บทที่ 6 ไม่รับของคนแปลกหน้า
“อ่อ...(มัดหมี่พยักหน้า) แต่คุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย” หญิงสาวพึมพาเหมือนพูดกับตัวเอง
“ก็น่าจะแถว ๆ นี้ล่ะค่ะ เชิญน้องเลือกดูก่อนนะคะ อยากลองชุดไหนหยิบลองด้านในได้เลยค่ะ” ว่าพรางผายมือไปที่ราวที่พนักงานเข็นมาให้แล้วพยักหน้าเรียกให้พนักงานในร้านให้มาดูแล 2 สาวอย่างเอาใจ
“น่าจะลูกครึ่งมั้ยวะมึงชื่อก็ไม่ได้ไทยแถมเพิ่งกลับมาด้วย แม่ง! ขาวอย่างเผือก” น้ำฝนพูดกับเพื่อนเสียงเบา
“คุณจากัวร์เป็นไทยแท้ค่ะ แต่ผู้ชายบ้านนี้เขาผิวแบบนี้กันทุกคน ผิวเหมือนคุณย่า” พนักงานในร้านพูดขึ้นยิ้ม ๆ
“เป็นคนไทยแต่ภาษาไทยใช้ได้จำกัดหรือคะ?” หญิงสาวขมวดคิ้วมองหน้าพนักงานแล้วหันไปมองหน้าเพื่อนเหมือนเป็นเรื่องเกินความคาดหมาย
“ผู้จัดการบอกว่าเขาไปเรียนที่ฝรั่งเศสตั้งแต่ 10 ขวบได้มั้งคะ พอกลับมาภาษาไทยเลยต้องจูนกันใหม่เกือบหมด ถ้ามากับครอบครัวเขาจะพูดฝรั่งเศสแต่ถ้ามาคนเดียวเขาจะพูดภาษาอังกฤษค่ะ แต่ภาษาไทยก็เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกัน”
“อ้อ...แต่แค่ขอโทษง่าย ๆ มันก็ควรจะพูดได้ไม่ใช่หรือไงวะ” คนเข้าใจพยักหน้าแต่ก็ยังไม่ค่อยพอใจอยู่ดี
“เอาน่ามึง แล้วเมื่อกี้เราคุยกันไม่มองทางด้วยบางทีเราซะอีกอาจจะเดินไปชนเขาน่ะ” น้ำฝนตบบ่าเพื่อนให้ใจเย็นพรางหันไปยิ้มให้พนักงานอย่างเข้าใจ
“เออ...จบก็ได้ งั้นมีชุดที่ลด 50% ตามป้ายมั้ยคะฉันอยากดูชุดพวกนั้นค่ะ” หญิงสาวว่ากับเพื่อนแล้วหันไปพูดกับพนักงานยิ้ม ๆ
“เอ่อ...แล้วชุดพวกนี้ล่ะคะ” พนักงานว่าพรางผายมือไปที่ราวแขวนชุดนับสิบที่เธอคัดสรรมาเป็นอย่างดี
“มันแพงไปค่ะ เอ้อ...เห็นแล้วเดี๋ยวฉันไปดูเอง” ว่าพรางจับมือเพื่อนกระตุกเดินไปดูเสื้อผ้ามุมที่เขียนว่าเซลล์และเลือกไปลองหลายชุด
“มึงไม่เอาคอลเลคชันใหม่ที่ผู้จัดการว่าล่ะ ไหน ๆ เขาก็จะจ่ายให้แล้ว” น้ำฝนถามเพื่อนเสียงเบา
“ไม่ว่ะ มันก็จริงบางทีเขาอาจไม่ได้ชนเราก็ได้ เราก็ไม่ควรเห็นแก่ได้กับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้นี่หว่า” หญิงสาวว่าพรางเลือกชุดทำงานที่เป็นแบบกางเกงมาถือไว้ 2-3 ชุด
“ก็จริง คนรวยนี่ดีเนอะได้เป็นเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก ๆ เลย” น้ำฝนว่าพรางถอนหายใจ
“ดีกะผีอะไรจากบ้านไปตั้งแต่ 10 ขวบนี่นะดี แล้วปีนึงจะได้กลับไทยมากี่วันวะ ทรงแบบนั้นคงไม่รู้จักส้มตำหมูกระทะหรอกกูว่า” หญิงสาวว่าพรางยักไหล่เดินเข้าไปเปลี่ยนชุดออกมาให้เพื่อนดู เมื่อได้ชุดตามที่ต้องการแล้วทั้ง 2 จึงเดินไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ โดยที่ตกลงกันว่าน้ำฝนจะช่วยเพื่อนจ่ายคนละครึ่งของราคาเสื้อผ้าโดยใช้บัตรเดบิตของมัดหมี่รูดเพราะมีสะสมคะแนนในนั้นด้วย
“เอ่อ...น้อง ๆ ไม่ต้องจ่ายนะคะ คุณจากัวร์เธอบอกให้ส่งบิลไปให้เธอค่ะ” ผู้จัดการรีบพูดขึ้นพรางยิ้มแห้งส่งให้
“เราไม่เอาของคนอื่นหรอกค่ะ ถึงจะให้คอลเลคชันใหม่มามันก็อายที่จะใส่ เราเก็บเงินซื้อเองสบายใจกว่า” หญิงสาวตอบยิ้ม ๆ พรางยื่นบัตรเดบิตให้พนักงาน
“แต่คือ...” “เอาน่าพี่ หนูไม่ได้โกรธเขาหรอกเหตุผลคนเรามันมีกันทุกคน เรื่องมันไม่ได้ใหญ่โตจนพวกหนูต้องฉวยโอกาสนี่คะ คิดเงินเถอะค่ะพวกหนูตั้งใจมาซื้อนะ” ว่าพรางเลื่อนบัตรเดบิตของตัวเองให้อีกครั้ง
“งั้นช่วยเลือกรับชุดใหม่ซักชุดเถอะนะคะ อย่าให้พี่ต้องลำบากใจกับคำสั่งเขาเลย” ผู้จัดการยังคะยั้นคะยอจะให้เธอรับชุดใหม่ให้ได้
“งั้นพี่คิดเงินชุดพวกนี้ก่อนสิคะ” หญิงสาวว่าพรางยิ้มให้ เธอเลยจำต้องหยิบบัตรเดบิตของหญิงสาวมารูดคิดเงินแต่แอบกดส่วนลดเป็น 70% เป็นการแก้ปัญหาให้เพราะคิดว่า 2 สาวนี่ต้องไม่รับสิ่งที่เธอเสนอแน่นอน แล้วยื่นบัตรคืนยิ้ม ๆ
หญิงสาวหยิบปากกามาเขียนที่หลังใบเสร็จด้วยภาษาอังกฤษลายมือสวยเป็นระเบียบก่อนจะส่งให้ผู้จัดการยิ้ม ๆ
“ถ้าเขามาก็ฝากใบนี้ให้เขาแล้วกันนะคะ เขาไม่ว่าพี่หรอก ขอบคุณค่ะ” ว่าพรางเก็บบัตรตัวเองใส่กระเป๋ากางเกงคว้าถุงสินค้าลากเพื่อนออกจากร้านไปอย่างเร็ว ผู้จัดการและพนักงานได้แต่มองหน้ากันแล้วยิ้มตามสาวตัวเล็กอย่างเอ็นดู เธอทำงานมาหลายปีเพิ่งเคยเจอว่ามีคนให้ของฟรีแต่พวกเธอกลับไม่รับทั้งที่คอลเลคชันใหม่ที่ชายหนุ่มเสนอราคาหลักหมื่น ผู้จัดการพลิกกระดาษอ่านข้อความด้านหลังก่อนจะยิ้มมุมปากถ่ายรูปส่งให้คนที่ต้องได้รับแล้วเก็บเข้าแฟ้มก่อนจะเดินเข้าไปหลังร้านอย่างอารมณ์ดี
*ขอบคุณ แต่เราไม่รู้จักกัน ฉันไม่ได้ถูกสอนให้รับของจากคนไม่รู้จัก เงินของคุณมีค่า ศักดิ์ศรีของฉันก็มีค่าเหมือนกัน*
..........//..........
Jaguar part
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนมือถือดังขึ้น ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจอดติดไฟแดง ทำให้ชายหนุ่มล้วงมือถือออกจากกระเป๋าขึ้นมากดอ่านก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าไปจอดในซอยข้าง ๆ แล้วกดโทรหาปลายสายที่ส่งมา
“เธอไม่รับหรือ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเหมือนไม่พอใจนัก
‘เธอบอกว่าบางทีเธอก็อาจผิดที่ไม่มองทางค่ะ เลยไม่รับดีกว่า แต่ดิฉันทำส่วนลดให้เธอ 70% นะคะ’ ผู้จัดการร้านรายงานอย่างเกรงใจ
“ชุดที่เธอซื้อไปราคาเท่าไหร่”
‘เป็นของจัดเซลล์ลด 30-50% ค่ะ’ ผู้จัดการร้านตอบไม่เต็มเสียงนัก
“แล้วทำไมถึงลดให้เธอน้อยจัง”
‘ถ้ามากกว่านี้ก็เหลือหลักร้อยแล้วนะคะคุณจากัวร์ ดิฉันกลัวว่าเธอจะไม่เอาเลยค่ะ’ ผู้จัดการให้เหตุผลของตัวเองซึ่งชายก็ได้แต่ถอนหายใจเหมือนไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก
“อืม...” ตื๊ด! ครางในลำคอเหมือนรับรู้แล้วกดวางสายไป ทำเอาผู้จัดการถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก “ให้ไม่เอาด้วยนะยายเตี้ยเอ๊ย ตัวเท่าลูกหมามาเรียกกูว่าลุง” ชายหนุ่มพึมพำส่ายหน้าขับรถกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี
บ้านของจาติรัช
“ฮัลโหล อาครับ” เสียงทุ้มทักทายคุณอาที่ปลายสายทันทีที่ท่านกดรับ ขณะที่เดินเข้าบ้านและตรงขึ้นห้องนอนหลังจากที่ได้รับข้อความจากผู้เป็นอาให้โทรหาหากถึงบ้านแล้ว
‘ไง ไอ้เสื้อ สัมภาษณ์งานวันนี้เป็นไงมั่ง’ ดอกเตอร์รวัชหรือคุณอาโรม ประธานฝ่ายบริหารโรงทอไทยวรวัฒน์ถามความคืบหน้ากับหลานชายหลังจากที่ได้รับรายงานจากเลขาส่วนตัวของชายหนุ่มมาเรียบร้อยแล้วว่ามีอะไรเกิดขึ้นแต่ก็อยากฟังจากหลานชายอยู่ดี
“ผมรับเด็กเลี้ยงควายมาทำงานครับอาโรม” ชายหนุ่มตอบอย่างอารมณ์ดีพรางถอดเสื้อผ้าเหลือเพียงกางเกงชั้นในตัวเดียวหยิบผ้าเช็ดตัวพาดบ่าเดินเข้าห้องน้ำ
‘ไอ้ห่า กูให้มึงหาผู้ช่วยเลขาไม่ใช่ให้หาคนหาหญ้าให้มึงกินนะเว้ยไอ้เสือกะบาก’ คุณอาแกล้งด่าเสียงดังมาตามสายทันที
“อา ฟังนะ คนแรกเป็นหลานของคุณวิชา บอกว่ารู้จักกับอาเป็นการส่วนตัว ไปพูดที่บริษัทว่าผู้ใหญ่อยากให้มาทำงานเพราะกำลังจะเกี่ยวดองกัน เมื่อเช้าคุณย่ามีนัดตรวจสุขภาพไม่ยอมไปโรงพยาบาลให้ไอ้เจมาตรวจที่บ้านแล้วข้อความหาผมให้ไปหา คุณวิชาอยู่ที่นั่นและตอนนี้หลานสาวก็น่าจะอยู่ที่นั่นด้วย แล้วคนที่ 2 บอกไอ้ชาติว่ารู้จักบอสเป็นการส่วนตัว เมื่อคืนนั่งกินเหล้าอยู่ด้วยกัน ถ้าไม่ใช่เมียน้อยอากับพ่อแสดงว่ามันโกหก เพราะผมเพิ่งกลับจากตุรกีเมื่อเช้า แล้วเมื่อคืนบนเครื่องแดกอะไรก็ไม่ได้ ปวดฟันจนแก้มตุ่ยเพิ่งได้กินโจ๊กที่ฟู้ดคอร์ทในห้างมื้อแรก ส่วนคนที่ 3 เด็กจบใหม่หางานแต่บังเอิญแค่ที่บ้านเลี้ยงควายแค่นั้น ถ้าเป็นอา อาจะเลือกใคร” คำพูดสาธยายภาษาเดียวกันของหลานชายรัวมาเป็นชุดทำเอาคุณอามองหน้าพี่ชายที่นั่งดื่มอยู่ด้วยกันในอีกประเทศพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไร้ข้อกังขา
‘อีกแล้วนะแม่เนี่ย บอกไม่จำ
เอ๊า...ถามหาชุดเซลล์ซะงั้น มัดหมี่ ผู้ชายจะจ่ายให้ค่ะลูก
มีความจดหมายน้อยให้ด้วย...