บทที่ 6 แลกเปลี่ยนถุงหอม
“เหนื่อยหรือไม่”
ภายในรถม้า มู่ฉีหลินถามไถ่สุ่ยเซียนด้วยความห่วงใย ทั้งยังหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากอกเสื้อแล้วยื่นมาตรงหน้าภรรยาสาว
เนื่องจากเป็นฤดูร้อน อากาศแม้จะปลอดโปร่งโล่งสบาย หากก็มีช่วงที่อบอ้าว บนหน้าผากของสุ่ยเซียนจึงมีเม็ดเหงื่อผุดซึม
“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ” นางตอบ พร้อมรับผ้าเช็ดหน้ามาจากมู่ฉีหลินด้วยความงุนงง เขาคงไม่ได้ลืมหรอกใช่ไหมว่านางเองก็พกผ้าเช็ดหน้าติดตัวเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ไม่คิดหักหาญน้ำใจอีกฝ่ายด้วยการปฏิเสธ
“ขอบใจเจ้ามาก ที่ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวตอนอยู่ต่อหน้าคนตระกูลมู่”
จู่ๆ มู่ฉีหลินก็พูดขึ้น
สุ่ยเซียนเอียงศีรษะถามกลับอย่างใสซื่อ “ท่านพูดเกินไปหรือไม่ บ้านท่านทั้งครื้นเครงทั้งเป็นมิตร แล้วทำไมข้าต้องหวาดกลัวด้วย?”
ก็ไม่รู้ว่าคำพูดของสุ่ยเซียนมีอะไรผิดปกติ ถึงทำให้มู่ฉีหลินนิ่งอึ้งไป
พอเห็นท่าทีของมู่ฉีหลินเปลี่ยนไป สุ่ยเซียนถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนพูดมากอีกแล้ว นางยกมือขึ้นปิดปากก่อนจะเม้มปิดสนิท
เมื่อต่างฝ่ายต่างเงียบ บรรยากาศภายในรถม้าจึงค่อนข้างกระอักกระอ่วน ด้วยเพราะเริ่มทำตัวไม่ถูก สุ่ยเซียนจึงเลิกผ้าม่านหน้าต่างรถม้าขึ้น แล้วมองออกไปนอก
ตอนเดินทางไปคฤหาสน์ตระกูลมู่ สุ่ยเซียนไม่ทันได้สังเกต หากตอนนี้เพิ่งเห็นว่าข้างทางมีร้านรวงมากมาย ทั้งร้านขายของกินเอ่ย ทั้งร้านเครื่องประดับและร้านเสื้อผ้าเอ่ย ผู้คนที่ออกมาเดินบนท้องถนนมีทั้งหนุ่มสาวไปจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่
“วันนี้มีงานเทศกาลหรือ” นางหันกลับมาถามคนข้างๆ
มู่ฉีหลินเหลือบตามองนอกรถม้าสักครู่ ก่อนตอบ “เมืองหลวงก็ครึกครื้นเช่นนี้ทุกวัน แม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตาม”
พอตอบออกไป ชายหนุ่มก็แสดงสีหน้าเหมือนนึกบางอย่างออก
“เจ้าอยากออกไปเดินเล่นหรือไม่ แต่ถ้าเจ้าเหนื่อย...”
“อยากเจ้าค่ะ!”
ตอนแรก มู่ฉีหลินตั้งใจบอกว่าหากเหนื่อยก็อย่าฝืน เพราะสุ่ยเซียนเหนื่อยกับการเยี่ยมบ้านตระกูลมู่มาครึ่งวันแล้ว แต่เขายังพูดไม่ทันจบดี นางก็ชิงพูดขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกายและตื่นเต้น เขาจึงกลืนคำพูดสุดท้ายลงคอ
มู่ฉีหลินยังคิดต่ออีกว่า ฉางสุ่ยเซียนเป็นคุณหนูถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี นางอาจจะอยู่แต่ในเรือนหอ คงไม่ได้เห็นความคึกคักของเมืองหลวงบ่อยนัก ดังนั้นเมื่อนางแสดงออกอย่างตื่นเต้น มู่ฉีหลินก็ไม่อยากขัดความต้องการของนาง
“เช่นนั้น พวกเราจะเดินเล่นที่ตลาดกัน”
เมื่อมู่ฉีหลินยืนยัน สุ่ยเซียนพลันยิ้มกว้าง
เส้นทางระหว่างตลาดกลางเมืองหลวงกับจวนแม่ทัพหลังใหม่ค่อนข้างไกลพอตัว หากมู่ฉีหลินกับสุ่ยเซียนลงไปเดินในตลาดก็คงใช้เวลาสักพักใหญ่ รถม้าที่จอดรอคงกีดขวางผู้อื่น มู่ฉีหลินไม่อยากใช้ฐานะแม่ทัพทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนจึงสั่งให้บ่าวรับใช้นำรถม้ากลับจวนไปก่อน เพราะถึงอย่างไร เขาก็มีวิชาตัวเบา ถึงตอนนั้นถ้านางเหนื่อยจนเดินไม่ไหวค่อยอุ้มสุ่ยเซียนกลับจวน
พอลงจากรถม้า สุ่ยเซียนพุ่งเข้าไปยังร้านค้าใกล้ๆ เป็นอันดับแรก ดูเหมือนจะเป็นร้านขายพัดและเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อย
นางหยิบของเหล่านั้นขึ้นมาดูทีละชิ้นด้วยความตื่นเต้น ในโลกเดิม เคยเห็นแค่ในละครและโฆษณาตามเว็บไซต์ ไม่คิดว่าของจริงจะทำออกมาได้ประณีต
“อยากได้หรือ”
มู่ฉีหลินเดินเข้ามายืนข้างๆ สุ่ยเซียนพร้อมกับถาม
“เฮือก!”
จังหวะนั้นเอง สุ่ยเซียนได้ยินเสียงสูดหายใจดังมาจากเถ้าแก่ร้าน นางมองขึ้นไป เห็นเถ้าแก่วัยกลางคนหน้าซีด ตาจ้องมองมู่ฉีหลินอย่างหวาดๆ
นางหันมองมู่ฉีหลิน ข่าวลือน่ากลัวๆ เกี่ยวกับเขาคงไม่สามารถลบได้เพียงแค่คำพูดเดียวของสตรีตัวเล็กๆ อย่างนาง อีกอย่าง หน้าตาของเขาก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งพูดแก้ต่างอาจจะยิ่งทำให้คนอื่นเข้าใจผิด
ทว่า หากไม่ทำอะไรสักอย่าง ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
คิดจบ สุ่ยเซียนคลี่พัดจีบตรงหน้ามู่ฉีหลินเสียงดังพึ่บ เรียกสายตาของเถ้าแก่ร้านและมู่ฉีหลินให้เลื่อนมาทางนาง ถึงอย่างนั้น นางกลับทำหน้าไขสือ สนใจเพียงพัดจีบสีฟ้าสดใส ลวดลายที่แต่งแต้มบนพัดคือดอกเหมยสีชมพู ดูน่ารักเกินกว่าจะเข้ากับมู่ฉีหลิน ทว่านางก็ยังสั่งให้เขาถือพัดจีบนั้นเอาไว้
ชายหนุ่มรับพัดจีบจากมือของนางไปถือด้วยความงุนงง แต่นอกเหนือจากนั้น เขากลับไม่ได้ถามหรือพูดอะไร
“เข้ากับท่านเหมือนกันนะ” นางบอกด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าก็คิดจะล้อข้าเล่นเหมือนกับพี่ใหญ่หรือ” มู่ฉีหลินพูดพลางยิ้มอ่อนใจ เรื่องล้อเล่นเช่นนี้ เขาชินเสียแล้ว
“เปล่าเสียหน่อย ข้ากำลังคิดว่าเพราะท่านมีแค่สีหน้าเดียว ผู้อื่นถึงได้เข้าใจท่านผิด แต่ถ้ามีของน่ารักๆ ประดับ สีหน้าของท่านจะดูเปลี่ยนไปหรือไม่”
สีหน้าตอนที่สุ่ยเซียนพูดประโยคนั้น เหมือนแค่พูดไปเรื่อย ทั้งสิ่งที่กล่าวมาคล้ายกับกำลังล้อเล่นมากกว่าจะเป็นสาระ แต่ไม่รู้ทำไม คำพูดของนางกลับทำให้มู่ฉีหลินเบิกตาด้วยความตะลึง
อย่าบอกนะว่านางกำลังกังวลแทนเขา?
อันที่จริง มู่ฉีหลินไม่ได้สนใจว่าใครหน้าไหนจะคิดเกี่ยวกับตนอย่างไร เพราะคนเราจะคบหากันอยู่ที่ใจ หาใช่ใบหน้า รู้จักกันไปนานๆ ย่อมเข้าใจกันเอง เพราะคิดเช่นนั้นจึงไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว ไม่คาดว่าสุ่ยเซียนจะคิดและกังวลแทนเขา เห็นอย่างนี้ นางเองก็เป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เห็น
“แบบนี้ก็น่ารัก ท่านเชิดหน้าอีกหน่อย”
ระหว่างที่มู่ฉีหลินคิดเรื่องอื่น สุ่ยเซียนหยิบเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาปักบนมวนผมของมู่ฉีหลินได้หลายชิ้นแล้ว ทำเหมือนว่ามู่ฉีหลินเป็นของเล่น
ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มกลับยังแสดงสีหน้าอ่อนโยน
ตอนแรกเถ้าแก่ร้านทำตัวไม่ถูก เพราะจากข่าวลืออันน่ากลัวของแม่ทัพอสูรท่านนี้ จากวิธีหยอกของแม่นางน้อย อาจทำให้แม่ทัพอสูรโกรธ เผลอทำเรื่องผลีผลามอย่างการลงไม้ลงมือ ทว่า มู่ฉีหลินกลับไม่ได้แสดงความไม่พอใจ ตรงกันข้าม มุมปากบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ถึงจะดูไม่เหมือนรอยยิ้มก็ตาม
“เอ่อ...ท่านแม่ทัพกับฮูหยินตาถึงมากขอรับ พัดเล่มนั้นกับเครื่องประดับชิ้นนี้ทำขึ้นมาคู่กัน ถ้าหากซื้อแบบคู่ ข้าน้อยลดราคาให้ได้ขอรับ”
ต่อให้หวาดกลัวมู่ฉีหลินเพียงใด แต่เถ้าแก่ร้านที่มีประสบการณ์การขายมาเกือบทั้งชีวิตย่อมพลิกแพลงสถานการณ์เป็น จากที่ยืนตัวสั่นเพราะความกลัวก็เปลี่ยนท่าทีเป็นประจบเอาใจ ซ้ำยังเรียกสุ่ยเซียนว่า ‘ฮูหยิน’ เต็มปากเต็มคำ เมื่อไม่นานมานี้ ได้ข่าวว่าแม่ทัพมู่ฉีหลินแต่งบุตรสาวตระกูลฉางเข้าจวน ลือกันว่าธิดาตระกูลฉางงดงามอย่างกับนางฟ้านางสวรรค์ คาดว่าคงเป็นแม่นางน้อยแสนงามท่านนี้แน่
“จริงหรือ เช่นนั้นข้าซื้อทั้งสองชิ้น”
สุ่ยเซียนยิ้มบอก พร้อมล้วงหยิบถุงผ้าออกจากแขนเสื้อ ทว่าการเคลื่อนไหวของนางกลับช้ากว่ามู่ฉีหลินนิดหน่อย ตอนที่นางหยิบถุงผ้าออกมาถือ ชายหนุ่มก็ยื่นเหรียญทองแดงให้กับเถ้าแก่ร้านเสียแล้ว
“ถือเสียว่าเป็นของขวัญชิ้นแรกจากข้า” มู่ฉีหลินบอก
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจท่านนะ ไปต่อกันเถอะ”
พูดจบ สุ่ยเซียนจูงมือมู่ฉีหลินเดินหน้าต่อ
ระหว่างเดินตามหลังสุ่ยเซียน มู่ฉีหลินหลุบตามองมือเล็กที่กุมมือใหญ่ของตน ทั้งที่เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เขากลับมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
สุ่ยเซียนเดินดูร้านรวงตรงนั้นทีตรงนี้ที โดยมีมู่ฉีหลินเดินตามหลัง ตอนนี้เองที่เพิ่งสังเกตเห็นสายตาของผู้คนรอบข้าง ผู้คนที่เดินสวนทางไปมาหรือใครก็ตามที่คิดจะเดินแซงหน้า ต่างหลบเลี่ยงไม่กล้าเข้าใกล้ สุ่ยเซียนรู้สึกสงสารมู่ฉีหลินที่ถูกคนทั้งเมืองปฏิบัติเช่นนี้ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น นางจึงวางเฉย ไม่พูดถึงเพราะจะเป็นการตอกย้ำ หากเปลี่ยนมาเดินเคียงข้างเขาอย่างเป็นธรรมชาติแทน
เอาเถอะ ของอย่างนี้ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้
“ตรงนั้นมีร้านถุงหอมด้วย”
สุ่ยเซียนชี้บอก ก่อนจะจูงมือมู่ฉีหลินเข้าไปที่หน้าร้านขายถุงหอม ถุงผ้าที่วางเรียงเป็นแถวหลากหลายสีสัน ทั้งบนถุงหอมยังปักลายได้อย่างงดงามประณีต แต่ละใบก็ส่งกลิ่นหอมรวยรื่น
“ถุงผ้าชิ้นนี้กลิ่นหอมดี ลวดลายก็สวยงาม เย็บปักด้วยความประณีต ข้าชอบนะ” สุ่ยเซียนบอก พร้อมหยิบถุงหอมชิ้นหนึ่งขึ้นมาพิจารณา
“แม่นาง...ไม่สิ ฮูหยินตาถึงมาก!”
เถ้าแก่เนี้ยเจ้าของร้านถุงหอมเหลือบตามองสุ่ยเซียนทีเหลือบมองมู่ฉีหลินทีก่อนร้องขึ้น นางไม่ได้ใจกล้าอันใด เพียงแค่ก่อนที่ทั้งสองจะเดินเข้าร้าน สังเกตเห็นพวกเขาจับจูงมือกันอย่างสนิทสนม ถึงฝ่ายชายจะมีข่าวลือเรื่องความโหดเหี้ยม หากยามมองสตรีข้างกาย สายตานั้นกลับอ่อนโยน เดาว่าจุดอ่อนของชายผู้นี้คงเป็นฮูหยินของตน ถ้าชนะใจสตรีนางนี้ได้ ย่อมขายถุงหอมได้ นั่นคือสิ่งที่เถ้าแก่เนี้ยร้านถุงหอมคิด
“เจ้าอยากได้หรือ” มู่ฉีหลินถามพลางทำท่าล้วงหยิบถุงเงินออกมา
“เมื่อครู่ท่านก็ซื้อพัดกับเครื่องประดับให้ข้าแล้ว ตอนนี้ให้ข้าซื้อเองดีกว่า” สุ่ยเซียนบอก ทั้งยังแตะบนแขนของเขาเบาๆ
“แต่ข้าอยากซื้อให้เจ้า”
สุ่ยเซียนเงยหน้ามองมู่ฉีหลิน เขาเป็นคนที่ใจกว้าง อ่อนโยน ซึ่งไม่เข้ากับภายนอกเลยสักนิด แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องรั้น ก็รั้นสุดหัวใจจริงๆ
นางมองถุงหอมใบอื่นที่มีสีเดียวกัน ลวดลายเดียวกัน ก่อนจะหยิบขึ้นมา
“เจ้าจะใช้ถุงหอมสองใบหรือ” มู่ฉีหลินถามอย่างไม่เข้าใจ
“ท่านจะซื้อถุงหอมให้ข้าใช่หรือไม่ เช่นนั้น ข้าก็จะซื้อถุงหอมให้ท่าน จะได้เป็นถุงหอมคู่กันแบบนี้อย่างไร”
ไม่เพียงพูด นางยังชูถุงหอมลายเดียวกันขึ้นมาสองใบ
มู่ฉีหลินเงียบนิ่งไปทันที