บทที่ 5 มู่ฉีหลินก็ห่วงใยเป็น
ต่อให้การแต่งงานระหว่างมู่ฉีหลินและฉางสุ่ยเซียนเป็นการคลุมถุงชน ไม่มีความรักเข้ามาข้องเกี่ยว ทว่า จะดีจะร้ายอย่างไร นางกับเขาก็ขึ้นชื่อว่าสามีภรรยา แม้จะเป็นเพียงในนามก็ตาม หนำซ้ำ นางกับเขายังทำข้อตกลงว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างปองดอง ทั้งเขาก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกับนาง จึงไม่มีเหตุผลที่นางจะเพิกเฉย
อีกอย่าง นี่ไม่ใช่การแสดงละคร แต่เป็นการให้เกียรติสหายร่วมอุดมการณ์ (?)
“พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้รอง”
ระหว่างที่สุ่ยเซียนยิ้มเขินพร้อมมองแก้มแดงๆ ของมู่ฉีหลิน ตอนนั้นเด็กหญิงวัยแปดขวบ ผมแกละทั้งสองข้างผูกโบว์สีชมพูแสนน่ารัก เดินเข้ามาจับมือและเรียกสุ่ยเซียนด้วยน้ำเสียงใสแจ่ว
เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ก็คือ ‘มู่เฟิงไป๋’ เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลมู่ มีใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักน่าเอ็นดู แตกต่างจากพี่ชายทั้งสอง มู่ชิงหลงกับมู่ฉีหลิน
“มีอะไรหรือ เฟิงไป๋”
สุ่ยเซียนโน้มตัวลงไปถามเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู
“ข้ามีของเล่นใหม่ เพิ่งได้รับจากท่านพ่อ อยากให้พี่สะใภ้รองได้เห็น”
“ได้สิ”
ด้วยนิสัยของเด็กที่อยากอวดของเล่น สุ่ยเซียนเข้าใจเรื่องนี้ดี จึงยิ้มเออออไปกับมู่เฟิงไป๋ ทั้งยังลุกจากเก้าอี้เดินตามนางไป โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าของคนอื่นๆ
ส่วนของเล่นที่ว่า...
เคว้ง!
สุ่ยเซียนมองดาบที่มีขนาดเหมาะมือกับมู่เฟิ่งไป๋ ไหนจะมีดสั้นอีกสามเล่ม เป็นอาวุธแสนอันตรายทั้งสิ้น หากตรงด้ามถือกลับสลักอย่างลายสวยงาม และประดับประดาด้วยพู่สีชมพูกับสีเขียวซึ่งถูกร้อยเป็นรูปผีเสื้อ ช่างน่ารัก หากก็ขัดแย้งกันเหลือเกิน
พอเห็นว่าแม้แต่เด็กหญิงตัวเล็กๆ เพียงหนึ่งเดียวในบ้านยังได้รับของเล่นเป็นอาวุธ ซ้ำท่าถือของนางยังดูทะมัดทะแมงต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง สุ่ยเซียนเดาว่าตระกูลมู่คงเป็นตระกูลของผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ อาจจะเป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
ถึงว่าล่ะ ทุกคนในตระกูลมู่ถึงได้ดูสง่าผ่าเผยกันทุกคน หากมีข้อยกเว้น คงเป็นสุ่ยเซียนที่เพิ่งแต่งเข้ามา กับพี่สะใภ้ที่กำลังตั้งครรภ์
“ข้าชอบมีดสั้นชิ้นนี้ที่สุด พี่สะใภ้รองจะลองถือดูหรือไม่”
มู่เฟิ่งไป๋หยิบมีดสั้นแสนจะน่ารักขึ้นมาถือ ถอดปอกหนังที่หุ้มความคมของอาวุธ ก่อนจะยื่นมาให้สุ่ยเซียน
สุ่ยเซียนไม่คิดจะปฏิเสธความน่ารักอันบริสุทธิ์ของเด็กหญิงอยู่แล้ว จึงยื่นมือออกไปรับมีดสั้นชิ้นนั้น ทว่า...
หมับ!
ฝ่ามือใหญ่ของใครบางคนคว้าบนข้อแขน ทำให้มือของสุ่ยเซียนค้างเติ่งกลางอากาศ
นางเอียงศีรษะหันไปมองคนข้างๆ
“อย่าจับจะดีกว่า ประเดี๋ยวคมมีดสั้นจะบาดเอาได้” มู่ฉีหลินเตือนสุ่ยเซียนหน้านิ่ง จากนั้นก็หันไปบอกน้องสาวคนเล็ก “เฟิ่งไป๋ เอาอาวุธไปเก็บเถอะ”
“...เจ้าค่ะ พี่รอง” มู่เฟิงไป๋พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
อ่านจากสีหน้า คงเหมือนว่ามู่ฉีหลินกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ แต่สุ่ยเซียนรู้ว่าสีหน้าของฉีหลินก็เป็นปกติเช่นนี้ ดังนั้น นางจึงเดาอีกว่าเขาอาจจะเป็นห่วงมากกว่าไม่พอใจ
“ข้าเข้าใจแล้ว”
สุ่ยเซียนเองก็พยักหน้าตอบรับ ไม่ใช่เพราะเป็นเด็กเชื่อฟังอย่างมู่เฟิงไป๋ แค่ไม่อยากหักหาญความปรารถนาดีของมู่ฉีหลินต่อหน้าคนในครอบครัวของเขา
มู่ฉีหลินยิ้มให้กับสุ่ยเซียน หากแม้มุมปากจะยกยิ้ม แต่ก็ยังดูขัดแย้งกับหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นเป็นปมอยู่ดี
“เป็นใครก็คาดไม่ถึงว่า แม่ทัพอสูรก็ห่วงใยผู้อื่นเป็น”
จู่ๆ มู่ชิงหลงก็กล่าวเชิงหยอกล้อ ดึงดูดสายตาของมู่ฉีหลินให้หันไปสนใจทางนั้น
“นางไม่เคยหยิบจับของพวกนี้”
“ที่ข้าจะพูดก็คือ เจ้าปกป้องนางเกินไปแล้ว อย่าลืมสิว่านางเป็นฮูหยินของแม่ทัพ ยังต้องเจออะไรๆ อีกมาก”
“อย่างไรก็ไม่ได้” มู่ฉีหลินยังคงยืนยันในความคิดของตนเอง
“น้องชายข้า ถึงเจ้าจะมีฉายาโหดเหี้ยมอย่างแม่ทัพอสูร แต่แท้จริงแล้วก็เป็นคนดีเหมือนกันไม่ใช่หรือ ถ้าผู้อื่นรู้ว่าเจ้ารักหยกถนอมบุปผาถึงเพียงนี้ พวกเขาจะตกใจแค่ไหนกันนะ”
“พี่ใหญ่!”
“ฮะๆ ฉีหลินโกรธแล้ว”
พอมู่ชิงหลงหัวเราะร่วน มู่ฉีหลินก็ทำได้แค่ส่ายหน้าอ่อนใจ
“น้องสะใภ้ เจ้าอย่าถือสาพวกเขาเลย ฉีหลินเป็นคนพูดน้อย ชิงหลงถึงได้ชอบกลั่นแกล้ง บางครั้งพวกเขาก็โต้เถียงกันเช่นนี้ แต่ไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆ หรอกนะ” พี่สะใภ้กล่าวกับสุ่ยเซียนด้วยรอยยิ้ม
“ข้าไม่ถือสาหรอกเจ้าค่ะ กลับคิดว่าครึกครื้นเช่นนี้ก็สนุกดี ว่าแต่ พี่สะใภ้ท้องได้กี่เดือนแล้วเจ้าคะ”
“เดือนหน้าก็คลอดแล้ว”
“ข้ายินดีกับพี่สะใภ้ด้วยเจ้าค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามาก พวกเจ้าก็รีบมีทายาทสักคนสองคน ข้าเอาใจช่วย”
“เอ่อ...”
หากเป็นเรื่องอื่น สุ่ยเซียนยังพอใช้ความเป็นมิตรเอาตัวรอดไปได้ พอถูกพูดเรื่องทายาท กลับไม่รู้จะตอบอย่างไร สุ่ยเซียนเป็นคนโกหกไม่เก่ง นางกับมู่ฉีหลินอยู่ร่วมกันอย่างปองดองก็จริง แต่ไม่ได้มีความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าให้พูดเรื่องครอบครัวหรืออนาคต นางก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร
“ข้าล้อเล่น ของแบบนี้ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า” สะใภ้ใหญ่พูดพลางตบบนหลังมือของสุ่ยเซียนเป็นการแสดงความสนิทสนม
“เจ้าค่ะ”
จากนั้น สะใภ้ตระกูลมู่ทั้งสองก็เปลี่ยนไปพูดคุยเรื่องอื่น
เพราะการปรับตัวให้เข้ากับสถานที่และบุคคลได้ง่าย สุ่ยเซียนจึงเข้ากับทุกคนได้ดี
อยู่พูดคุยกับแม่สามีอีกสักพักใหญ่ มู่ฉีหลินและฉางสุ่ยเซียนก็ขอตัวเดินทางกลับจวนแม่ทัพ