียงช้อนส้อมและจานชามกระทบกันอยู่ พร้อมกับเสียงพูดที่ดังมาจากห้องรับประทานอาหาร ขณะนี้สมาชิกทุกคนของครอบครัวกำลังลงมือรับประทานอาหารกันแล้ว และเขาซึ่งเป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของครอบครัวก็พึ่งจะเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าประตูเท่านั้นเอง
โต๊ะอาหารดูเหมือนทุกคนจะมาชุมนุมกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาที่นั่นและต่างคนต่างก็พูดเรื่องของตนออกมาพร้อมๆ กันแต่กระนั้นก็มิได้มีใครละเลยต่อจากทหารที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ควันจากอาหารจานกลางลอยกรุ่นและถูกส่งต่อๆ กันไปตลอดเวลาเสียงมีดและส้อมกระทบกันอยู่ไม่ขาดระยะหลายครั้งที่คนซึ่งกินไปพูดไปต้องหยุดเว้นระยะใช้น้ำชาร้อนๆ กลั้วคอไล่อาหารให้ไหลลงสู่กระเพาะ
แต่ทว่าไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกับเวคฟิลด์เลยขณะที่เขาเลื่อนร่างเข้าไปนั่งในเก้าอี้ประจำของตนซึ่งอยู่ทางด้านขวามือของเม๊กพี่สาวต่างมารดา นับแต่วาระแรกที่เวคฟิลด์สามารถร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับคนอื่นได้ เขาก็ถูกจัดให้นั่งตรงนั้น ตอนแรกก็บนเก้าอี้ขาสูง ต่อมาเมื่อเจริญวัยขึ้นก็นั่งบนเก้าอี้ธรรมดาเช่นคนอื่นๆ เพียงแต่ว่าจะต้องมีหนังสือบทกวีภาษาอังกฤษเล่มโตซึ่งไม่มีผู้ใดในครอบครัวอ่านเลยสักคนรองไว้ใต้ก้น และนับแต่นั้นมาหนังสือชุดนี้ก็ได้รับการขนานนามว่า ‘หนังสือของเวคฟิลด์’
โดยความเป็นจริงแล้วเขาไม่จำเป็นจะต้องมีหนังสือเล่มนี้รองใต้ก้นเพื่อจะจับมีดและส้อมให้ถนัดก็ได้ แต่ดูเหมือนเด็กชายจะชินเสียแล้วที่จะต้องนั่งแบบนั้นบุคคลในตระกูลไว้ท์โอ๊คนั้นมักจะคุ้นกับสิ่งที่เคยเป็นหรือกระทำอยู่เสมอและยังยึดมั่นไว้ด้วย เวคฟิลด์เองก็ไม่มีข้อยกเว้นในเรื่องนี้เขาชอบนั่งโดยมีหนังสือแข็งๆ รองอยู่ใต้ก้นเช่นนี้เสียแล้ว
“ผมจะทานอาหาร”
เวคฟิลด์ร้องเสียงดัง ซึ่งต่างไปจากน้ำเสียงออดอ้อนที่เขาเคยใช้กับมิสซิสบรอนว์ มิวซิสวิกเกิ้ล และครูผู้สอนหนังสือ
“ขออาหารให้ผมด้วยสิฮะ”
“จุ๊ย์...” เม๊กแย่งส้อมราเด็กชายกำลังใช้ทิ่มแทงอากาศอยู่มาถือไว้
“เรนนี่ ช่วยส่งเนื้ออบมาให้หน่อยเถอะ นายคนนั้นเขาไม่ชอบกินอาหารที่มีไขมัน เอาแต่เนื้อๆ เท่านั้น”
“ที่จริงควรจะหัดให้กินไขมันบ้างได้แล้วนะ ร่างกายจะได้อ้วนท้วนแข็งแรงขึ้น”
เรนนี่ตัดเนื้อออกเป็นชิ้นๆ เอาตรงที่ติดไขมันใส่มาให้ด้วย
มีเสียงคุณย่าพูดขึ้น ดูเหมือนอาหารจะเต็มอยู่ในปาก
“ให้มันกินไขมันบ้าง ดีสำหรับมันนะ เด็กเดี๋ยวนี้ถูกตามใจจนเสียคนแล้ว ให้มันกินแต่มันนั่นแหละดีแล้ว ย่ายังกินเลยเห็นไหมอยู่มาจนอายุจะร้อยปีแล้ว”
เวคฟิลด์มองหน้าคุณย่าไว้ท์โอ๊คอย่างไม่พอใจนัก
“ผมไม่เอามันนะฮะ จะเอาแต่เนื้อๆ เท่านั้น ผมไม่อยากอยู่ถึงร้อยปีหรอก”
คุณย่าเปล่งเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจดังลั่นไปทั้งห้อง
“ไม่ต้องกลัวหรอกหลาน แกน่ะไม่มีทางจะได้อยู่ถึงร้อยปีอย่างย่าหรอก ไม่มีใครในบ้านนี้จะอายุยืนได้อย่างย่าหรอกนะ เวลานี้ย่าอายุเก้าสิบเก้าแล้วและไม่เคยเลือกกินไอ้นั่นไม่กินไอ้นี่เลย เอาเกรวี่มาให้หน่อยสิเรนนี่ แล้วก็ขอขนมปังอีกหน่อยด้วย... ขอเกรวี่มาราดใส่จานให้หน่อย” มิสซิสไว้ท์โอ๊คออกคำสั่งเสียงแหลม
จากนั้นท่านก็หยิบจานตรงหน้าชูขึ้น ลุงนิโคลาสลูกชายคนโตซึ่งนั่งอยู่ข้างตัวรีบรับจานมา และส่งต่อไปให้เรนนี่ที่เอียงจานเนื้ออบจนน้ำเกรวี่ลงไปรวมกันอยู่ที่ข้างหนึ่งจากนั้นจึงใช้ช้อนตักราดลงบนขนมปัง
“เอาอีก...เอาอีก” คุณย่าสั่ง และเขาก็ตักช้อนที่สามราดลงไป
“พอแล้ว...พอแล้ว” ลุงนิโคลาสสั่ง
เวคฟิลด์จับตามองดูคุณย่าที่ตั้งอกตั้งใจรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ เวลานี้คุณย่าต้องใส่ฟันปลอมทั้งข้างบนข้างล่างแล้วและดูจะเป็นฟันที่มีคุณภาพสมบูรณ์แบบเสียด้วย เพราะไม่ว่าจะตักอะไรใส่เข้าไปในปากฟันชุดนี้จะขบเคี้ยวจนละเอียด และอาหารนั้นก็จะกลายเป็นเชื้อเพลิงที่เข้าไปเติมพลังและความแข็งแรงให้กับร่างกายของคุณย่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ส่วนจานของเขานั้นก็มีมันฝรั่งบดกับเทอร์นิฟที่เม๊กใส่เติมลงมาให้ แต่เวคฟิลด์มิได้แตะต้องอาหารเลย ขณะที่จับตามองดูคุณย่าอยู่
“อย่ามองจ้องอย่างนั้นสิเสียมารยาท” เสียงเม๊กกระซิบดุอยู่ข้างหู
“แล้วก็ลงมือกินอาหารเสียทีได้แล้ว”
“ถ้าจะให้ผมกินก็เอามันเนื้อออกให้หมดก่อนสิฮะ” เวคฟิลด์เอนร่างเข้าไปกระซิบตอบ
เม๊กจึงตัดเนื้อติดมันใส่จานของเธอเสียเอง