ตอนที่ 7 ไร้เดียงสา
ตอนที่ 2/2 ไร้เดียงสา
พอเด็กสาวเข้ามาถึงที่นั่งตอนหลัง เธอไม่ลืมไหว้ลาพ่อกับแม่ แม้อีกซีกหนึ่งในโพรงอกยังหลงเหลือความขุ่นเคือง ยังไงพวกท่านก็เป็นผู้ให้กำเนิด ต่อให้ผิดใจกันสักเพียงใดเธอก็เกลียดไม่ลง มอบความรัก และนับถือเฉกเช่นเดิม
เธอเลี่ยงเดินไปหาเบาะนั่งตรงด้านหลังอีกฝ่าย เพราะไม่อยากรบกวนการนอนพักของเขา ประตูรถลีมูนซีนปิดลง พร้อมพุ่งทะยานพ้นจากรั้วบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ ผ่านท้องถนนรถราหนาแน่น
"จะไปไหน" ท่อนขาเล็กภายใต้รองเท้าผ้าใบสีขาวชะงัก ยังก้าวผ่านคนตัวโตไปไหนไม่ถึงสามก้าว เมื่อเสียงทุ้มเข้มโพล่งถาม ลมหายใจเอิงเอยชะงักชั่วขณะ ครั้นเอี้ยวหน้ากลับมามองเจ้าของคำถาม ไม่แน่ใจว่าเขาลืมตาตั้งแต่เมื่อไร สายตาคมจึงจ้องเธอนิ่งด้วยแววลึกลับ ไม่ไหวติงสะท้อนห้วงอารมณ์ใด จนเธอยากจะคาดเดา
"นะ...หนูจะไปนั่งเบาะด้านหลังค่ะ" เธอประหม่า น้ำเสียงหวานใสเลยตะกุกตะกัก ชี้นิ้วเรียวสวยไปยังเบาะด้านหลังเขา ที่หมายมั่นเอาไว้ว่าจะนั่งหลบอีกฝ่ายตรงมุมนั้น
"ทำไม ตรงนี้ก็มี" พ่อเลี้ยงพฤกษ์เหลือบมองเธอเพียงนิด ฝ่ามือใหญ่ตบลงเบาะข้างกายตน ประกอบคำถามเรียบเฉื่อย ทว่าแฝงความกดันต่อคนตอบเป็นอย่างยิ่ง
"หนูเห็นว่าพ่อเลี้ยงกำลังพักผ่อนอยู่ค่ะ เลยไม่อยากรบกวน"
"ฉันพูดแล้วหรือว่าเธอรบกวน"
"..." เอิงเอยทำเพียงส่ายหัว เขาถามยอกย้อนแบบนั้นคล้ายตำหนิ และดุเธออยู่กลาย ๆ จึงพูดไม่ออก แล้วงุดหน้าลงต่ำมองรองเท้า ไม่ยอมเงยขึ้นสบตาผู้ใหญ่ที่อ่านใจเขาได้ยากอีก
"มานั่งตรงนี้"
"ก็ได้ค่ะ..." ใบหน้าจิ้มลิ้มมุ่ยขึ้นเมื่อพ่อเลี้ยงสั่ง พอขบคิดถึงคำพูดของผู้เป็นแม่ เธอกลับมีท่าทางยึกยัก ไม่ยอมเดินไปนั่งง่าย ๆ เธอไม่อยากเชื่อฟังเขาเท่าไรนัก กระนั้นลมหายใจที่พ่นออกมาจากรูจมูกของเขาที่เธอได้ยินเข้า แม้ว่าเสียงจะไม่ดังหนักมากก็ตาม กลับส่งผลให้เอิงเอยยอมจำนนแต่โดยดี ทิ้งสะโพกลงเบาะเคียงข้างชายหนุ่ม
"รู้หรือยังว่าเธอไปทำงานตำแหน่งผู้จัดการ ด้วยหน้าที่ที่ต้องทำอะไรบ้าง" เขาถามเสียงเรียบไร้การกดดัน เอิงเอยเหลือบมองเขา แล้วส่ายหน้าระรัว จนเส้นผมยาวสยายสบัดไปมาระพวงแก้มขึ้นสีแดงเลือดฝาดตามแรง
เธอไม่มีความรู้ หรือมีประสบการณ์แน่นเกี่ยวกับงานที่จะต้องทำด้วยซ้ำ แค่รู้เพียงว่าต้องไป เพราะความปราถนาของพ่อกับแม่
"งานของเธอส่วนมากจะนั่งทำในห้องทำงาน ไม่ค่อยได้ออกไปไร่เหมือนคนอื่น ๆ ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นไหม" พฤกษชาติหวังลึก ๆ อย่างน้อยเธอควรมีความรู้พื้นฐานใช้เครื่องมือการทำงานที่จำเป็น อย่างคอมพิวเตอร์พอได้บ้าง เพราะตำแหน่งนี้แท้จริงแล้วจะรับคนที่มีวุฒิปริญญาตรีขึ้นไป ซึ่งครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่เขาอนุโลมให้
"หนูทำเป็นค่ะ แต่อาจจะไม่มากนัก แต่หนูพร้อมเรียนรู้นะคะ" เธอออกตัวอย่างกระฉับกระเฉง แววตากลมประกายวาวกระตือรือร้น เพราะชีวิตนี้เธอยังต้องก้าวเดินสู้ต่อ เพื่อไปสู่อนาคตข้างหน้า ถึงไม่ได้เต็มใจทำงานนี้ตั้งแต่แรกนั่นคือเรื่องจริง แต่ก็ไม่อยากถูกมองว่าเป็นตัววุ่นวาย ก่อปัญหาให้งานของเขาเกิดการบกพร่อง เธอเป็นเพียงเด็กสิบเก้า ไม่มีประสบการณ์ทำงาน แต่มั่นใจว่าสามารถรับผิดชอบงานที่เขามอบหมายให้ได้ดีอย่างหนักแน่น
"อืม ดี อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ" ถ้อยคำนั้นคล้ายมีพลังงานบางอย่าง สะท้อนถึงอกเธออย่างจัง ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มแน่น แก้มใสผ่าวร้อน ด้วยอาการบอกไม่ถูก ราวกับพ่อเลี้ยงพฤกษ์กำลังคาดหวัง และตั้งตารอดูผลงานการทำงานของเธออยู่ยังไงอย่างนั้นแหละ
"ค่ะ หนูจะตั้งใจทำงาน"
"บางทีเธอก็ไม่ควรทำเพื่อคนอื่นมาก ที่ฉันให้โอกาสเธอมาทำงานที่นี่ อีกเหตุผลต้องบอกตามตรงว่าได้รับรู้เรื่องราวเธอมาบ้าง ช่วงเรียนมหาลัยต้องใช้เงินเยอะพอสมควร ลำพังพ่อกับแม่ของเธอคงส่งไม่ไหวใช่ไหมล่ะ" เอิงเอยพยักหน้าหงึกหงักเป็นอีกครั้งที่ยอมรับคสามจริงข้อนี้ เมื่อพ่อเลี้ยงย้อนถาม เธอเคยวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะส่งตัวเองเรียนไปด้วว ทั้งงานพาร์ตไทม์ตามร้านอาหาร ร้านโชห่วย และอีกหลายตัวเลือกที่เล็งเอาไว้ไปพลาง
"ขอบคุณที่เมตตาหนูนะคะ หนูยังรู้สึกกระดากไม่หาย ที่หลายปีก่อน แม่จะยกหนูให้เป็นเมียคุณ..." เธอพนมมือไหว้ ซาบซึ้งใจต่อการช่วยเหลือมากมายของชายหนุ่ม และรู้สึกอายจนไม่กล้าสู้หน้า อยากมุดหนีให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราววันวาน หลายปีก่อนมาแล้ว แต่ยังตรึงอยู่ในหัวเธอ ซึ่งต่างจากแม่ลิบลับที่ไม่ยอมหยุดเพียงเท่านั้น เธอกลัวว่าพ่อเลี้ยงพฤกษ์จะมองครอบครัวเธอในทางไม่ดี แม้ว่าจะสมควร
"ตอนนั้นเธอยังเด็กเกินไป ฉันจึงไม่ได้คิดอะไรกับเธอลึกซึ้งถึงขั้นนั้น เพียงมองเหมือนญาติพี่น้องซะมากกว่า ฉันไม่อยากโดนตราหน้าว่าพรากผู้เยาว์หรอกนะ ใครจะไปรู้ล่วงหน้าตาโตมาแล้วเธอจะน่ามันเขี้ยว ไม่งั้นฉันคง... ช่างมันเถอะ" เมื่อรู้ตัวว่าพล่ามากเกินไป พฤกษชาติจึงชะงักครู่หนึ่ง แล้วกลับมาคงความขรึมเฉกเช่นเดิม รีบบอกปัดอย่างไม่ยี่หระ
พลันถ้อยคำเสียงทุ้มกระเส่าเบานั้นเอื้อนเอ่ย กลับทำให้เอิงเอยเคลือบแคลงใจ และคิดมาก เหมือนฟากพ่อเลี้ยงกำลังบอกกันเป็นนัยยะ 'ถ้าโตแล้วมันไม่แน่' พอเลยเถิดลามกไปไกลถึงเรื่องสองแง่สองง่าม เธอรีบสบัดหัวไล่ความคิดพวกนั้นทิ้ง เขาคงไม่ได้หมายถึงต้องการความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเธอ ในเมื่อก่อนหน้าเขาย้ำชัดแล้ว ว่าเห็นเธอเป็นเหมือนญาติพี่น้องคนหนึ่งนี่นา ฉับพลันเนื้อตัวร่างขาวเนียนร้อนรุ่มขึ้นมา
โดยเอิงเอยไม่รู้ตัวเลย ว่าอาการตาโตตระหนก แก้มพองลมเหมือนปลาบู่ตกอยู่ในสายตาคมของชายหนุ่มอายุมากกว่าไม่วางตา มุมปากหยักขยับยกได้ไม่ยาก เขาพอคาดเดาได้ ถึงเธอกำลังคิดไปถึงไหนต่อไหน...แต่ดีแล้วล่ะ เข้าใจแบบไหนก็แบบนั้น