ตอนที่ 8 ไร้เดียวสา
ตอนที่ 2/3 ไร้เดียงสา
จากนั้นเขาก็ไม่ข่มตาหลับอีกเลย เอาแต่หันมองนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดสนใจพิเศษ ส่วนเธอกลายเป็นว่านั่งจิกเล็บมือเล็บเท้า หลังตรงทื่อแข็งเกร็งไปหมด ความใกล้ชิดแค่คืบทำหัวใจดวงน้อยไหวระริก ทุกครั้งเมื่อลอบสูดดมกลิ่นกายบุรุษสุขมนุ่มลึก ผสมปนเปน้ำหอมราคาแพงที่ฟุ้งกระจายรอบตัวของเขา
ทั้งให้ความรู้สึกเยือกเย็นน่าสะพรึง ชวนขนลุก และซ่อนความเร้นลับอย่างแปร่งประหลาด เป็นจุดน่าค้นหา จนเธอแอบเบี่ยงตามอง
กว่าจะเดินทางไปถึงไร่ คงใช้เวลาพอสมควร แอร์เย็น และเครื่องยนต์ที่ขับประคองอย่างนุ่มนวล อิงเอยที่มองข้างทางเริ่มล้าสายตา ดื่มด่ำบรรยากาศเย็นสบายภายในรถของห้องโดยสาร ชวนเคลิบเคลิ้มได้ดียิ่ง
ร่างกายเธอรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง สับมะเหงกอยู่บ่อยครั้ง ดวงตากลมแทบปิดลงอยู่รอมร่อพยายามคลี่ตากว้างขึ้นไม่ยอมให้ตัวเองพล็อยหลับ ทำตัวไม่ถูกเมื่อเริ่มฝ่าฝืนความง่วงเกินลิมิต เธอไม่คุ้นสถานที่ใหม่ ผู้คนรอบข้างเธอขอลงความเห็นว่ายังเป็นแค่คนแปลกหน้าของกัน และกัน
มิหนำซ้ำ เธอเพิ่งเคยออกมาข้างนอก คราวนี้ไม่มีครอบครัวมาด้วย เด็กสาวผู้อ่อนต่อโลกกว้างจึงไม่สามารถมองอะไรในแง่ดีได้นัก เธอเคยอ่านกระทู้บนอินเทอร์เน็ต เกี่ยวกับเรื่องของประชากรคนในสังคมปัจจุบัน ที่คบกันด้วยผลประโยชน์ ทั้งสวมหน้ากากเข้าหากัน ขับเคลื่อนเบื้องหน้าที่เรียกว่ามิตรภาพ แต่ฉากหลังคือการชิงดีชิงเด่นกันเอง ด้วยมักมากในลาภยศ ทั้งทรัพย์สิน
บางคนไม่ได้หวังดีกับเธอเสมอไป เขาพร้อมแสวงหาผลพลอยได้เข้าตัวเองเท่านั้น คอยหาฉกฉวยเอารัดเอาเปรียบทุกเมื่อที่อีกฝ่ายตายใจ พร้อมย่ำยีซ้ำเติมในวันที่ล้มเหลว
กระทั่ง หัวข้อเรื่องผู้ชาย กิเลสตัณหาย่อมเกิดขึ้นได้ พอหน้ามืดตามัวก็ไม่ได้คำนึงถึงความถูกผิดชอบชั่วดี อะไรเทือก ๆ นั้น เธอไม่ไว้วางใจใครอื่น และระแวดระวังตัวให้มากหลายสิบเท่า
ด้วยเหตุเอิงเอยนั่งใกล้ตัวพ่อเลี้ยงพฤกษ์ ที่เป็นผู้ชายห่าม ๆ อีก เธอจึงไม่ยอมหลับ จะชะล่าใจไม่ได้เด็ดขาด
แม้ว่าครอบครัวเธอรู้จักกับเขามาหลายสิบปี แต่ก็ใช่ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เธอจะสนิทสนม หรือวางใจต่อเขา ทุกครั้งที่เขามาบ้านเธอ แทบถามไถ่กันไม่ถึงสิบประโยค ส่วนใหญ่เขาเน้นคุยกับพ่อกับแม่ของเธอมากกว่า ความห่างเหินยังเป็นกำแพงบาง ๆ กั้นระหว่างเรา
"ง่วงก็นอนเถอะ อย่าบังคับร่างกายตัวเองขนาดนั้น"
เอิงเอยสะดุ้งต่อเสียงของพ่อเลี้ยง ซึ่งบอกแกมสั่งคล้ายรำคาญ และหงุดหงิดเมื่อคนข้างกายมีอาการง่วงซึม แต่กลับไม่ยอมพักสายตา ยังทำตัวระวัง จนเขาทนไม่ไหว เธอหวาดระแวงอะไรกัน บนรถก็มีแค่เขากับเธอ และคนขับรถที่สนิทสนมทำงานร่วมกันมาหลายสิบปี คิดได้บัดนั้น ฉับพลันคิ้วเข้มก็กระตุกขึ้น ปลายลิ้นแกร่งดุนดันกระพุ้งแก้ม ด้วยอารมณ์คุกรุ่น ที่พยายามควบคุมความสับสน ว้าวุ่นในอกตน
"หรือเธอกลัวฉัน!"
"...." ฉับพลันบรรยากาศก่อนหน้า เคยผ่อนกลับกลายมาอึมครึมอีกหน รอบตัวรู้สึกราวกับมีเมฆฝนปกคลุมรอบบริเวณ
เอิงเอยอึกอักไร้กระทั่งคำตอบ คิ้วเรียวสวยบนใบหน้านวลเนียนยามนี้กำลังยับย่น นัยน์ตาน้ำตาลอ่อนหลุกหลิก ชวนคนปรายมองเอ็นดูระคนใคร่รู้
เธอขบคิดค้นหาคำตอบที่ดีที่สุด พอเงยหน้า จึงสบเข้ากับดวงตาคมกริบบีบคั้น รังสีแรงกดดันคละคลุ้ง สติสัมปชัญญะเธอแทบจะหลุดลอย คิดอะไรไม่ออก
คนอะไรถามนิ่ง ๆ ปั้นหน้าเย็นชากลับสามารถข่มจิตผู้อื่นได้ถึงเพียงนี้
"เป็นอย่างที่ฉันคิดจริง ๆ สินะ"
"หนูเชื่อใจใครไม่ได้ค่ะ แม้แต่คนสนิท ผู้มีพระคุณ รวมถึงครอบครัวที่อ้างว่าหวังดี เพราะยุคสมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว โลกภายนอกอันตรายมาก หนูต้องตั้งรับให้ทันค่ะ" ท้ายที่สุดความอึดอัด คับข้องภายในทำให้เอิงเอยเผยอปากเปล่งเสียงผ่าน
เธอเกรงว่าเขาจะเข้าใจผิดไปกว่านี้ เธอทำไปทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของเธอเอง
"รู้ได้ยังไงว่าโลกภายนอกมันอันตราย"
เธอว่าอย่างกับผ่านอะไรมาเยอะ ทั้ง ๆ อายุก็อ่อนกว่าเขาหลายปี ไม่เคยเผชิญโลกภายนอกด้วยซ้ำ
"หนูอ่านจากกระทู้ในอินเทอร์เน็ตมาไงคะ" เธอเสพกระทู้การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันมาเยอะพอสมควร
"ศึกษาเอาไว้ไม่เสียหาย เพื่อเอามาปรับใช้ในชีวิต ไม่ใช่เอามาคิดหวาดระแวงคนเขาไปทั่ว เธอเข้าใจไหม"
อีกอย่างเธอคิดว่าตัวเองรู้ทันคนอื่นแล้วหรือ ขนาดเขาถามเพียงนิด เธอกลับสารภาพบอกมาอย่างหมดเปลือกเสียขนาดนี้ หากเธอพบเจอพวกคนไม่หวังดีด้วยจริง ๆ แล้วเผลอพูดสิ่งที่คิดออกมาจนหมดแบบนี้ อีกฟากฝั่งนั้นคงเปลี่ยนแผน ตั้งรับตลบหลังเธอกลับแล้วเช่นกัน เล่ห์เหลี่ยมไม่มี แต่คงคติอวดดีไว้ก่อนก็คงคือเธอคนนี้นี่ล่ะ