บทที่ 5 ภาษาไทยได้จำกัด
“เออ...จริงด้วย กูบอกอ้ายหมอกมาช่วยมึงดีกว่า” คนตัวเล็กหันมาชี้หน้าเพื่อนยิ้ม ๆ
“โวะ! กูพูดเล่นค่ะ อ้ายมึงอยู่คนละฟากกรุงเทพ มาทีกูนึกว่าผู้ปกครองมาเฝ้าลูกทำกิจกรรม กูก็แค่ไปเร็วหน่อยค่อย ๆ จัดไปแค่นั้น มึงได้งานก็ดีแล้วไงวะ จะได้ไม่ต้องกลับบ้านอยู่เป็นเพื่อนกันกูไม่ชอบนอนคนเดียว” น้ำฝนว่าพรางกอดคอซบบ่าเพื่อน
“แต่อ้ายกูนอนเป็นเพื่อนมึงได้นะ” มัดหมี่ยังไม่เลิกแซวเพื่อน
“บอกอ้ายหมอกดึงวิญญาณออกจากกองหนังสือก่อนค่ะ เปลี่ยนเรื่องค่ะ เอางี้ ฉลองมึงได้งาน กูซื้อชุดใหม่ให้เอง”
“จริง!” หญิงสาวกระโดดกอดคอถามเพื่อน
“ชัวร์อยู่แล้ว นี่ใคร (ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง) ว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่กำนันเมฆเชียวนะ สวยและรวยมากนะจ๊ะ” น้ำฝนพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี ซึ่งกำนันเมฆที่ว่าก็คือพ่อของมัดหมี่นั่นเอง
“จ้า พี่สะใภ้ที่รัก มัวแต่เล่นตัวไม่ได้นะมึงเดี๋ยวก็ซิ่วเหมือนกูหรอก แต่รับรองได้นะ อ้ายกูไม่เชี้ยเหมือนไอ้โต้งแน่นอน” หญิงสาวกอดคอเพื่อนพูดถึงแฟนเก่าตัวเองที่หาข้ออ้างเลิกกับเธอเพียงเพราะขอหอมแก้มเธอไม่ให้แค่นั้น (แต่ตัวเองดันทำผู้หญิงท้อง)
“จ้า งั้นก็ช่วยภาวนาให้คุณรองสารวัตรพชระออกจากดงวิจัยปริญญาเอก มาจีบกูด้วยเถอะนะคะ ตอนนี้กูพร้อมเป็นพี่สะใภ้มึงมากค่ะ สัญญาเลยว่าจะพยักหน้าตั้งแต่อ้าปากเลยค่ะ แล้ววันนี้วันดีค่ะเพื่อน อย่าเอาชื่อไอ้อัปรีย์โต้งมาเอ่ยถึง” น้ำฝนกอดคอเพื่อนพูดยาว “เฮ้ย! นั่นมึงยี่ห้อนี้ที่เราเคยซื้อกันตอนฝึกงานน่ะ ลดตั้ง 50% ด้วย เข้าไปดูกัน” พร้อมทั้งเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อบันไดเลื่อนมาถึงเกือบขั้นสุดท้ายและเห็นป้ายลดราคาของเสื้อผ้าร้านดัง จึงรีบลากแขนเพื่อนเดินเพื่อจะเข้าไปในร้าน
ปึก! “เออะ!” สาวตัวเล็กที่เพื่อนลากมาอุทานเสียงดังเมื่อกำลังจะเข้าไปในร้านแต่ถูกร่างสูงใหญ่ของใครบางคนที่เดินสวนออกมาชนเข้าอย่างจัง “เดินยังไงเนี่ยคุณ ตามองหลังคาห้างหรือไงถึงไม่เห็นคนเดินบนพื้น!” เสียงเล็ก ๆ ตวาดแว้ดขึ้นพรางเท้าเอวเงยขึ้นมองหน้าหนุ่มหน้าคมเคราเขียวครึ้มที่กรอบหน้า สวมแว่นกันแดดสีชาทั้งที่อยู่ในห้าง เขาเป็นคนรูปร่างสูงโปร่งน่าจะเกิน 190 เซ็นติเมตร แขนที่โผล่พ้นเสื้อแขนยาวพับขึ้นถึงข้อศอกนั้นขาวเฝือดจนเห็นเส้นเลือดชัดเจน นาฬิกาที่ใส่ดูคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ผมหยักศกค่อนข้างหนาหวีเสยเปิดหน้าผาก คิ้วที่เลยกรอบแว่นตาค่อนข้างเข้ม จมูกโด่ง ปากสีชมพูเข้มจนเหมือนทาลิปสติก ซึ่งมองแล้วก็ต้องอ้าปากค้าง
“เจ็บหรือเปล่า” เสียงทุ้มเอ่ยจากปากสวยโดยที่ไม่ได้ก้มลงมามอง
“นี่นาย! ขอโทษน่ะเป็นมั้ย”
“ผมไม่ได้เดินชนคุณ คุณเดินชนผม” ชายหนุ่มว่าขึ้นพรางถอนหายใจทำท่าจะเดินออกจากตรงนั้น *เด็กเลี้ยงควายเมื่อเช้านี่ นี่ยืนแล้วหรือวะ...* ชายหนุ่มแอบคิดในใจขำ ๆ กับสาวตัวเล็กที่เรียกตัวเองว่าลุงเมื่อเช้าและตอนนี้เธอก็เปลี่ยนชุดเช็ดเครื่องสำอางมองผิวเผินเหมือนเด็กมัธยมเอามาก ๆ
“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณจากัวร์” ผู้จัดการร้านได้ยินเสียงโวยวายหน้าร้าน และเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือหลานชายคนโตของเจ้าของบริษัทที่เพิ่งจะออกจากร้านจึงรีบวิ่งมาถามอย่างร้อนรนทันที
“ก็นายนี่” “เอ้อ เขาเตี้ยเกินสายตาไปหน่อย ผมน่าจะเดินชนเขา” ชายหนุ่มพูดขึ้นง่าย ๆ พรางมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองทำท่าจะเดินออกจากตรงนั้น
“นี่นาย! ฉันไม่ได้เตี้ยนะ ฉันมาตรฐานเว้ย! แล้วไม่คิดจะขอโทษเลยหรือไง” หญิงสาวที่ถูกปรามาสว่าเตี้ยคว้าแขนกระชากอย่างแรงจ้องหน้าถามอย่างเอาเรื่อง *คนห่าอะไรจะสูงขาวขนาดนั้นวะ หรือจะเป็นพรีเซ็นเตอร์กลูต้าถึงได้เรืองแสงขนาดนั้น...* หญิงสาวคิดในใจ
“หมี่ เบาอายคนเขา เขาก็บอกอยู่ว่ามองไม่เห็น” น้ำฝนกระตุกแขนเพื่อนมองรอบตัวเมื่อเห็นคนกำลังสนใจมองมาทางนี้ (จริง ๆ เขาไม่ได้มองพวกเธอเลย เขามองผู้ชาย)
“อายทำไม? ก็เราไม่ได้ผิด คนผิดสิวะต้องอาย” หญิงสาวพูดกับเพื่อนแต่ตายังมองหน้าชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง
“ผู้จัดการเธออยากได้อะไรก็ให้ไปแล้วส่งบิลมาที่ผม” ชายหนุ่มถอนหายใจหันไปพูดกับผู้จัดการร้านยกมือขึ้นแกะมือบางออกจากแขนตัวเองไม่แรงนักเดินลงบันได้เลื่อนไปทันที *ดุจริง ๆ เล้ย เอาไว้เจอกันใหม่นะตัวเล็ก...*
หลังจากที่ไปรับยาให้คุณย่าที่โรงพยาบาลชายหนุ่มขับมอเตอร์ไซค์กลับไปที่บ้านคุณย่าเห็นรถของแขกเมื่อเช้าจอดอยู่และยังมีรถเก๋งยุโรปสีแดงสดเพิ่มมาอีกคัน ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นของคนที่คุณย่าของเขาอยากได้มาเป็นหลานสะใภ้ ชายหนุ่มจึงเรียกคนในบ้านออกมาเอายาแล้วรีบขับรถมอเตอร์ไซค์ออกมาทันที และก่อนจะกลับเข้าบ้านเขาได้แวะมารับเสื้อผ้าที่อาสะใภ้ซื้อฝากไว้ให้ห้างใกล้บ้านและได้เจอกับหญิงสาวที่ให้เขาไปส่งเมื่อเช้าโดยบังเอิญ
“นี่นาย!” หญิงสาวชี้นิ้วตามหลังทำท่าจะเดินตามขายาวที่ลงบันไดเลื่อนไป
“เอ่อ...น้องคะ ใจเย็นก่อนนะคะคุณเขาขอโทษน้องแล้วค่ะ” ผู้จัดการสาวยิ้มอ่อนพรางรั้งแขนหญิงสาวกับเพื่อนไว้เบา ๆ “เชิญเข้ามาชมสินค้าในร้านก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวนะ คุณบอกว่าเขาขอโทษฉัน แล้วทำไมฉันถึงไม่ได้ยินล่ะว่าเขาขอโทษ” หญิงสาวขมวดคิ้วถามอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ขาก็ก้าวตามเข้าไปในร้าน
“การให้คุณเลือกเสื้อผ้าตามใจชอบในร้านนี้ไปฟรี ๆ แล้วส่งบิลที่เขา นั่นคือการขอโทษค่ะ เชิญเลือกได้ตามสบายเลยนะคะคอลเลคชันล่าสุดไซซ์เอสนี่ พี่ว่าเหมาะกับน้อง ๆ มากเลยนะ เดี๋ยวให้เด็กหยิบมาให้ดูนะคะ” ผู้จัดการสาวอธิบายยิ้ม ๆ ชวนเปลี่ยนเรื่องคุยพรางหันไปเรียกให้พนักงานในร้านหาเสือผ้าไซซ์พวกเธอมาให้เธอลองอย่างเอาใจ พนักงานที่นี่รู้ว่าหลานชายคนโตของเจ้าของแบรนด์นี้ถูกส่งไปเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็กและอยู่ยาวจบจนดอกเตอร์ เพิ่งกลับไทยมาได้เพียงแค่ปีเดียวชายหนุ่มจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นในการสื่อสารตลอดจนถึงเมื่อครู่ก่อนออกจากร้าน ดังนั้นการใช้ภาษาไทยของเขาจึงค่อนข้างมีคำศัพท์จำกัด เขาจึงไม่ค่อยจะพูดกับคนแปลกหน้ามากนัก แต่เมื่อครู่เขาพยายามใช้ภาษาไทยกับสาวตัวเล็กคนนี้อย่างมากตามความรู้สึกของผู้จัดการ
“อ่อ...ใช้เงินแก้ปัญหา” น้ำฝนพยักหน้าเหมือนเข้าใจ พรางหันไปมองหน้าเพื่อนเบะปากยักไหล่คิดว่าเป็นเรื่องปกติของคนมีเงินทำกัน
“อย่าเรียกแบบนั้นกับคุณเขาเลยค่ะ เขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศภาษาไทยเลยได้แค่จำกัด แล้ววันนี้คุณเขารีบมากด้วย อาจไม่ทันระวังจริง ๆ ยังไงก็ขอโทษแทนคุณเขาด้วยนะคะ” ผู้จัดการสาวสวยอธิบายพรางยิ้มแห้ง ๆ ส่งให้ เธอทำงานที่นี่ตั้งแต่เป็นเด็กพาร์ทไทม์ ม. ปลาย จนเรียนจบปริญญามาเป็นพนักงานประจำไต่เต้ามานับสิบปีจนได้เป็นผู้จัดการสาขา เคยเจอชายหนุ่มหลายครั้งตอนที่กลับบ้านช่วงปิดเทอมมาร้านกับคุณแม่และน้องชาย ซึ่งตอนนั้นเขาอยู่ในวัยมัธยมและปริญญาตรี แต่หายไปช่วง 5-6 ปีหลัง รู้จากคุณแม่ของเขาว่าชายหนุ่มย้ายจากฝรั่งเศส ไปเรียนต่อระดับปริญญาเอกอยู่ที่อังกฤษมหาวิทยาลัยเดียวกับที่คุณอาสำเร็จมา และเพิ่งจะกลับมาดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายบริหารที่โรงงานทอผ้าของครอบครัวเมื่อต้นปีนี่เอง และที่สำคัญคนบ้านนี้สื่อสารกันด้วยภาษาฝรั่งเศสมาตั้งแต่รุ่นพ่อยกเว้นน้องชายของชายหนุ่มที่เรียนโรงเรียนนานาชาติใกล้บ้านได้เฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้น
“อ่อ...(มัดหมี่พยักหน้า) แต่คุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย...
บูลลี่น้องน่ะคุณจากัวร์...