บทที่5
การสนทนาดำเนินต่อไปตามรูปแบบเดิมของมันส่วนใหญ่ก็เป็นการพูดคุยกันในเรื่องทั่วๆ ไปซึ่งเวคฟิลด์ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ขณะนี้เด็กชายมีความสนใจในอาหารที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าจะให้ความสนใจต่อสิ่งอื่นใด การปะทะคารมข้ามหัวอยู่ไปมาและดูเหมือนจะมีแต่เรื่องที่พูดกันได้เสมอไม่รู้จบ อาทิปีนี้ควรจะปลูกพืชอะไรดี จะจัดการอย่างไรให้ดีที่สุดสำหรับฟิ้นช์ซึ่งต้องไปเข้าโรงเรียนในเมืองใหญ่ ลูกชายคนไหนของคุณย่าที่ใช้ชีวิตแหลวแหลกที่สุด
นิโคลาสซึ่งนั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของย่าผู้ผลาญมรดกส่วนตนที่ได้รับมาจนหมดสิ้นตั้งแต่วัยหนุ่ม เออร์เนสท์ซึ่งนั่งอยู่ทางขวา ผู้ทำลายตนเองด้วยการเป็นนายประกันให้กับเพื่อนและพี่ชายของตนเพราะฝันหวานในความร่ำรวยมากเกินไป หรือฟิลลิป ผู้ซึ่งขณะนี้นอนสงบอยู่ในสุสานแล้ว แต่ก็ได้สมรสครึ่งที่สองซึ่งทำให้มีลูกชายตามมาอีกถึงสี่คน คืออีเด็น, ปิแอร์, ฟิ้นช์และเวคฟิลด์ โดยมิได้คำนึงถึงถึงว่าครอบครัวมีภาระหนักอยู่แล้ว
ห้องรับประทานอาหารเป็นห้องที่กว้างใหญ่มาก เต็มไปด้วยเครื่องเฟอร์นิเจอร์หนักๆ ซึ่งทำให้ห้องมืดครึ้มเกินกว่าความจำเป็น และข่มให้บุคคลผู้เป็นสมาชิกในครอบครัวดูอ่อนแอลงอย่างประหลาด ทั้งไซด์บอร์ดตู้เก็บของสูงตระหง่านขึ้นไปจดเพดาน ซึ่งตรงนั้นยังมีขอบบัวขนาดใหญ่ประดับไว้ ด้านในของบานหน้าต่างและอยู่หลังม่านกำมะหยี่สีเหลืองเข้มเป็นกลุ่ม รวมปลายไว้เป็นพู่ซึ่งดูเหมือนจะมีความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะปิดกั้นโลกภายนอกไว้จากโลกของบุคคลในตระกูลไว้ท์โอ๊ค ภายในคฤหาสน์หลังนี้ ทุกคนจะอยู่อาศัย ดื่ม กินและต่างก็ทำงานตามหน้าที่ของตนไปโดยไม่เกี่ยวข้องกับโลกภายนอกอย่างเด็ดขาด
สำหรับพื้นที่ว่างบนผนังจะมีภาพวาดสีเข้มสีน้ำมันของบุคคลในตระกูลใส่กรอบหนาหนักประดับไว้และที่อยู่ในกรอบกำมะหยี่สีแดง คือภาพของมารดาเรนนี่กับเม๊กในชุดเจ้าสาวแสนสวย
ภาพวาดที่เด่นสะดุดตาและใหญ่กว่าภาพใดๆ ทั้งสิ้น คือภาพของร้อยเอกฟิลลิป ไว้ท์โอ๊ค ประมุขของตระกูล เมื่อครั้งที่ยังรับราชการทหารอยู่ในกองทัพอังกฤษ ถ้าเขาจะมีอายุยืนยาวมาถึงวันนี้ก็จะต้องกว่าร้อยปีแน่เพราะเขาแก่กว่าภรรยาหลายปี ภาพนั้นบ่งบอกถึงสุภาพบุรุษผู้ได้รับการศึกษามาอย่างดี ผิวขาว เรือนผมหยักศกสีน้ำตาล ดวงตาคู่ที่เปล่งแววฉลาดเฉลียวเป็นสีฟ้าใสและกับริมฝีปากบางเฉียบที่บอกให้รู้ถึงความทระนงในศักดิ์ศรีของตนเองยิ่งนัก
ตอนที่เขาถูกส่งไปประจำการอยู่ที่กองบัญชาการในจาลน่า ประเทศอินเดียนั้น นายร้อยเอกฟิลลิป ไว้ท์โอ๊คได้พบกับอดีลีน คอร์ท สาวงามผู้เดินจากทางไอแลนด์มาเยี่ยมพี่สาวซึ่งสมรสแล้วของเธอ มิสคอร์ทนั้นไม่เพียงจะเป็นตระกูลสูงกว่าฝ่ายเขาด้วยซ้ำเท่านั้น แต่เธอยังมีมรดกอันเป็นสมบัติติดตัวมาด้วย และผู้ที่ยกมรดกนั้นให้ก็คือน้าสาวซึ่งเป็นธิดาของท่านเอิร์ลคนหนึ่ง
หนุ่มสาวทั้งสองเกิดหลงรักในกันและกันขึ้นอย่างจับใจ มิสคอร์ทชื่นชมในความสง่างามของนายร้อยเอกฟิลลิปยิ่งนัก โดยเฉพาะริมฝีปากบางเฉียบคู่นั้น ส่วนเขาก็หลงใหลในเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม เรือนกายที่งามระหง โดยเฉพาะดวงตาคู่สีน้ำตาลอ่อนหวานที่อาบเสน่ห์อันลึกล้ำไว้
เขาและเธอได้เข้าสู่พิธีสมรสในบอมเบย์เมือ่ปี 1848 ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจของโลกตกอยู่ในภาวะคับขัน แต่ในท่ามกลางความสุขสดชื่นของชีวิตใหม่หนุ่มสาวทั้งสองมิได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจกับภาวะทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด ริมฝีปากคู่นั้นยังคงความหวานแห่งจุมพิตไว้ไม่เสื่อมคลาย และดวงตาคู่สีน้ำตาลก็ยังสามารถอำพรางฤทธิ์แรงแห่งโทสะและความรู้สึกล้ำลึกในจิตใจไว้ได้เสมอมา
เขาและเธอคือคู่สามีภรรยาที่มีชื่อเสียงเด่นที่สุดในวงสังคม งานสังคมใดๆ ก็ตามถ้าปราศจากสามีภรรยาคู่นี้แล้วบรรยากาศจะเต็มไปด้วยความเงียบเหงาน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก ทั้งสติปัญญา ความสง่างาม และประการสำคัญฐานะทางด้านการเงินอันมั่งคั่ง รวมทั้งยศศักดิ์ในกองทัพบกอังกฤษคือสิ่งที่สนับสนุนฐานะทางสังคมได้เด่นยิ่งขึ้น
เหตุการณ์ในชีวิตดำเนินมาด้วยดี จนกระทั่งเมื่อทารกเพศหญิงได้ถือดำเนิดออกมาชมโลก แต่ทว่าการถือกำเนิดของลูกคนแรกนี้ทำให้สุขภาพของผู้เป็นมารดาทรุดโทรมลงอย่างน่าใจหาย อีกทั้งการแพทย์ในจาลน่าขณะนั้นก็ยังไม่เจริญพอ ดังนั้นนายแพทย์ทั้งหลายที่มีขีดความสามารถจะช่วยให้สุขภาพร่างกายของอดีลีนดีขึ้นได้
ในเวลาเดียวกันนั้นเองที่ร้อยเอกไว้ท์โอ๊คได้เกิดมีปัญหากับผู้บังคับบัญชาของตนขึ้นมาอย่างรุนแรง ทำให้เขาเกิดความคิดไปในทางที่ว่าทั้งชีวิตทางด้านการทหารและการสังคมของตนนั้นดูเหมือนจะมีลางร้ายเกิดขึ้นเสียแล้ว
ตอนนี้เองที่โชคชะตาได้ช่วยนำพาให้สามีภรรยาไว้ท์โอ๊คได้เดินทางไปสู่แคนาดา ตอนที่นายแพทย์ได้ยืนยันว่าภรรยาของเขาซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบำรุงรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงขึ้นควรจะได้ไปพักผ่อนในสถานที่ซึ่งมีบรรยากาศดีกว่าในเมืองจาลน่าแห่งนี้ ก็พอดีกับที่ฟิลลิป ไว้ท์โอ๊คได้รับจดหมายจากทนายความของลุงแจ้งให้ทราบว่าขณะนี้ลุงของเขาที่อยู่ในควิเบคถึงแก่กรรมลงแล้ว และทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ให้เขาเป็นจำนวนมากมหาศาลเลยทีเดียว
ฟิลลิปกับอดีลีนก็มีความเห็นพ้องต้องกันว่าขณะนี้ชีวิตสมรสของเขาและเธอเต็มไปด้วยปัญหาที่นำมาแต่ความตึงเครียด ทั้งคู่ไม่ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอินเดียต่อไป เขาเองนั้นก็เบื่อหน่ายชีวิตการเป็นทหารเต็มที โดยเฉพาะเมื่อจะต้องพยายามเอาอกเอาใจผู้บังคับบัญชาที่โง่เง่าเบาปัญญา และยังต้องร่วมอยู่ในวงสังคมของผู้คนที่มาจากครอบครัวชั้นกลางเท่านั้น มันเป็นชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายจริงๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้การเดินทางไปควิเบคจึงดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ฟิลลิปเคยได้รับจดหมายจากลุงที่พรรณนาถึงความสวยสดงดงามของควิเบคมาแล้ว และลุงก็ย้ำว่าที่นั่นเหมาะอย่างยิ่งที่จะตั้งรกรากหลักฐาน มีอิสระเสรีมากกว่าที่จะมาอยู่ในโลกใบเก่า นอกจากนั้นยังจะได้วิสาสะกับครอบครัวชาวฝรั่งเศสตระกูลสูงทั้งหลายอีกด้วย
โดยความเป็นจริงนั้นร้อยเอกไว้ท์โอ๊คออกจะชิงชังชาวฝรั่งเศสอยู่มาก ทั้งนี้เพราะเขาเกิดมาในปีที่กำลังเกิดสงครามวอเตอร์ลูพอดีและบิดาของเขาต้องเสียชีวิตในสนามรบ แต่กระนั้นเขาก็รู้สึกพึงพอใจบรรยากาศในควิเบคอย่างมาก และยิ่งเมื่อได้พบว่าตนเองเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่มีอยู่ในประเทศนั้นพร้อมด้วยเงินมรดกก้อนใหญ่ เขาก็คิดว่าไม่มีที่ไหนในโลกอีกแล้วจะเหมาะสมสำหรับเขาจะได้ใช้ชีวิตอยู่เท่าควิเบค
ร้อยเอกฟิลลิปมองเห็นภาพของตนเองกับอดีลีนที่คล้องแขนกันไว้เดินเล่นอยู่ริมฝั่งน้ำในตอนเช้าของวันอาทิตย์ภายหลังที่ผ่านพิธีนมัสการที่โบสถ์แล้ว และเขาก็จะไม่ต้องแต่งกายในชุดเครื่องแบบทหารอันน่าอึดอัดอีกต่อไป อดีลีนเองก็จะได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวยงามสวมหมวกที่มีเวลล์อำพรางใบหน้าไว้ และยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังมองเห็นภาพตนเองที่ควงคู่กับสาวงามชาวฝรั่งเศสขณะที่อดีลีนกำลังยุ่งอยู่กับงานสังคมอื่นๆ อีกด้วย
เมื่อตัดสินใจได้แล้วทั้งคู่ก็ขายทรัพย์สินทั้งหลายที่มีอยู่ จากนั้นก็ออกเดินทางสู่ประเทศอังกฤษพร้อมด้วยลูกสาวกับคนเลี้ยงชาวพื้นเมือง
แต่ทว่าญาติพี่น้องที่มีอยู่ในอังกฤษเพียงไม่กี่คนมิได้ให้การต้อนรับเขาและเธออย่างอบอุ่นเท่าใดนัก ดังนั้นคู่สามีภรรยาจึงพักอยู่ในประเทศอังกฤษเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทั้งนี้เพราะรู้สึกทะนงในศักดิ์ศรีของคนเองขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามขณะที่อยู่ในประเทศนั้น ทั้งคู่ได้ให้จิตรกรฝีมือเอกวาดภาพของตนขึ้นไว้ โดยฟิลลิปเองนั้นอยู่ในชุดเครื่องแบบที่ใกล้จะปลดทิ้งเต็มที และอดีลีนอยู่ในเสื้อราตรีสีเหลือง คอคว้านลึก ประดับดอกคามิเลียไว้บนเรือนผม
นอกจาภาพวาดของตนเองและภาพวาดสีน้ำมันฝีมือล้ำเลิศที่สะสมไว้แล้ว ก็ยังมีเครื่องเรือนอีกหลายชิ้นที่คู่สามีภรรยาหอบหิ้วติดตัวไปเมื่อเดินทางโดยทางเรือไปยังควิเบค
มันเป็นช่วงเวลาถึงสองเดือนที่เรือเดินสมุทรลำนั้นต้องผจญกับพายุร้ายและหมอกหนาทึบรวมทั้งภูเขาน้ำแข็ง มันเป็นช่วงเวลาแห่งฝันร้ายโดยแท้กว่าจะเดินทางไปถึงควิเบคโดยสวัสดิภาพ และในขณะที่เดินทางอยู่นั้นเองพี่เลี้ยงที่ติดตามมาเลี้ยงลูกให้ก็เกิดเสียชีวิตลง และต้องทิ้งศพลงในทะเล เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีผู้ใดจะช่วยเลี้ยงลูกให้ได้อีกต่อไป นอกจากสามีภรรยาหนุ่มสาวที่ขาดประสบการณ์
ขณะนั้นอดีลีนเองก็เจ็บหนักจนแทบจะตายลงอยู่แล้ว และร้อยเอกไว้ท์โอ๊คก็ยินดีที่จะให้ตนเองถูกส่งไปรบกันพวกชาวป่าชาวเขามากกว่าที่จะมาสู้รบกับทารกน้อยที่ร้องไห้กวนอยู่ตลอดทั้งวันและคืนเช่นนั้น เรือก็ผจญกับพายุรุนแรง มิได้มีความสุขเลยแม้แต่นาทีเดียวกับคนเดินทางทำให้เขาไม่อาจอดทนต่อสภาพนั้นได้อีกต่อไปจึงตัดสินใจอุ้มลูกเข้าไปในห้องพักผู้โดยสารธรรมดา ส่งลูกสาวให้กับผู้หญิงชาวสก๊อตคนหนึ่งซึ่งมีลูกของตนเองจะต้องเลี้ยงดูอยู่แล้วถึงห้าคนและจ้างให้นางเลี้ยงดูลูกเขาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยเขาได้ให้เงินตอบแทนอย่างงดงาม