เกี้ยวรักแสนร้าย

153.0K · จบแล้ว
ทัชชาพร
78
บท
4.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เขาคือผู้มีพระคุณ ส่วนเธอต้องชดใช้หนี้บุญคุณนั้นที่ไม่มีวันหมด เขาเห็นเธอมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจึงเอ็นดูเสหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกล้ำลึกมากกว่านั้น...ถ้าอยากได้มาเป็น...จะได้หรือเปล่า?

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักผู้ชายอบอุ่นพระเอกเก่งเศรษฐี

ตอนที่ 1 บังคับ

ตอนที่ 1/1 บังคับ

'เอิงเอย' ในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวสะอาดตา ชายเสื้อสอดทับใต้กางเกงยีนทรงกระบอกยาวรัดเรียวขาสวย และส่วนเว้าโค้งสรีระของเจ้าหล่อนจนเห็นสะโพกงามงอนฉบับสตรีรูปร่างดีอย่างผ่าเผย เสริมทับผ้าคลุมกันเปื้อนพลาสเทลสดใสแนบลำตัวส่วนล่าง แล้วผูกโบไว้ด้านหลังเหนือเอวคอด ผมเพ้ามัดรวบหางม้าจัดทรงให้ดูเเรียบร้อยรับกับใบหน้าพริ้มเพรา

หญิงสาวที่เพิ่งกล่าวถึงกำลังเข็นท้ายรถเข็นพ่วงสี่ล้อซึ่งบรรทุกข้าวของหนักพะรุงพะรังด้วยแรงกายที่หลงเหลือ จนเธอสามารถเข้ามาจอดบนลานกว้างพื้นที่ตลาดสดใจกลางอำเภอ ณ จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือได้

พอจอดสนิทเข้าล็อคประจำที่ขายเดิม แล้วก็ยกแขนปาดเช็ดเม็ดเหงื่อขมับสองข้าง จังหวะหายใจถี่กระชั้นขึ้นหลังจากมีเวลาเพียงแค่เสี้ยววิที่จะได้พักหายใจหายคอบ้าง เพราะตอนเช้ากับตอนเที่ยงเอิงเอยรับหน้าที่เป็นลูกมือ เข้าครัวช่วยมารดาโขลกพริก และกระเทียม บ้างหั่นเนื้อสด ทำสารพัดอย่างเพื่อเตรียมอาหารใส่หม้อสแตนเลสขนาดใหญ่ให้ทันตามกรอบเวลาที่กำหนดเอาไว้ แล้วจะต้องเอาออกมาขายในช่วงบ่ายคล้อย

เปิดร้านทุกวันจัทร์ถึงเสาร์ ตั้งแต่บ่ายสองโมง และเก็บร้ายราว ๆ สองทุ่มตรง ขึ้นอยู่กับว่าขายหมดเร็วแค่ไหน มีวันหยุดแค่อาทิตย์ละหนึ่งวัน แถมเป็นกิจการขนาดย่อมและมีอาชีพทางเดียวของครอบครัวที่ใช้เลี้ยงชีพจนถึงทุกวันนี้ แม้จะไม่ได้ผลตอบแทนมากก็ตาม

เอิงเอยแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าตอนบ่ายกลางพื้นที่โล่งกว้าง ปากอวบอิ่มก็เผยอบ่นงึมงำให้ได้ยินคนเดียว ว่าร้อนครั้งแล้วครั้งเล่า จนแดดร้อนจัดสะท้อนเข้านัยน์ตากลมโตจนต้องหรี่เล็กลง สาวเจ้ารีบงุดลงพื้นแทนแทบทันที

พ่อแม่รีบเดินเข้ามาช่วยบุตรสาวยกของอีกแรง นำโต๊ะพับทรงสี่เหลี่ยมกว้างกับเก้าอี้พลาสติกที่เตรียมจากบ้าน ออกมากางบริเวณข้างหน้าร้านข้าวแกงอย่างขมักเขม้น

เอิงเอยสาวใสวัยสิบเก้าปีถ้วนหยุดเมืองมองเหตุการณ์ตรงหน้าครู่หนึ่งแล้วรีบเข้าไปช่วยด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ เพราะภาพบังตาทั้งหมดดูเหมือนครอบครัวของเธอน่าชื่นชม เป็นต้นแบบอย่างที่ดีเพราะช่วยกันทำมาหากินหามเช้าหามค่ำอย่างเหลือเชื่อ

ทว่า...ความเป็นจริงต่างจากนั้นอย่างลิบลับ

"พ่อเลี้ยงพฤกษ์เข้ามานั่งก่อนเถอะจ้ะ วันนี้น้ากับพ่อนางเอยมาตั้งร้านช้านิดหน่อยน่ะ ก็อย่างนี้แหละพออายุเริ่มมาก ทำอะไรก็ช้าลง" อนงค์แม่ของเอิงเอยรีบต้อนรับชายหนุ่มผู้มีพระคุณ ที่ตอนนี้เขายืนล้วงกระเป๋าอยู่ด้านข้างประตูรถลีมูซีนสีดำกริบใหม่เอี่ยม แถมมีคนขับรถประจำตัวคอยอำนวยสะดวก

หลังจากแม่ของเธอเชิญชวนเขา พ่อเลี้ยงพฤกษ์ไม่อิดออด ถอดแว่นตาดำช่วยบดบังแสงแดดบนกรอบหน้าออก นำมาเสียบไว้กับคอเสื้อเชิ้ตทรงตัววี ฝีเท้าภายใต้รองเท้าหนังแบรนด์ดังย่ำกรายเข้ามานั่งยังร้านข้าวแกงธรรมดา เขากระชับเสื้อสูทเนี้ยบ แล้วย่อนกายลงเก้าอี้พลาสติกเล็ก ๆ วางแขนสองข้างบนโต๊ะเบื้องหน้าเสียงดัง

ใบหน้าคมคายรับกับสันจมูกโด่งเป็นสัน ปลายคางแข็งแรงเกิดปื้นสีเขียวอ่อน ๆ ด้วยการโกนหนวด ทรงผมเซ็ตเปิดหน้าผากอย่างพิถีพิถัน ดวงตารีเรียวหรี่ลงต่ำจดจ้องลูกสาวเจ้าของร้านข้าวแกงไม่คาดสายตา ขณะสีหน้าราบเรียบไม่แสดงเคล้าความรู้สึกใด แต่ก็ไม่เชิงว่ากำลังพิจารณาเธออยู่ชั่วครู่หนึ่ง

วันนี้ 'พฤกษชาติ' แต่งตัวมีภูมิฐานสมฐานะนักธุรกิจมากอิทธิพล และรวยติดอันดับหนึ่งในสามสองประเทศ เนื่องจากด้วยเหตุมีนัดเจรจาธุรกิจกับผู้ใหญ่อาวุโสคนมากชื่อเสียงรายหนึ่งในตัวอำเภอเสร็จสิ้นในช่วงเที่ยง ชายหนุ่มจึงไม่ลืมสั่งโชเฟอร์พาแวะร้านข้าวแกงร้านโปรดเจ้าประจำสักประเดี๋ยวเดรยว

"นางเอยก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก วัน ๆ เอาแต่เดินแบบอะไรของมันก็ไม่รู้" อนงค์ทั้งบ่น ทั้งเอ็ดลูกสาวตัวดี หญิงสาวที่ตกอยู่ในบทสนทานทำหน้าเหลอหลา

เอิงเอยอยากโต้ตอบว่าเธอไม่ได้อู้งานแล้วแอบไปหัดเดินแบบเสียหน่อย อย่างน้อยหลังเรียนจบม.ปลาย เธอก็รีบตื่นขึ้นมาช่วยพ่อแม่ทำงาน นำข้าวแกงมาขายที่ตลาดทุกวัน ไม่ได้ขาดตกบกพร่อง หรือเพิกเฉยปล่อยให้พ่อกับแม่ลำบากเลยสักครั้ง

ส่วนเรื่องเดินแบบ ซ้อมบทละครคนเดียวเล่น ๆ ขำขัน เพราะอยากลองสิ่งใหม่ ๆ ดูบ้าง เธอก็ทำแค่ช่วงพักจากการช่วยงาน และช่วงว่างจริง ๆ เท่านั้น

แต่ด้วยความเป็นเด็กอายุอ่อนกว่า แถมรู้สึกเกร็งจนถึงขั้นกลัวต่อสายตาคมจากพ่อเลี้ยงพฤกษ์ที่มองมาทางเธอโดยอ่านไม่ออกว่า เขาคิดอะไรอยู่ เธอจึงเก็บงำคำพูด ความรู้สึกนึกคิดซึ่งไม่อาจเอื้อนเอ่ยไว้

"เอาเวลาทำเรื่องไม่เป็นเรื่องไปอ่านหนังสือ เตรียมสอบเข้าคณะดี ๆ จะไม่ดีกว่าการทำตัวไร้แก่นสานหรือไงนางเอย" คราวนี้พ่ออย่างชำนาญเสริม น้ำเสียงแหบแห้งตามวัยอายุห้าสิบปลายคล้ายเอือมระอาลูกสาว

เอิงเอยฮึดฮัดใส่ ครอบครัวไม่เข้าใจเธอเลยสักนิด การชอบเดินแบบ แสดงละคร เพราะอยากประกอบอาชีพนักแสดงดาราที่มีชื่อเสียง โลดแล่นในวงการบันเทิง ขายความสามารถจนสร้างรายได้เป็นกอบกำให้แก่ตัวเอง

ล้วนแล้วแต่เป็นงานสุจริต มันอาจเป็นเรื่องไกลตัว ความฝันเกินกว่าเด็กบ้าน ๆ แสนธรรมดาจะเอื้อมถึง แต่ก็ใช่ว่าไม่มีทางเป็นไปไม่ได้เสียหน่อย หาไม่ยอมแพ้ไปก่อน

เอิงเอยคนนี้จะผลักดันตัวเองไปถึงจุดสูงสุดที่ส่องสว่างตัวเธอจนกว่าจะสำเร็จเข้าสักวัน จนกว่าจะมีผู้คนเห็นพรสวรรค์ด้านนี้ของเธอ และได้รับโอกาสจากใครสักคนที่อยากสนับสนุน เพื่อเพิ่มพื้นที่แสดงสปิริต เอิงเอยชื่นชอบการแสดงออกบนเวทีแต่ไหนแต่ไรแล้ว งานกิจกรรมของทางโรงเรียนเธอไม่เคยพลาดสักครั้ง ต่อสายตาคนอื่นเมื่อตอนเธออยู่บนเวทีสวมบทบาทตัวละครนั้น ๆ เธอคือผู้หญิงที่มีความมั่นใจ แต่ภายหลังที่ออกจากการสวมบท เธอคือผู้หญิงประหม่า ขี้อายสุด ๆ ทว่าจัดได้ว่าเอิงเอยเป็นดาวเด่นตัวท็อปของสายกิจกรรมในโรงเรียนก็ว่าได้ เพียงแค่ยกเว้นการเรียน

ทว่าพ่อกับแม่ นอกจากไม่เอาใจช่วย ยังค่อนขอดเก่งเหลือเกิน จนเธออดน้อยใจไม่ได้

"อ้าวพ่อ ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ แค่เอยอยากเป็นดารา ถึงเป็นเรื่องไกลตัวมาก พ่อก็ดูถูกความฝันของลูกสาวตัวเองเลยเหรอ ถ้าเอยเป็นดาราขึ้นมาละก็..." ที่ผ่านมา เอิงเอยเลือกที่จะเงียบแทนการอธิบาย หลีกเลี่ยงมีปากเสียงต่อคนในครอบครัว แค่เดินเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าหลาย ๆ โต๊ะในแต่ละวันเธอก็เหนื่อย จนขาลาก สายตัวแทบขาด เลยไม่อยากมีปัญหา หรือสร้างความหนักใจให้แก่พวกท่าน

แต่ครั้งนี้เธอกล้ำกลืนฝืนทนไม่ไหวอีก ถึงเวลาต้องปกป้องความฝันอันสูงส่งของตัวเองเสียบ้างเมื่อถูกด้อยค่าถึงเพียงนี้...ทุกอาชีพล้วนสุจริต ไม่ควรโดนดูถูก

"หยุดเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ ได้แล้วนางเอย ไปหาน้ำมาให้พ่อเลี้ยง เร็ว!"

ยืนตอบโต้กลับไม่ได้ถึงหนึ่งวิ ผู้เป็นแม่ก็เดินเข้ามาดันไหล่ลาดเล็กของบุตรสาว เธอตัวเซไปข้างหลังเล็กน้อย ก่อนอนงค์จะแผดเสียงดุสั่ง โดยไม่ยอมฟังกระบอกเสียงของเอิงเอย ที่ต้องการจะอธิบายมากกว่านี้

"จ้ะแม่ เอยไปก็ได้!"

พอรู้ตัวว่าโดนพ่อเลี้ยงจ้องอยู่นานสองนาน เอิงเอยก็ยิ่งอารมณ์เสีย ไม่ว่าครั้งใดผู้ชายคนนี้มาเหยียบร้านเธอ พ่อแม่ของเธอมักหาเรื่องมาต่อว่าเธอตลอด เพราะไม่เคยทำอะไรได้ดั่งใจท่าน

ไม่เหมือนเขา ดูเก่งเชี่ยวชาญไปหมดทุกอย่าง คนในอำเภอต่างนับหน้าถือตา ทั้งบ้านของอีกฝ่ายยังร่ำรวย มีไร่ชา มีไร่ผลไม้ล้อมรอบคฤหาสน์หลังใหญ่ ทำธุรกิจผลไม้อบแห้งส่งออกทั้งในประเทศ และนอกประเทศ มีทุกวันนี้ด้วยความมุมานะ ความสามารถ ตระกูลของเขาเก่งกาจนับมาตั้งแต่รุ่นปู่ทวด

จนเขาถูกแม่ของเธอลากมาชมอยู่บ่อยครั้ง มากกว่านั้นคือแม่พยายามบังคับเธอให้เป็นผู้หญิงเพียบพร้อม ทางด้านการศึกษา หน้าตา และกิริยา เพื่อวันหนึ่งนั้นเอิงเอยจะสามารถถีบตัวเองขึ้นมาเป็นนายหญิงของไร่ชา 'อุดมสุข' เคียงข้างพ่อเลี้ยงพฤกษ์ได้สำเร็จ แม้ว่าต้นทุนชีวิตตั้งแต่แรกเริ่มจะต่างกัน เธอไม่อาจเอื้อมถึงเขา แม่ของเธอวาดฝันเพ้อเจ้อไว้อย่างหัวสูง ไม่มองความเป็นจริงเลย

หากเปรียบเปรยเธอกับเขา คงเป็นราวสวรรค์กับนรกก็ไม่เกินจริง เธอนั้นคือนรก ส่วนเขาเป็นเหมือนเทพบุตรบนสรวงสวรรค์ พวกท่านอยากให้เธอฉลาด เก่งกาจได้ครึ่งของพ่อเลี้ยงพฤกษ์บ้าง ทว่าแต่เดิมทีเธอไม่ใช่เด็กเก่ง อัจฉริยะ แค่พอถู ๆ ไถ ๆ ไปได้ สำหรับเธอ คิดว่ามันไม่ได้แย่เสียหน่อย ยิ่งอยากเก่งเกินกำลังตัวเอง ยิ่งต้องแบกรับภาระ ความกดดันไว้มาก เอิงเอยยังยืนยันจะไม่เปลี่ยนตัวตนของเธอ เพื่อใครเป็นอันขาด พวกท่านจึงได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเธอ

"นางลูกคนนี้!" เอิงเอยสะบัดหน้าหันกลับเข้าไปในร้าน เพื่อนำน้ำเปล่ามาเสิร์ฟลูกค้าขาประจำ ซึ่งเธอไม่อยากพบเจอเขาบ่อยนัก แต่อีกคนก็แปลก มาทานข้าวแกงร้านพ่อแม่ของเธอทุกวัน อนงค์คันปากยุบยิบอยากตะโกนด่าตามหลังลูกสาวให้อับอายคนทั้งตลาด แต่เพราะมีแขกที่หล่อนนับถือนั่งทนโท่อยู่ต่อหน้า จึงข่มความขัดตาขัดใจต่อท่าทางของเอิงเอยเอาไว้