ตอนที่ 10 ไร้เดียงสา
ตอนที่ 2/5 ไร้เดียงสา
ดินแดนลูกน้องคนสนิทของพ่อเลี้ยงพฤกษ์ ยังเป็นคนขับรถ และติดสอยห้อยตามเจ้านายไปทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่เป็นฝ่ายจัดการธุรกิจที่ต้องออกนอกสถานที่ เขาจัดการงานช่วยทุกอย่าง แบกรับงานมากมายเอาไว้ไม่น้อยกว่าเจ้านาย
ถึงจะเหนื่อยอย่างไร พ่อเลี้ยงก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้ ปลายปีของทุกปีจึงทบต้นทบดอกแจกจ่ายโบนัสให้พนักงานตามความขยันเป็นจำนวนเงินปึกหนา จนทุกคนชื่นใจ ส่วนน้อยนักหากมีจะเจ้านายดี ๆ คอยอุปถัมป์ค้ำจุนคนเบื้องหลังความสำเร็จที่องค์การขาดไม่ได้เด็ดขาด บางคนอยู่ทำงานด้วยกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อกับแม่ของเขาซะด้วยซ้ำ
หลายปีก่อนพฤกษชาติเคยเป็นเพียงเด็กฝึกงานของไร่ บ้างวนเวียนเข้าไปเรียนรู้ที่บริษัทฝ่ายผลิต อยู่ในกรอบของบิดา มารดาจนไม่ค่อยมีสังคม หรือเพื่อนฝูงจริง ๆ จัง ๆ ปัจจุบันชายหนุ่มอายุสามสิบหกปี ประสบความสำเร็จด้านการงานด้วยวุฒิภาวะสูง จนครอบครัวไว้วางใจ ยกทรัพสินทั้งหมดของตระกูลให้ลูกชายเพียงคนเดียวสืบทอดกิจการต่อ แต่ด้วยความหน้าใหม่ในแวดวงสังคมธุรกิจ กว่าสร้างความมั่งคงน่าเชื่อถือได้ก็เพชิญอุปสรรคระหว่างการบริหารงานมาไม่น้อยเขาฝ่าฟันมาทุกปัญหาแล้วละ
พฤกษชาติบางครั้งก็คาดเดายาก ดูอันตรายไม่น่าเข้าใกล้ด้วย แท้จริงนั้นดินแดนทราบดีกว่าคนนอก เพราะเขาคลุกคลีกับเจ้านายหนุ่มมาหลายปี พ่อเลี้ยงไม่ได้หยิ่งทนงค์ตัว ดึงหน้าบึ้งตึงอะไรอย่างที่ล่ำลอกันเหมือนภาพลักษณ์ภายนอก ที่แสดงให้เห็นเลย แต่ทำเพื่อจงใจให้คนอื่นจำภาพอันน่าเกรงขามท่วงท่าจริงจังของเขาต่างหาก
เพราะมันส่งผลดีตรงที่สร้างความน่านับถือ และสร้างเครดิตทางสังคม สร้างความมั่นใจให้แก่หุ้นส่วนที่ร่วมลงทุน ชื่อเสียงของพฤกษชาติดีเลิศมาตลอด ชายหนุ่มไม่เคยมีข่าวเสื่อมเสียด้วยเรื่องใดทั้งสิ้น ไม่มีกระทั่งการช่อโกงลูกค้า ข่าวการถูกฟ้องล้มละลาย หรือเป็นหนี้เพราะกู้เงินธนาคารหลายร้อนล้านจนไม่สามารถใช้คืนไหว แม้ข่าวเทือก ๆ นี้จะดังโครม ๆ เป็นพุแตกทุกวัน มิหนำซ้ำบางทียังเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวเขาด้วยก็ตาม มันไม่มีทางเกิดขึ้นกับเขา พฤกษชาติไม่ได้ร้อนเงินจนถึงขั้นขุดหลุมฝังตัวเอง
ดินแดนสามารถคุยหยอกเล่นกับเขาได้เหมือนสหายคนหนึ่ง แต่ดินแดนก็รู้ขอบเขต ถึงความเหมาะสม ว่าควรปฏิบัติตัวกับเขาอย่างไร ครั้นอยู่กันแค่คนรู้จัก สองหนุ่มปรึกษาแลกเปลี่ยนอย่างคนกันเอง เมื่อไรที่ออกมาพบผู้คนนอกสถานที่ พบปะสังคม ดินแดนก็วางตัวได้เหมาะสม ประเมินและคาดการณ์เก่ง ว่าอะไรควร หรือไม่ควรทำ
พ่อเลี้ยงหนุ่มใส่ใจคนงานทุกคนอย่างเท่าเทียม และดีมาก ๆ เสียจนเหล่าลูกน้องรู้สึกซาบซึ้งยิ่ง จึงตั้งใจทำงาน เพื่อแลกกับเงินค่าจ้างที่ได้ตอบแทนความเหนื่อยในจำนวนไม่ใช่น้อย
"นายครับ ถึงแล้ว...อ้าว" ดินแดนกดเปิดประตูรถของฝั่งผู้โดยสาร พอรถจอดเทียบท่าหน้าคฤหาสน์สไตล์ยุโรปหลังใหญ่ แล้วเดินอ้อมมาหาเจ้านาย เลขานุการหนุ่มชะโงกหน้ามาเอ่ยเรียกอีกรอบ ครั้นพ่อเลี้ยงพฤกษ์ไม่มีท่าทีจะก้าวลงจากรถ แต่หนุ่มใหญ่ก็เกิดการชะงัก เสียงร้องออกมาอย่างตื่นตัวจึงขาดห้วง
ไม่อยากเชื่อต่อสายตาที่เห็น ถึงขั้นยกมือขยี้ตาอีกหลายรอบ เป็นภาพเด็กสาวตัวผอมเพรียวกำลังซบหน้าซุกอกกว้างของผู้เป็นนายเหนือหัว เธอน่าจะหลับมาตลอดทาง โดยที่หนุ่มใหญ่ไม่มีท่าทีผลักเธอออกห่าง แถมยังนั่งนิ่งไม่ยอมขยับ ราวกับไม่อยากปลุกเธอตื่นตอนนี้
พฤกษชาติยกนิ้วจรดริมฝีปากมาทางลูกน้อง ส่งสัญญาณสั่งโดยไม่มีเสียง ว่าอย่าเสียงดัง
ตั้งแต่ทำงานกับพฤกษชาติมา ดินแดนเพิ่งเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้เลยก็ว่าได้ ปกติพ่อเลี้ยงเป็นคนไม่ชอบให้ใครทำลุ่มล่ามกับตน ไม่ชอบแตะเนื้อต้องตัวง่าย ๆ หรืออยู่ใกล้ในระยะกระชั้นชิดมากถึงเพียงนี้
ดินแดนขับไล่ความสงสัยทิ้ง เมื่อหมดธุระจากตรงนี้ และคิดว่ามันคือเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย ไม่ใช่เรื่องที่ตนจะถามซอกแซก
จากนั้นจึงค่อมศีรษะขอตัวกลับไปพักผ่อน และตรวจงานในส่วนอื่นต่อ คาดเดาแล้วแววตาลึกลับดำขับของเจ้านาย มีนัยยะแฝง ทั้งคงอยากให้ตนหายสาปสูญไปจากตรงนี้กระมัง เพราะในแต่ละวัน งานของดินแดนเยอะจนล้นมือ แทบหาเวลาว่างยาก แม้แต่ตอนดึกดื่นยังนั่งทำงานอยู่เลย
เมื่อพื้นที่จอดรถหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ไม่มีใคร นอกเสียจากพฤกษากับเอิงเอย เด็กสาวอ่อนต่อโลกซึ่งกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา หลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวภายในรถฝั่งห้องผู้นั่งโดยสาร
ชายหนุ่มกดตาคมมองร่างเล็กซบแก้มนุ่มนิ่มบนไหล่สักพัก ก่อนส่งเสียงเรียบ
"เอิงเอย!" ถึงแล้ว"
ปากอวบอิ่มชมพูวาววับที่ทาลิปสีหวานมาน่ามันเขี้ยวอยากกัดให้บวมเจ่อยื่นออก แล้วเบะคว่ำราวกับเด็กกำลังงอแงจะร้องไห้ ครั้นถูกรบกวนการพักผ่อน เสียงหวานงึมงำบ่นอุบเรื่อยเปื่อยในลำคอ ซึ่งไม่อาจจับประโยคทั้งหมดมาเรียบเรียงแปลความหมายได้นัก
ปลุกเรียกเตือนเท่าไรกลับไร้วี่แววว่าเธอจะรู้สึกตัว พฤกษชาติถึงกับถอนหายใจต่อความขี้เซาของเธอ เขายื่นปลายนิ้วชี้ออกมาเขี่ยแก้มป่องที่ขึ้นสีแดงเลือดฝาด อย่างผู้หญิงสุขภาพดียิก ๆ
"อื้อ อย่ากวนได้ไหมจะนอน!" เธอตำหนิเสียงงุบงิบ ยกแขนปัดมือเขาออกจากซีกแก้มตัวเองอย่างรู้สึกหงุดหงิด และเกรี้ยวกราด แต่การกระทำเหล่านั้นไม่ได้ดูก้าวร้าวเลยสักนิด เรียกมุมปากหยักลึกข้างหนึ่งของผู้ใหญ่วัยสามสิบหกกระตุกด้วยเอ็นดู ระคนขบขันได้ไม่ยาก
ใบหน้าคร้ามคมหล่อเหลาก้มมองเธออีกหน จนลมหายใจผ่าวร้อนจากเขาเป่ารดแก้มนุ่ม ทำคนนอนหลับขนลุกซู่จากสัมผัสร้อนแปลก ๆ เขาจึงเคลื่อนมาใช้นิ้วสากระคายแตะปากอวบ นุ่มหยุ่นชวนให้ชายหนุ่มสติไขว้เขว มันน่าบดขยี้ด้วยจูบหนัก ๆ เสียจริง
วิธีนี้เหมือนจะได้ผล เปลือกตาเธอค่อย ๆ กระพือเปิด หรี่ลงเล็กน้อยครั้นปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่าง พลันคิ้วเรียวขมวดกำลังปะติดปะต่อความ ก่อนร่างอรชรอ้อนแอ้นจะกระเด้งขึ้น นั่งตัวตรง แผ่นหลังเกร็ง กระเถิบหาระยะห่างจากหนุ่มใหญ่ ดวงตากลมเบิกโพลงโต สติสัมปชัญญะเธอกลับมา พร้อมกับความร้อนผ่าวยังติดตรึง ทั้งสีหน้าตื่นตูมอย่างกับเห็นผี
"คะ...คุณ จะทำอะไรหนูคะ" เสียงใสตะกุกตะกักเอ่ยถามผู้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเสียอาการวางท่าชั่วขณะ เพราะความหลับง่ายตื่นยากแตกต่างชาวบ้านเขา
ถึงทำให้เธอรู้สึกตัวตอนนิ้วอุ่นหยาบของเขาแตะลงมาบนริมฝีปาก แล้วแบบนี้จะไม่ให้เธอหวาดระแวงได้อย่างไร ไม่รู้ก่อนหน้านี้โดนลวนลาม หรือถูกล่วงเกินมากกว่านี้หรือเปล่า
แล้วไหนจะท่าทางเหมือนจ้องจับผิด เธอรีบขยับตัวหนีให้ห่างนั่นอีก ก่อนหน้านี้ที่เคยเปิดอกคุยกันขนาดนั้นมาเกือบตลอดทาง ยังพิสูจน์ไม่ได้อีกหรือว่าเขาไม่ได้เป็นแบบที่เธอคิดแง่ลบต่อเขา เธอยังไม่ไว้ใจเขาอีกหรือไง
"เธอคิดว่าฉันทำอะไรเธอล่ะ"
"คุณยื่นมือมาแตะปากหนู" มือเล็กแตะปากเบา ๆ ยกตัวอย่างให้ดูกันซึ่ง ๆ หน้า