ตอนที่ 4 ความสัมพันธ์ 3
ตอนที่ 4 ความสัมพันธ์ 3
“ขอบคุณนะครับที่เข้าใจผม”
ไป๋หานรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ที่ได้พบคนที่เข้าใจในตัวเขามากขนาดนี้ หลังจากร่ำลากับคนรักเสร็จ เขาจึงรีบขึ้นรถขับออกจากมหาวิทยาลัย ไปยังโรงเรียนระดับมัธยมที่คุณหนูกำลังศึกษาอยู่
ซึ่งระยะห่างระหว่างมหาวิทยาลัยกับโรงเรียนนั้นถือว่าไกลกันพอสมควร ดังนั้นกว่าจะจะขับรถไปถึง ก็ได้เวลาเลิกเรียนแล้ว
เด็กนักเรียนระดับมัธยมเริ่มทยอยพากันเดินออกจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน บ้างก็เดินกลับ บ้างก็ยืนรอรถโดยสารหรือรอให้ผู้ปกครองมารับ
ชายหนุ่มชะลอความเร็วลง สอดส่ายสายตามองหาคุณหนู ที่อาจจะเดินออกมายืนรออยู่นอกโรงเรียน แล้วเขาก็มองเห็นเด็กสาววัยสิบหกปี หน้าตาน่ารัก กำลังถูกนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับเขาสามคน ยืนล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ เขาจึงรีบนำรถเข้าไปจอดข้างทางทันที
“คนสวย มายืนรอใครหรือ”
“ให้พวกพี่ยืนรอเป็นเพื่อนเอาไหม”
“หรือจะให้ไปส่งที่บ้าน พวกพี่ก็ยินดีนะ”
นักศึกษาชายทั้งสาม ยืนล้อมเด็กสาวหน้าตาสะสวย แม้จะแทบไม่แต่งแต้มเครื่องสำอางเลยก็ตาม แววตาทั้งสามคู่เต็มไปด้วยความกรุ้มกริ่ม อยากจะทำความรู้จักกับสาวน้อยตรงหน้าให้มากยิ่งขึ้น
“หลีกไปให้พ้น”
แต่ดูเหมือนแม่สาวน้อยของพวกนักศึกษาจะไม่อยากรู้จักคนแปลกหน้าเลยแม้แต่น้อย ใบหน้างามบึ้งตึง สายตาอัดแน่นไปด้วยความไม่พอใจ
“พี่ไม่หลีก น้องจะทำไมจ๊ะ” หนึ่งในนักศึกษาชายลอยหน้าลอยตาถาม
“รอพี่ชายฉันมารับก่อนเถอะ พวกแกได้เจอดีแน่”
หลิงหลานรีบอ้างถึงพี่ชายของเธอ หวังให้คนพวกนี้เกรงกลัว แล้วรีบถอยให้ห่างจากเธอ แต่นอกจากพวกนั้นจะไม่กริ่งเกรงแล้ว ยังพากันหัวเราะขบขันเห็นเป็นเรื่องสนุกสนานเสียอีก
“พี่ชายหรือจ๊ะ ดีเสียอีก พี่จะได้ฝากตัวเป็นว่าที่น้องเขยเสียเลย ฮ่า ๆ”
“เก็บปากพวกนายไว้กินข้าวดีกว่า ถ้าไม่รู้ว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร”
ไป๋หานเดินผ่านตัวนักศึกษาคนหนึ่งเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาว สายตาที่จ้องมองคนพวกนั้นเต็มไปด้วยความดุดัน
“นึกว่าใครมาทำตัวเป็นพระเอกแถวนี้ ที่แท้ก็ไอ้ลูกคนใช้ ที่สะเออะทำตัวเป็นลูกคนรวยเข้าไปเรียนในมหาลัยชื่อดัง ถุย...ช่างไม่เจียมกะลาหัวตัวเองเลย”
นักศึกษารายหนึ่งกล่าวดูแคลนคนที่ชอบทำตัวเป็นพระเอกเข้ามายุ่งเรื่องคนอื่น เท่านั้นไม่พอยังถ่มน้ำลายลงบนพื้นอีกด้วย
หลิงหลานเห็นคนมาดูถูกคนที่เปรียบเสมือนพี่ชายของตน ก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก รีบเอ่ยปากเถียงกับนักศึกษารายนั้น โดยไม่คิดเกรงกลัว
“พี่ไป๋หานไม่ใช่คนแบบที่พวกแกดูถูก เป็นลูกของคนใช้แล้วทำไม เขาดีกว่าพวกนายเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
“พี่ไป๋หานของเธอดีขนาดนั้นเชียว ไม่ลองทำความรู้จักกับพี่ดูก่อน จะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่ดีกว่ากัน”
มือหนาเอื้อมจะมาจับตัวของเด็กสาวที่พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นลูกของใคร อาจจะเป็นลูกของคนใช้เหมือนกับไป๋หานก็ได้
แต่ยังไม่ทันจะได้แตะถูกผิวเนื้อนุ่ม ก็มีมือหนาของไป๋หานเอื้อมมาจับหยุดการกระทำเอาไว้ พร้อมกับหมัดที่ปล่อยออกมาถูกเบ้าตาของนักศึกษารายนั้นเต็มแรง
“แกกล้าต่อยหน้าฉัน จัดการมันสิวะ ยืนบื้ออยู่ทำไม”
นักศึกษาคนที่ถูกชกหน้า หันไปร้องสั่งเพื่อนทั้งสอง จากนั้นคนทั้งสามก็บุกเข้าไปรุมชกต่อยกับคนที่ชอบทำตัวเป็นพลเมืองดี
หากเป็นหนึ่งต่อหนึ่งไป๋หานคงพอรับมือไหว แต่นี่ฝ่ายตรงข้ามมีถึงกันถึงสามคน เขาจึงเพลี่ยงพล้ำถูกชกต่อยจนสภาพสะบักสะบอมพอสมควร
“พี่ไป๋หาน”
หลิงหลานเห็นพี่ชายเสียเปรียบ ก็ถือกระเป๋าวิ่งเข้าไปฟาดตามร่างกายของนักศึกษาที่ชอบทำตัวเป็นอันธพาล โดยไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง
“คุณหนูถอยออกไป อย่าเข้ามายุ่ง”
ไป๋หานรีบตะโกนบอกเจ้านาย เพราะกลัวว่าจะพลอยถูกลูกหลงไปด้วย
“ไม่ ฉันจะช่วยพี่” เด็กสาวตอบอย่างดื้อรั้น ยังคงหลับหูหลับตาฟาดกระเป๋าไปแบบไร้ทิศทาง
นักศึกษาคนหนึ่งได้ยินคู่อริร้องเรียกเด็กสาวว่าคุณหนู ก็ฉุกคิดได้ว่า ถ้าเด็กสาวเป็นเจ้านายของหมอนี่ ก็แสดงว่าหล่อนเป็นลูกของนายพลหยาง
“ตายห่า ซวยแล้วพวกเรา”
“ซวยอะไรวะ”
“หล่อนเป็นลูกสาวของนายพลหยางหย่งไท่”
“หา!” ชายหนุ่มทั้งสอง ร้องผสานเสียงกัน
พอคนทั้งสามรู้ว่าเด็กสาวที่พวกเขาเกี้ยวพาเป็นใคร ก็เลิกชกต่อย วิ่งหนีออกจากบริเวณนี้ไปในทันที
“พี่ไป๋หาน เป็นอย่างไรบ้างคะ”
ทันทีที่คนพวกนั้นวิ่งหนีไป หลิงหลานก็รีบเข้ามาดูชายหนุ่ม ที่สภาพดูไม่ได้เอาเสียเลย ใบหน้าเริ่มเหยเก หยดน้ำใสเอ่อคลอเบ้าตา ก่อนจะรินไหลออกมา เพราะสงสารและรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุให้ชายหนุ่มต้องมาเจ็บตัว
“ฮือ ๆ เป็นเพราะฉันเอง พี่ถึงต้องเจ็บตัวเช่นนี้”
“คุณหนูอย่างร้องไห้เลย พี่ไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อย พวกเรารีบกลับบ้านกันดีกว่า”
ไป๋หานเห็นคุณหนูเป็นห่วงตนจนร้องไห้ออกมา ก็ฝืนยิ้มอ่อน ๆ หยัดกายลุกขึ้นยืน ข่มความเจ็บปวดเอาไว้
ด้านเด็กสาวเห็นชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ก็รีบเข้าไปช่วยพยุงด้วยความเป็นห่วง แต่อีกฝ่ายกลับรีบสะบัดแขนของเธอออก ทำราวกับรังเกียจเธออย่างไรอย่างนั้น
สีหน้าที่ไม่สู้ดีอยู่แล้ว ก็แย่ลงไปอีก แต่เพราะความเป็นห่วงมีมากกว่าความน้อยใจ จึงรีบพูดขึ้นมา
“พี่ขับรถไหวหรือเปล่า ฉันว่าไปหาหมอก่อนดีไหม”
“พี่ยังไหว ไม่ต้องถึงขั้นหาหมอหรอก ขึ้นรถเถอะครับ”
ไป๋หานเห็นความน้อยใจจากนัยน์ตาคู่งาม แต่เลือกที่จะทำเป็นไม่รับรู้ ใช่ว่าเขารังเกียจคุณหนู แต่เป็นเพราะตอนนี้คุณหนูของเขาอายุสิบหกปี เป็นสาวแล้ว ไม่สมควรที่จะใกล้ชิดหรือถูกเนื้อต้องตัวกันเหมือนตอนเป็นเด็กอีก
ชายหนุ่มเดินอ้อมไปเปิดประตูให้คุณหนูขึ้น จากนั้นจึงเดินไปนั่งฝั่งคนขับแล้วขับรถกลับบ้านในทันที
หลังจากทั้งสองเดินทางกลับถึงบ้าน หลิงหลานก็บังคับให้ชายหนุ่ม นั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น ส่วนตัวเองนั้นตรงเข้าไปหยิบอุปกรณ์ทำแผล แล้วมาทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน
“เดี๋ยวพี่ทำเองก็ได้” เสียงนุ่มรีบกล่าวคัดค้าน เอื้อมมือจะไปหยิบยามาทาแผลเอง
เพียะ!...แต่ถูกมือเล็กตีเอาเสียก่อน จนต้องหดมือกลับ
“อยู่นิ่ง ๆ นี่คือคำสั่งค่ะ”
ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กสาวแดงก่ำ เพราะผ่านการร้องไห้มา มือเรียวบรรจงล้างแผลทาแผล พยายามทำทุกอย่างให้เบามือมากที่สุด สายตากวาดมองไล่ตามบาดแผลตรงใบหน้า ไล่ทายาไปทีละจุด
ก่อนสายตาคู่งามจะเลื่อนขึ้นมายังรอยแตกเล็กน้อยบริเวณหางคิ้วด้านขวา เด็กสาวจึงเริ่มลงมือล้างแผลก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยทายา
ระหว่างที่ทำแผลอยู่นั้น สายตาทั้งสองข้างประสานกันโดยบังเอิญ จิตใจสาวแรกรุ่นสั่นสะท้าน พวงแก้มเปล่งปลั่งไปด้วยเลือดฝาด ก้อนเนื้อในอกซ้ายก็เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
หลิงหลานรีบวางมือลง ขยับออกห่างจากคนที่ทำให้ใจเต้นแรง
“ทำแผลเสร็จแล้ว ฉัน...ฉันขึ้นไปทำการบ้านก่อนดีกว่า”
กล่าวจบเด็กสาวก็เก็บอุปกรณ์ทำแผล แล้ววิ่งขึ้นบันไดไปชั้นสองทันที
“เป็นอะไรของเขา”
ไป๋หานยิ้มขำ เอ็นดูท่าทางนั้นของคุณหนู แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะสำหรับเขาแล้ว นอกจากอีกฝ่ายจะเป็นเจ้านาย ยังเป็นเหมือนน้องสาวที่เขารักและเอ็นดู ไม่ได้คิดเกินเลยมากไปกว่านั้น...