ตอนที่ 6 ไร้เดียงสา
ตอนที่ 2/1 ไร้เดียงสา
เช้าวันนี้ไม่สดใสเหมือนทุก ๆ วัน แต่ดูเหมือนจะรู้สึกแย่กว่าครั้งที่ผ่านมามาก ๆ ตลอดทั้งคืนเอิงเอยพยายามข่มตาหลับ แต่ถึงยังไงเธอก็ทำไม่ลง จิตใจยังว้าวุ่น คิดมากกับอะไรเรื่อยเปื่อยไม่รู้จักจบ
น้ำตาก็ไหลพรากอย่างไม่ยอมหยุดหรือหมดไป สิ่งที่รบกวนความคิดเธอที่สุดนั่นคงเป็นเรื่องย้ายบ้านเข้าไปอยู่ในรั้วเขตไร่ชาอุดมสุข แถมยังร่วมอาศัยบนคฤหาสน์หลังเอริกกับพ่อเลี้ยงพฤกษ์ด้วย
เอิงเอยตัดสินใจมาถี่ถ้วนแล้ว ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ใช่ทางออกที่ดี เธอก็จะไม่หลบหนีพร้อมตั้งรับกับทุกสถานการณ์ เธอคิดว่าไม่มีสิ่งใดโหดร้ายยิ่งกว่าครอบครัวที่ตราหน้าด่าทอเธอว่าเป็นลูกเนรคุณ คำพูดจอมปลอมของแม่อ้างว่าทั้งหมดก็ทำเพื่อเธอ แต่สำหรับเอิงเอยกลับรู้สึกว่าแม่ทำเพื่อตัวเอง
ดวงตาสีน้ำชาขุ่นมัวคู่นั้นบวมเป่งเพราะร้องไห้มาอย่างหนักกระพริบปริบพยายามขับไล่ม่านน้ำตาที่คั่งค้างบดบังการมองเห็นไม่ให้ไหล เอิงเอยพึงท่องเอาไว้ข้างใน ระหว่างทางบันไดก็หิ้วกระเป๋าหนึ่งใบจากชั้นสอง ก้าวลงมายังชั้นล่างของบ้าน ภายหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเตรียมตัวรอคนมารับเสร็จสรรพ
หญิงสาวฮึดสู้เรียกกำลังใจ เมื่อใจพร้อมเผชิญหน้าต่ออะไรก็ตามแต่ นับจากวันนี้เป็นต้นไป แต่ก็ต้องนิ่วหน้าทุกครั้งยามเคลื่อนไหวร่างกายแบบไม่ทันระมัดระวัง ร่องรอยฟกช้ำที่ถูกแม่เฆี่ยนตีเมื่อคืนวานยังไม่หายดี ทั้งปวดร้าวและหลงเหลือแผลปริแตกตามลำตัวให้เห็นย้ำเตือนสติ
"ลงมาก็ดีแล้ว ขนกระเป๋าออกไปยืนรอที่หน้าบ้านเลย อย่าชักช้า" เสียงแข็งกระด้างจากแม่ออกคำสั่ง
พ่อกับแม่ออกมายืนรอที่หน้าประตูบ้าน สีหน้าดูเหมือนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม พึงพอใจกว่าครั้งไหน ๆ เพราะเธอยอมทำตามความต้องการของพวกท่าน คนตัวเล็กสูงไม่ถึงร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร อยู่ในชุดเสื้อยืดตัวโคร่ง ชายเสื้อทับกางเกงยีนส์ขาสั้นทำตามอย่างว่าง่าย
ต่อให้เอิงเอยอธิบาย พยายามทำความเข้าใจ แน่นอนว่าครอบครัวเธอไม่มีทางยอมฟังเสียงเรียกร้องไร้ประโยชน์จากเธอ ทอดถอนลมหายใจปลงตกกับชีวิต มือเล็กก็จัดการลากกระเป๋าออกไปรอรถคนของพ่อเลี้ยง ซึ่งนัดแนะว่าจะมารับเธอในช่วงบ่ายตรงรั้วเล็กหน้าบ้าน
"ไปอยู่ที่นั่นก็ทำตัวดี ๆ ล่ะ พ่อเลี้ยงจะได้รักและเอ็นดูแก อย่าหาเรื่องให้เขาต้องเดือดร้อน ห้ามบอกเขาเด็ดขาดว่าโดนบังคับ" สามีกับภรรยาเดินตามหลังมารอส่งลูกสาว ก่อนจะมีรถมารับ เดินทางไปทำงานที่ไร่ชาอุดมสุข หล่อนรีบกำชับสั่งบุตรสาวเสียงเข้มงวด ยิ้มบนใบหน้าเมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นใจตามความต้องการของหล่อน
"จ้ะแม่ เอยไม่บอกหรอกว่าแม่ทำอะไรกับเอยบ้าง บังคับกันขนาดไหน แต่เอยไม่รับปากว่าจะทำตัวดี ๆ นารักให้พ่อเลี้ยงเอ็นดูได้หรือเปล่า" ยิ่งเป็นคนที่แม่เธอชอบพอ เอิงเอยก็อยากพยศต่อต้านมากเท่านั้น เธอยังขุ่นเคืองต่อเรื่องเมื่อคืนไม่หาย กับอีแค่ไม่ยอมไปทำงานก็ถึงกับลงมือกัน ดูเหมือนแม่จะคาดหวังอยากให้เธอเป็นสะไภ้คนตระกูลนั้นเสียเต็มประดา
"แกอย่าปากดีให้มาก!" แค่นเสียงลอดไรฟันด้วยแรงโทสะ หล่อนกลับทำได้เพียงกัดฟัน จิกเล็บลงผิวเนื้อตน
ถ้าลงมือทำเอิงเอยตอนนี้ เกรงว่าจะเกิดรอยฟกช้ำดำเขียวเพิ่ม ไปสะดุดตาพ่อเลี้ยงพฤกษ์เข้า แค่เมื่อคืนก็พอมีรอยจาง ๆ ปรากฏตามร่างกายเอิงเอยพอสมควร แต่ทว่าอนงค์คิดว่าคงไม่มีใครสังเกตเห็นกระมัง
ระหว่างยืนรอรถที่หน้าบ้าน เงียบกริบไร้เสียงสนทนา มีแค่คนบ้านใกล้เรือนเคียง ชะเง้อคอมาถามไถ่กัน แถมวันนี้เอิงเอยหอบหิ้วกระเป๋าออกมาด้วย สร้างสงสัยให้แก่เหล่าป้า ๆ อีกกลุ่มที่สอดแนมเรื่องคนอื่น เป็นโทรโข่งที่กระจายข่าวสู่บ้านอื่นอย่างรวดเร็วตามประสาขาเม้าท์ คอยเป็นหูเป็นตาแทนคนในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงไม่มีบกพร่อง
อนงค์ยิ่งย่ามใจ โอ้อวดเกินความจริง จนเอิงเอยรู้สึกกระดากอาย เธอแค่เข้าไปทำงานในฐานะคนงานธรรมดา เหมือนคนงานคนอื่น ไม่มีอภิสิทธิ์พิเศษใด เพราะที่ไร่ชาขาดผู้จัดการดูแลจึงจำเป็นหาคน มาทำหน้าที่ส่วนนี้แทนเป็นการชั่วคราว สักระยะหนึ่ง
อนงค์กลับบอกคุณป้าข้างบ้าน ว่าพ่อเลี้ยงเอ็นดู จนถึงขั้นขอเอิงเอยให้เข้าไปทำงานใกล้ชิดถึงในไร่ เพราะหาเหตุผลมาเป็นข้ออ้างบังหน้า แท้จริงอาจจะพิศวาสลูกสาวของหล่อนอยู่ก็เป็นได้
เอิงเอยกลอกตามองฟ้า เธออยากตะโกนแก้ต่าง แทรกท่ามกลางวงล้อมสนทนาของผู้ใหญ่นัก
พ่อเลี้ยงไม่เคยมีท่าที อย่างแม่บอกเล่าเลยสักครั้งเดียว ทุกคำพูดเต็มเปี่ยมด้วยคำโกหกทั้งเพ แต่เธอเพียงทำได้แค่กระวนกระวายในอก เธอไม่อยากโดนแม่ลงมือตีก่อนเดินทางอีก แค่นี้ก็เจ็บเจือนตายอยู่แล้ว พลางก้มหน้าคอตก งุดมองพื้น
ยืนรอคนมารับอยู่ที่เดินไม่ขยับตัวไปไหน กระทั่งลีมูซีนคันยาวสีดำเอี่ยมหรู หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าจอดที่บริเวณหน้าบ้านหลังเล็กด้วยความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด
เสียงล้อหลังบดเสียดกับถนนคอนกรีตดังเอี้ยดอ๊าด ฝุ่นตลบ ทำคนยืนคอยสำลัก จนต้องยู่หน้า ก่อนเครื่องยนต์จะดับลง ตามด้วยเสียงประตูเปิด แล้วกระแทกปิดไม่หนัก ไม่เบามาก ยามสารถีก้าวลงมาเหยียบพื้นดิน
"นั่นไงนางเอย เอากระเป๋าไปขึ้นรถ" อนงค์หันกลับมาจัดแจงด้วยความตื่นเต้น ยินดีราวกับวันนี้เป็นฤกษ์งามดี อะไร ๆ ก็เป็นตามใจประสงค์ของหล่อน เมื่อคนขับรถ มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับพ่อเลี้ยงพฤกษ์เดินอ้อมจากอีกฟากฝั่ง ตรงลิ่วเข้ามาช่วยเอิงเอยยกกระเป๋าเดินทางเข้าไปไว้ข้างใน
ก่อนประตูฝั่งที่นั่งตอนหลังจะค่อย ๆ เลื่อนเปิดออก ปรากฏร่างหนาใหญ่นั่งไขว้ห้างอยู่บนเบาะด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย ดวงตาปิดสนิทคล้ายคนกำลังพักผ่อน แม้กระทั่งตอนเผลอไผล เขายังมีกลิ่นไอเย็นยะเยือกข่มผู้อื่นไม่ผ่อนคลาย
เอิงเอยนึกแปลกใจไม่น้อย ไม่คิดว่าพ่อเลี้ยงพฤกษ์จะมารับเธอด้วย แต่พอมองอีกมุมเธอคิดว่าเขาคงส่งแค่คนที่ไร่มารับเท่านั้น หรือไม่อาจจะแวะเข้ามาทำธุระแถวนี้กระมัง
ซึ่งคราวนี้พฤกษชาติไม่ได้ลงมาทักทายชำนาญกับอนงค์ เพราะวันนี้เขามารับเธอไม่มีธุระโครงการอะไรที่จะต้องเสวนากับคนที่บ้านนี้อีก ข้อตกลงของการทำงาน รายรับทั้งรายจ่าย เขาถือว่าทุกฝ่ายรับรู้ทั้งหมดเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวานที่เขาเสนอไปแล้ว
ความดีอกดีใจของอนงค์ จึงไม่ได้มากพิธีรีตอง เห็นพ่อเลี้ยงพฤกษ์กำลังงีบหลับก็ไม่กล้าส่งเสียงดังรบกวน แถมแท้จริงอยากให้คนขับรถรีบขับออกไปจากบ้านเสียที ด้วยเกรงว่าเอิงเอยจะหน้ามึน เปลี่ยนใจไม่ยอมไปทำงานที่ไร่ชานั่น
"ข้าวของมีแค่นี้ใช่ไหมครับ" ดินแดนส่งเสียงมาถามคนตัวเล็กทางด้านหลังรถ หลังจากนำกระเป๋าของเธอเข้าไปจัดวางไว้เรียบร้อย
"ใช่ค่ะ" เด็กสาวตอบประหม่าไม่น้อย อย่าบอกนะว่าเธอต้องนั่งติดรถไปกับเขาด้วยระหว่างทาง แค่คิดก็เกิดอาการเกร็งแทบแย่อย่างบอกไม่ถูก
"ถ้างั้นขึ้นรถกันเถอะครับจะได้เดินทางเลย กว่าจะถึงไร่ น่าจะเป็นช่วงเย็นพอดี" ทางด้านสารถีคนสนิทที่เป็นผู้ติดตามทำงานกับพ่อเลี้ยงมานาน เอ่ยบอกอย่างสุภาพ เตรียมจะเดินวกกลับไปนั่งประจำฝั่งคนขับตามเดิม หากเอิงเอยเรียกรั้งเขาเอาไว้ได้เสียก่อน
"เอยนั่งตรงไหนคะ นั่งหน้าข้างคนขับจะดีกว่า..." เธอพูดอ้อมแอ้ม ทั้งเกรงใจอยู่ในที ทำดินแดนหลุดยิ้มมองแววตากลมหวั่น ๆ ของเธอก่อนกล่าวต่อว่า "ไปนั่งฝั่งผู้โดยสารจะดีกว่าครับ"
"อย่าเรื่องมากนางเอย เข้าไป ไปนั่งข้างพ่อเลี้ยง ที่นั่งตรงนั้นยังว่าง" อนงค์ดันแผ่นหลังเล็กของบุตรสาวให้สอดตัวเข้ามาข้างใน อย่างหงุดหงิด ครั้นเอิงเอยทำอะไรเงอะงะขัดตาไปเสียหมด