ตอนที่ 13 เอ็นดู
ตอนที่ 3/2 เอ็นดู
จากนั้นจึงหอบกระเป๋าเดินขึ้นไปยังห้องพักส่วนตัวที่ชั้นสอง มือเล็กจับราวบันไดสลักลวดลายพิถีพิถัน ระหว่างก้าวเท้าเนิบช้า สายตาเพ่งพินิจกับไม้แกะสลักดังกล่าวไปพลาง
ในที่สุดเธอก็มาถึงห้องพักดังกล่าวตามที่พ่อเลี้ยงพฤกษ์บอก ทันทีครั้นผลักประตูชะโงกหน้ามาสำรวจก่อนพาตัวเองเข้ามาทั้งตัว
ด้านในมีทั้งเตียงนอนคิงไซต์ เสริมด้วยลิ้นชักข้างหัวเตียง ตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ โต๊ะเครื่องแป้งราคาแพง จัดตั้งเอาไว้ตามข้างกำแพงห้องทาสีครีมคุมโทน ดูเรียบหรู สะอาดสะอ้าน ให้ความรู้สึกกลัวผีจนตัวสั่นของเธอค่อย ๆ บรรเทาลง
ระเบียงออกแบบเป็นผนังกระจกเผยให้เห็นวิวระดับล้านหาดูได้ยาก บนพื้นที่ไร่ชา เขาลูกน้อยใหญ่สีเขียวขจีสลับซับซ้อนอยู่อีกฝั่งของไร่ และผืนป่านานาพรรณจากธรรมชาติสร้างขึ้น
ยามสายลมหนาวจากข้างนอกพัดเข้ามาผ่านผ้าม่านสะบัดปลิว กระทบผิวกายของเธอหนาวเหน็บจนขนลุกชูชัน
ร่างอรชรยืนมองห้องพักกว้าง พลันว้าเหว่ในอก ตอนแรกเธอกลับดีใจครั้นหลุดพ้นจากกรงขังของแม่ แต่พอเข้ามาอยู่คฤหาสน์หลังนี้ เธอกลับรู้สึกว่ามันไม่ต่างจากกรงขังดี ๆ
เอิงเอยทิ้งกระเป๋าเดินทางลงพื้นอย่างหมดแรง อันดับแรกเธอรีบนำชุดที่เตรียมมาจากบ้านทั้งหมดเข้าไปแขวนไว้ในตู้ให้เรียบร้อย ก่อนเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนตัวใหม่
จะได้รีบทำธุระทั้งหมด รีบเสร็จเร็ว ๆ แล้วกลับมาพักเอาแรง เพราะวันนี้เธอเมื่อยล้าจากการเดินทางทั้งวัน ร่างกายอ่อนเพลีย แล้วไหนจะดวงตางัวเงียแทบปิดอยู่รอมร่อ พอสวมใส่ชุดเสื้อยืดแขนสั้นสบายตัว เธอจึงำพบว่าร่องรอยของไม้แขวนเสื้อที่แม่ใช้ฟาดเธออจางลงมาก จนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า อาการปวดร้าวทุเลาลงเล็กน้อย
หากทราบล่วงหน้าได้ ว่าบทเรียนของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มันจะเหน็ดเหนื่อยตั้งแต่ยังไม่เริ่มถึงเพียงนี้ เธอขอกลับไปเป็นเด็กเหมือนเดิมยังดีกว่า ทว่าเวลาไม่สามารถย้อนคืนได้ เธอจึงต้องเผชิญปัญหาเหล่านี้ไปให้ได้ เพราะสุดท้ายเธอเป็นเพียงคนเดียวที่จะอยู่เคียงข้างตัวเอง
"มาแล้วเหรอ มานั่งกินข้าวซะสิ" เสียงฝีเท้าย้ำลงมาจากชั้นบน ทำให้เจ้าของที่นี่รับรู้การเคลื่อนไหวรอบข้างได้โดยไม่ต้องหันไปมองหา ว่าเป็นใคร ตามด้วยเสียงเข้มจัดถามขึ้น สายตาเขาไม่แม้แต่จะชายมองคู่สนทนา
เอิงเอยชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แล้วก้าวตรงมาหาชายหนุ่มต่ออย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่ออีกฝ่ายกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่พอดี
เธอลงมาถึงขั้นบันไดสุดท้าย หากต้องวกกลับขึ้นห้องไปอีกหนคงสายไปแล้ว เธอเกิดท่าทียึกยัก ทั้งช่างคิด ก่อนจะยอมเข้ามาหย่อนกายลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขา เพราะไม่อยากขัดความต้องการเอาแต่ใจของเขา จนมีปัญหากันอีก
ฟากฝ่ายนั้นเลื่อนจานกระเบื้องลายไทย ซึ่งมีใครบางคนตักข้าวสองทัพพีเตรียมเอาไว้แล้วมาเยื้องหน้าเธอ พร้อมเพยิดหน้าเชิงสั่งให้ลงมือกิน ไม่ต้องสงสัยให้มันมาก
ด้วยความที่เธอไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อเช้า พอหลุบตามองเมนูอาหารเด็ดดังของทางภาคเหนือที่วางบนโต๊ะอาหาร น้ำลายเหนียวข้นเผลอกลืนลงคอเอื้อกใหญ่ ท้องเริ่มร้องประท้วงอย่างไม่รู้เวลา เสียงดังก้องมากพอ ถึงหูพ่อเลี้ยงพฤกษ์เข้า เขาถึงกับแค่นหัวเราะเยาะใส่
"หิวก็กิน อย่าพูดยากให้มากความ"
"ค่ะ"
"อีกอย่างที่นี่ไม่ได้มีแค่เธอกับฉัน" เขาเว้นจังหวะ ดวงตาคมกริบดำขลับไล่มองพิจารณาการแต่งตัวของหญิงสาวตรงหน้า
คืนนี้เธอสวมเสื้อยืดคอวีสีขาวบาง ยามเธอก้ม ๆ เงย ๆ กระทั่งเคลื่อนไหวร่างกาย หน้าอกหน้าใจเธอก็ย้วยย้ายส่ายตาม แล้วไหนจะกางเกงขาสั้นตัวเล็กรัดส่วนกลมกลึง ทำให้ส่วนเว้าโค้งกระแทกตาเขาอย่างแจ่มชัด
ถ้าเธออยู่แค่ในตัวคฤหาสน์เขาไม่ว่า เธอสามารถสวมใส่ได่ตามสะดวก แต่แค่ต้องการเตือนเอาไว้ เผื่อเธอผลีผลามเดินออกไปเล่นข้างนอก ควรระมัดระวังตัวกว่านี้ เธอกำลังโตเป็นสาวสะพรั่งแล้วเสียด้วย แถมยังมีหน้าตาสละสลวยเป็นอาวุธร้ายกาจต่อผู้ชาย ทำเอาคนอย่างพฤกษชาติ ที่ไม่เคยออกปากชมผู้หญิงคนไหนมาก่อน ยังต้องยอมรับอย่างไม่อาจหาเหตุผลมาหักล้างได้ ว่าเธอสวย มองเท่าไรก็ไม่รู้สึกเบื่อ
ขนาดเขายังไม่อยากละสายตาไปจากร่างขาวนวลเลยด้วยซ้ำ ไม่อาจล่วงรู้เช่นกัน ว่าตบะตนนั้นจะแตกเมื่อไร
"ถ้าจะออกไปข้างนอกควรสวมชุดที่มันไม่ไปเชื้อเชิญ กระตุ้นอารม์ใครจะดีกว่า ที่นี่คนงานผู้ชายห่าม ๆ มีมากกว่าผู้หญิง ยิ่งเธอสวมชุดล่อตา ปิดส่วนเว้าโค้งพอหมิ่นเหม่แบบนี้ เธอคงเข้าใจนะว่าฉันหมายถึงอะไร..." แม้น้ำเสียงจะทุ้มนุ่มนวล แต่แววตาและสีหน้ากลับดำครึ้ม ราวกับเมฆฝน
"นะ...หนูเข้าใจค่ะ ขอบคุณที่เตือนหนูนะคะ" เธอบอกด้วยรอยยิ้มบางเบา แล้วกล่าวต่ออย่างไม่ยี่หระ
"แต่ถ้าเขาเพียงมองผ่าน ๆ ไม่จ้องหนูนานก็คงไม่เห็นขนาดนั้นหรอกมั้งคะ ถ้าจ้องนานแสดงว่าโรคจิตแล้วล่ะค่ะ"
พฤกษชาติถึงกับสะอึก วางช้อนกับส้อมในมือลงจานเสียงดัง เขาสูดหายใจลึกถึงปอดข่มโทสะ รู้สึกเหมือนกำลังโดนเด็กเมื่อวานซืน สั่งสอนทางอ้อมยังไงอย่างนั้น...ยัยตัวแสบ!
ดังคำสุภาษิตที่ว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เอิงเอยก็ยกจานทั้งหมดมาล้าง ทำความสะอาดก่อนจะเก็บเข้าที่ จนเสร็จสิ้นภารกิจตรงนี้ เธอล้างทำความสะอาดมือ ก่อนจะถอนหายใจพรืดใหญ่ ด้วยความรู้สึกคับข้องใจ พลางย้อนคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
ก่อนพ่อเลี้ยงพฤกษ์จะลุกจากโต๊ะอาหาร เขาไม่ลืมหันมาสั่งอีกครั้ง
'กินข้าวเสร็จตามไปพบฉันที่ห้องโถงนั่งเล่นด้วยล่ะ'
เพราะอย่างนี้เธอถึงมีแต่คำถาม และความสงสัย หากเขามีอะไรทำไมไม่พูดเสียให้มันจบทีเดียวตรงนี้เลย หรืออยากจะตักเตือนการแต่งตัวไม่ระวังของเธออีกล่ะ นี่ขนาดเธอมาอยู่ยังไม่ครบหนึ่งวัน เขายังเข้มงวดอย่างกับเป็นพ่อคนที่สองก็ไม่ปาน
เอิงเอยเดินเข้ามาหาพ่อเลี้ยงพฤกษ์ ที่นั่งคอยอยู่บนโซฟากลางห้องโถง โดยเขากำลังยกรีโมยกดหาช่องดูน่าสนใจบนหน้าจอทีวีใหญ่ ซึ่งมีขนาดใหญ่มากกว่าทีวีบ้านของเธอหลายสิบเท่า
แม้ทุกอย่างในคฤหาสน์หลังนี้จะมีมูลค่ามโหฬารตระกาลตาเธอไปเสียหมด แต่ตอนนี้เธอกลับไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น เท่าการมายืนเผชิญอยู่ตรงหน้าเขา เหมือนโลกหยุดหมุน ทุกอย่างรอบข้างนิ่งงันรวมถึงตัวเธอด้วย
ทว่าดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยมีสมาธิสักเท่าไร ปลายนิ้วหัวแม่มือแกร่งกดปุ่มรีโมตยิก ๆ การกระทำดังกล่าวเห็นได้ชัดถึง คิ้วดกดำขดมุ่นไม่รู้เขากำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งท่าทีกระวนกระวายใจนั้น จนคนมองตามทุกอริยบทเขาอย่างเธอกลัวรีโมตจพพังคามือเสียก่อน จอทีวีผลัดเปลี่ยนช่องแสดงภาพแทบไม่ทัน ตาจ้องจอแต่สติกลับคิดไปถึงไหนต่อไหน
"พ่อเลี้ยงพฤกษ์มีอะไรจะคุยกับหนูอีกเหรอคะ" เธอเป็นฝ่ายถาม ภายในห้องกว้างเงียบเสียงหวานใสจึงสะท้อนก้องข้าง ๆ หูของเธอ ดวงตาคมที่จับจ้องทีวีตรงหน้า พลางละสายตาออก ปรายมามองยังเธอ เอิงเอยรีบก้มหน้างุด ไม่แม้แต่จะกล้าสบแววตาลึกลับแฝงความดุดันกลาย ๆ นั้นเลยด้วยซ้ำ
มือเล็กสองข้างบีบกันแน่น สายตากลมโตน่าเอ็นดูอย่างเด็กน้อยเมื่อมีชนักติดตัวมา แล้วค่อย ๆ ช้อนมองเขา แม้จะรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่บ้าง เธอกลับทำใจดีสู้เสือ บางทีเขาดูเป็นคนเรียบง่าย คาดเดาได้ง่ายกว่านี้ แต่บางคราวกลับซ่อนความลึกลับ จนเธอทำตัวไม่ถูก