บทที่ 7 เริ่มงานวันแรก 1
‘อีกแล้วนะแม่เนี่ย บอกไม่จำ’ ดอกเตอร์รวัชบ่นให้ผู้เป็นแม่ที่วุ่นวายหาคู่ให้หลานชายคนโตของบ้านตั้งแต่เขากลับมาใหม่ ๆ ไม่หยุด
“อย่าให้หมดความอดทนนะเว้ย พูดไม่ฟังผมกลับฝรั่งเศสนะอา”
‘ใจเย็นสิวะ มึงนี่ได้พ่อมาเลยนะสันดานเนี่ย อุตส่าห์ส่งไปเรียนอีกฟากโลกยังจะเก็บนิสัยเอาแต่ใจมันไว้อีก’ คุณอาด่าหลานเสียงดัง
‘พูดเหมือนมึงใจเย็นนะไอ้โรม นิสัยไอ้จามันก็คือมึงนั่นแหละ เลี้ยงแบบแกะบล็อกกันมาเองอย่ามาโทษกู’ เสียงพี่ชายของอาหรือคุณพ่อสรัญด่าน้องชายมาตามสาย
“เอ้อ...ไม่ต้องโทษกันครับ อาเจ้าไปไหน” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องถามหาอาสะใภ้ที่สนิทมากกว่าพ่อแม่
‘ไปชอปปิ้ง พรุ่งนี้จะไปหาลูกสาว ไอ้น้องมึงนี่ก็นะเชิญยากจนกูเหนื่อย เงินเดือนที่อิตาลีมันเท่าไหร่วะกูจะจ้างมันกลับบ้าน’ ท่านดอกเตอร์พูดถึงลูกสาวที่ไปเรียนแฟชั่นดีไซน์ที่อิตาลี่ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนจบปริญญาโททางด้านแฟชั่นด้วยวัยเพียง 23 ปี เธอได้ทำงานที่บริษัทแฟชั่นอันดับต้น ๆ ของเมืองมิลาน ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบปริญญาตรีจนตอนนี้จบปริญญาโทมาปีกว่าแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมกลับมาช่วยงานที่บ้านทั้งที่ครอบครัวมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง
“ก็บอกมันสิครับว่าคุณย่าป่วย คุณยายป่วยพร้อมกัน ทำหน้าเหนื่อยเหมือนตอนไปหลอกผมมาน่ะหน่อยเดี๋ยวมันก็ใจอ่อน” ชายหนุ่มว่าขึ้นไม่จริงจังนัก
‘เออ...ความคิดดีว่ะ แล้วนี่แกจะเดินทางตอนไหน’
“ขอผมพักซัก 2 ชั่วโมงก็จะออกไปออฟฟิศแล้วครับ นัดเลขาคุณพ่อตรวจเอกสารก่อนจะได้ไม่เสียเวลา เอ้อ...ผมไป 2 อาทิตย์นะอา รีบกลับมาด้วยล่ะ” ชายหนุ่มรายงานพร้อมกับบอกกำหนดการหายตัวของตัวเอง ทำเอาคนปลายสายถึงกับถอนหายใจมองบนทันที
‘เจริญล่ะไอ้เสือ งาน 2 วันมึงไปยาว 2 อาทิตย์’ คุณอาโวยวายมาตามสาย
“เปลี่ยนที่ทำงานเถอะครับอา ผมว่าคุณย่าไม่หยุดแค่นี้แน่ ไม่แน่พรุ่งนี้ไอ้ชาติมันอาจได้ผู้ช่วย 2 คนก็ได้ คุณอาก็รีบกลับมาแล้วกัน ถ้าไม่รีบมาเคลียร์ผมจะนอนป่ายาว ๆ เลย” คำขู่ของหลานชายทำเอาคุณอาถอนหายใจ ท่านขอให้หลานชายกลับมาช่วยงานที่ไทยทั้งที่เขามีบริษัทของตัวเองที่ร่วมกันเปิดกับเพื่อนที่ฝรั่งเศส เพราะคุณแม่และแม่ยายป่วยพร้อม ๆ กัน และพี่ชายก็มีอาการหน้ามืดบ่อย ๆ เลยทำให้ภาระตกอยู่ที่ท่าน แต่เมื่อหลานชายมาถึงคุณย่ากลับสรรหาสาวสวยมาคอยนัดเดทกับหลานชายไม่หยุดด้วยข้ออ้างว่ากลัวหลานชายจะเหงาเพราะไม่มีเพื่อนสนิทที่ไทยและสาวสวยเหล่านั้นต่างก็ดีพร้อมเหมาะสมกับหลานชายที่อายุเกิน 30 ไปแล้วของท่าน ทำให้ชายหนุ่มเบื่อหน่ายและไม่ค่อยกลับบ้านบ่อยนัก
จาติรัชเป็นคนชอบธรรมชาติมาตั้งแต่เด็กเขามักจะหาเวลาเข้าป่าส่องสัตว์ถ่ายรูปกับกลุ่มเพื่อน ๆ เสมอช่วงที่เรียนที่ต่างประเทศแต่เมื่อกลับไทยความชอบนั้นก็เป็นข้ออ้างได้ดีให้เขาได้หายออกจากบ้านไปครั้งละนาน ๆ ซึ่งคุณอาและอาสะใภ้ที่ดูแลมาตั้งแต่เด็กก็รู้เหตุผลนี้ อีกอย่างเขาไม่ได้หายแบบที่ติดต่อไม่ได้ ทุกที่ที่เขาไปจะเลือกที่มีสัญญาณสื่อสารเสมอเพราะจุดประสงค์การเข้าป่าที่ไทยในตอนนี้ของชายหนุ่มคือการหาที่ทำงานเงียบ ๆ เท่านั้น
‘เฮ้อ...วุ่นวายจริง ๆ เออ เดี๋ยวกูไปดูให้’
“ขอบคุณครับอา แค่นี้ก่อนะครับผมอาบน้ำแล้วจะงีบซะหน่อย สวัสดีครับ” ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณทั้งยังเอ่ยลาก่อนจะกดวางสาย ถอนหายใจมองดวงไฟบนฝ้า นึกถึงเสียงเล็ก ๆ ที่เรียกตัวเองว่าลุงในตอนเช้าตามมาด้วยเสียงบ่นเรื่องรอรถช้าของเธอ ตามมาด้วยเสียงเศร้า ๆ เหงา ๆ กับดวงตาหมอง ๆ เมื่อพูดถึงเรื่องกลับบ้าน ตลอดจนเมื่อชั่วโมงก่อนที่เธอคว้าแขนของเขาดึงไว้ไม่ให้หนีเพียงต้องการคำว่าขอโทษแค่นั้น “เมื่อเช้าว่าเด็กแล้ว เมื่อกี๊ชุดอยู่บ้านกูนึกว่าเด็กมัธยมก็สมควรหรอกที่ไม่อยากกลับบ้านไปเลี้ยงควายจะโดนเหยียบตายเอาสิวะ” ชายหนุ่มว่าพรางยิ้มที่มุมปากลุกขึ้นไปโกนหนวดเคราของตัวเองจนเกลี้ยงเกลาแล้วมองหน้าตัวเองในกระจกขำ ๆ “โกนแล้วแม่ง! กูโคตรเข้าใจอาโรมตอนหนุ่ม ๆ เลยว่าทำไมถึงปล่อยหนวดปล่อยผม กรรมสนองตอนนั้นเสือกเรียกแกว่าโรมมี่” พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวหลวม ๆ เดินออกมาจากห้องน้ำ ทาครีมบำรุงผิวลวก ๆ แล้วล้มตัวลงนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว
..........//..........
วันรุ่งขึ้น
โรงทอไทยวรวัฒน์
สาวสวยตัวเล็ก แต่งหน้าบาง ๆ สวมเสื้อครอปกับกางเกงเอวสูงและสวมทับด้วยเสื้อสูทสีเดียวกับกางเกง ใส่รองเท้าหุ้มส้นพื้นเตี้ย รีบก้าวออกจากลิฟต์ชั้น 5 ไปยืนอยู่ที่หน้าห้องที่มีป้ายตำแหน่งเลขาสีทองติดอยู่ที่ด้านซ้ายของประตูแล้วทำท่าจะเคาะ
“เกือบสาย...” เสียงหวานปนห้วนดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้หญิงสาวหันขวับกลับไปมอง และต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นสาวสวยที่มาสัมภาษณ์งานด้วยกันเมื่อวานนั่งอยู่ก่อน ซึ่งเธอคิดว่าบริษัทน่าจะเรียกมาทำงานพร้อมกับเธอ
“ก็เหลือเวลาอีก 10 นาทีนะแหละ แต่มาวันแรกเลยไม่อยากมาสายดีจังที่นี่เขารับผู้ช่วย 2 คนเราจะได้ช่วยกันได้” หญิงสาวพูดยิ้ม ๆ พรางเดินไปนั่งเก้าอี้ใกล้ ๆ ซึ่งคนนั่งอยู่ก่อนก็รีบขยับเก้าอี้ออกห่างเล็กน้อยแต่หญิงสาวไม่ใส่ใจนัก
“ตำแหน่งผู้ช่วยเลขามันต้องแต่งตัวให้สมฐานะหน่อยนะ ไม่ใช่ (ปรายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า) รองเท้าพื้นเตี้ย เสื้อผ้าแบรนด์แต่คอลเลคชัน 2-3 ปีก่อน หน้าก็ไม่แต่งแถมหัวก็ฟูอีก” คนเรียบร้อยเมื่อวานว่าพรางยิ้มเหยียดไม่เหลือคราบความเรียบร้อยให้เห็นนอกจากเสื้อผ้าราคาแพงที่เธอสวมใส่มา
“ก็แค่ฝึกงานผู้ช่วย ยังไม่รู้จะได้ทำงานจนบรรจุหรือเปล่าแล้วทำไมต้องใส่อะไรที่มันแพง ๆ มาด้วยล่ะ เงินเดือนก็ยังไม่ได้เลยจะลงทุนทำไมเยอะแยะ” หญิงสาวตอบพรางยกข้อมือดูนาฬิกาแล้วมองที่ประตูห้องพรางถอนหายใจแรง ๆ กับบทสนทนาจะรู้สึกว่าจะเหยียดตัวเองตั้งแรกเห็น
“ได้ข่าวว่าพี่จากัวร์ค่อนข้างดุ ความอดทนไม่สูงลาออกวันนี้ก็ได้นะ”
“นี่เธอ!” “เอ๊า! มาแต่เช้าเลยนะครับพรพรรษาขอโทษที่ให้รอ พี่ไม่คิดว่าเราจะมาเช้าขนาดนี้” สุรชาติทักทายหญิงสาวทันทีที่เดินออกจากลิฟต์ แล้วต้องขมวดคิ้วมองหน้าสาวสวยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้มาสัมภาษณ์งานเมื่อวาน แต่บอสของเขาเซ็นรับแค่คนเดียวเท่านั้น แล้วผู้หญิงคนนี้คือ... “เอ่อ...”
“ฉันชื่อริชชี่ วันนี้คุณย่าให้มาเริ่มทำงานวันแรก” สาวสวยลุกขึ้นยืนแนะนำตัวอย่างสง่าผ่าเผยเชิดหน้าชูคอดั่งนางพญา ทำเอาคนที่ได้มาทำงานในตำแหน่งเดียวกันถึงกับขมวดคิ้ว
“คุณย่า?” สุรชาติขมวดคิ้วทวนคำ ตั้งแต่เขามาทำงานเป็นเลขาของท่านประธานบริษัทที่นี่มาหลายปี จนมีหลานชายท่านเข้ามา เขาจึงมารับหน้าที่เป็นเลขาของรองประธานต่อตามคำสั่งของท่าน เพราะท่านโอนหน้าที่ทุกอย่างให้หลานชายดูแลส่วนตัวท่านรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษา แต่สุรชาติไม่เคยได้เห็นว่าคุณย่าของรองประธานหรือคุณแม่ท่านประธานมาก้าวก่ายงานของบริษัทเลยซักครั้ง แสดงว่าผู้หญิงคนนี้ต้องสำคัญท่านถึงได้จัดการด้วยตัวเอง ซึ่งไม่มั่นใจว่าท่านประธานหรือบอสรู้เรื่องนี้หรือไม่
“คุณหญิงรวิดา คุณย่าพี่จากัวร์ไงคะพอดีเมื่อวานเราไปทานข้าวด้วยกันท่านบอกว่าจริง ๆ คุณสุรชาติเป็นเลขาของลุงโรม พี่จากัวร์ยังไม่มีเลขาส่วนตัวเลยอยากให้ริชชี่มาเป็นเลขาให้จะได้ดูแลส่วนอื่นด้วย” หญิงสาวตอบยิ้ม ๆ ซึ่งชื่อที่เธอเรียกทำให้หญิงสาวคนยืนข้าง ๆ สะดุดหูไม่น้อย
“อ้าว? ล็อกคนแล้วนัดหนูมาทำไมคะคุณเลขา...
มีแววจะวุ่นวายแล้วไง??
ฝากติดตามพี่จากัวร์ และ คุณอาของพี่ด้วยนะคะ