บทที่ 4 บ้านสามี
แม้ว่ามู่ฉีหลินจะแยกออกมาอยู่คนละบ้าน แต่ตระกูลมู่มีกฎอยู่อย่างหนึ่ง ในหนึ่งเดือนควรกลับมาเยี่ยมบ้านสักครั้งสองครั้ง นั่นก็เพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนตระกูล
ดังนั้นสามวันนับจากคืนเข้าหอ มู่ฉีหลินได้พาภรรยา(ในนาม)กลับมาเยี่ยมบ้านตระกูลมู่ พร้อมกับแสดงให้บิดามารดาเห็นว่าตนกับภรรยาเข้ากันได้ดี
ตอนที่ฉีมู่หลินกับสุ่ยเซียนกำลังก้าวออกจากจวนเพื่อไปขึ้นรถม้า เสี่ยวเถา สาวใช้ประจำตัวของสุ่ยเซียนซึ่งติดตามมาจากบ้านตระกูลฉาง มองมู่ฉีหลินด้วยสีหน้าหวาดๆ พอชายหนุ่มหลุบตามองกลับ เสี่ยวเถาถึงกับสะดุ้งเฮือก รีบก้มหน้าหลบทันทีทันใด แล้วก้าวเข้าไปยืนติดแผ่นหลังคุณหนูเหมือนกับวิญญาณสิงร่าง
แน่นอนว่า ในใจของมู่ฉีหลินไม่ได้ถือสาท่าทางของเสี่ยวเถา แค่เหลือบมองด้วยเพราะความสงสัย ก่อนจะเดินไปข้างหน้าต่อ
หลังจากทั้งสามคนเดินมาหยุดหน้ารถม้าซึ่งถูกเตรียมไว้หน้าจวนแม่ทัพ ตอนนี้เอง สุ่ยเซียนถึงได้หันกลับไปพูดกับเสี่ยวเถาด้วยความเข้าอกเข้าใจ
“เสี่ยวเถา เจ้าไม่ต้องตามข้าไปคฤหาสน์ตระกูลมู่ก็ได้”
“คะ...คุณหนู แต่ว่า...”
เสี่ยวเถาเหลือบมองคุณหนูของตนและมองรถม้าด้วยท่าทีลังเล แม้ในใจจะไม่อยากติดตามไปด้วยเพราะกลัวจะทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้ามู่ฉีหลินที่คนทั้งเมืองต่างลือว่าโหดเหี้ยม หากว่านางทำให้เขาไม่พอใจ เขาอาจจะสับนางเป็นชิ้นๆ เลยก็ได้ ทว่าการให้คุณหนูเข้าบ้านตระกูลมู่เพียงลำพัง หากถูกทางนั้นโขกสับกลับมา นางที่เป็นสาวใช้ติดตามจะมีประโยชน์อะไรเล่า
“มะ ไม่ได้เจ้าค่ะ จะดีจะร้าย เสี่ยวเถาไม่อาจละเลยคุณหนู” เสี่ยวเถาปฏิเสธความหวังดีของคุณหนูทั้งที่ใจหวาดกลัวมู่ฉีหลิน
สุ่ยเซียนยิ้มอย่างอ่อนใจ หากลึกๆ ก็รู้สึกปลาบปลื้มในความภักดีของเสี่ยวเถา ยิ่งเห็นอย่างนี้ บอกตามตรง นางก็ยิ่งรู้สึกผิด ก่อนแต่งเข้าจวนแม่ทัพ คนที่เป็นฝ่ายบังคับเสี่ยวเถาให้ติดตามมาด้วยคือสุ่ยเซียน
เรื่องนี้คงต้องย้อนกลับไปก่อนคืนแต่งงาน ความจริงแล้ว ฉางฮูหยินเสนอแผนการหนึ่งขึ้นมา นั่นคือหาเด็กสาวที่อายุใกล้เคียงและต้องไม่ปากโป้ง จับให้แต่งงานกับแม่ทัพอสูรแทนฉางสุ่ยเซียนผู้เป็นบุตรสาว พอเสนอแผนการนี้ สายตาของฉางฮูหยินก็เบนไปทางเสี่ยวเถาเนื่องจากสาวใช้คนนี้มีคุณสมบัติครบถ้วน!
เสี่ยวเถาอกสั่นขวัญแขวนกับแผนการส่งเดชนั้น ถึงกับปล่อยโฮออกมา
ไม่รู้ว่าฉางฮูหยินตั้งใจเช่นนั้นจริงๆ หรือเปล่า แต่สุ่ยเซียนที่ต่อให้ใจฝ่อแค่ไหน หากก็ไม่ใช่คนไร้มนุษยธรรม จึงปฏิเสธความหวังดีของมารดา
ถึงจะช่วยปกป้องเสี่ยวเถาไม่ให้แต่งงานกับมู่ฉีหลินแทนได้แล้ว แต่สาวใช้จอมซื่อกลับยังร่ำร้องว่าไม่อยากตามมาด้วย สุ่ยเซียนที่ไม่ได้สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษและกลัวความโดดเดี่ยวมีหรือจะปล่อยเสี่ยวเถาง่ายๆ จึงบอกไปว่า ‘หนุ่มรับใช้ที่ติดตามมากับข้าอีกคนก็คืออาฉือหาว’
จากความทรงจำของร่างเดิม เสี่ยวเถากับหนุ่มรับใช้ที่ชื่ออาฉือหาวต่างก็มีใจให้กัน หากอาฉือหาวตามสุ่ยเซียนมาจวนแม่ทัพ ทว่าเสี่ยวเถาไม่มา ก็เท่ากับว่าทั้งสองได้พรากจากกันนั่นเอง ดังนั้น เสี่ยวเถาจึงเปลี่ยนใจและติดตามสุ่ยเซียนมาทั้งที่ใจหวาดกลัวมู่ฉีหลิน
อันที่จริง สุ่ยเซียนอยากบอกเสี่ยวเถาว่ามู่ฉีหลินไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และอย่าได้เชื่อข่าวลือมากเกินไป ทว่า เมื่อความกลัวได้ฝั่งลึกลงในจิตใจของมนุษย์ นั่นก็ยากที่จะลบล้างออกไป ดังนั้น สุ่ยเซียนจึงไม่อธิบายใดๆ แต่รอให้เสี่ยวเถาได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของมู่ฉีหลินด้วยตาตัวเอง
สุ่ยเซียนถอนหายใจมองร่างที่สั่นเทาของเสี่ยวเถา ก่อนย้ำอีกครั้ง
“ข้ากับมู่ฉีหลินไปกันสองคนได้ เจ้ารออยู่ที่นี่เถอะ”
ถึงอย่างไร เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว เสี่ยวเถาก็คงไม่กล้าลงจากรถม้าอยู่ดี อีกอย่าง ให้นางไปคนเดียวทำอะไรยังจะคล่องตัวเสียกว่า
“คุณหนูจะไปคนเดียวได้จริงๆ หรือเจ้าคะ” เสี่ยวเถาถามอย่างลังเล
“ไม่ต้องห่วง ข้าไปคนเดียวได้” สุ่ยเซียนตอบพลางยิ้ม ดูไม่เหมือนคนที่กำลังฝืนใจเลยสักนิด
เสี่ยวเถาอ้าปากเหวอ คุณหนูตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง หลังจากรู้ว่ามีราชโองการให้หมั้นหมายกับมู่ฉีหลิน ไม่มีวันไหนที่เสี่ยวเถาไม่เห็นน้ำตาของคุณหนู ยิ่งได้ข่าวว่ามู่ฉีหลินกำลังเดินทางกลับมาเมืองหลวง คุณหนูก็ยิ่งกินไม่ได้นอนไม่หลับ ความรู้สึกจนตรอกไร้หนทางบีบบังคับ ทำให้คุณหนูตัดสินใจกระโดดน้ำหวังฆ่าตัวตาย
ข่าวลือเกี่ยวกับมู่ฉีหลินไม่ธรรมดา เป็นใครย่อมหวาดกลัวทั้งนั้น คุณหนูผู้อ่อนหวานและมีจิตใจบอบบางของเสี่ยวเถาก็ไม่มีข้อยกเว้น
ทว่าตอนนี้ เสี่ยวเถากลับรู้สึกว่าฉางสุ่ยเซียนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แม้ยังคงเป็นคุณหนูผู้อ่อนหวานคนเดิม แต่ภายใต้รอยยิ้มแสนงดงามนั้น กลับให้ความรู้สึกว่าไม่ได้เปราะบางอีกต่อไปแล้ว
“เช่นนั้น คุณหนูเดินทางดีๆ นะเจ้าคะ เสี่ยวเถาจะรอคุณหนูที่นี่”
ถึงจะรู้สึกผิดที่ปล่อยให้คุณหนูไปคฤหาสน์ตระกูลมู่คนเดียว แต่เสี่ยวเถาคิดว่า หากเป็นฉางสุ่ยเซียนในตอนนี้คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ก่อนเดินทางมาคฤหาสน์ตระกูลมู่ สุ่ยเซียนยังกังวลว่าจะวางตัวและเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่อย่างไร เพราะจากความทรงจำของร่างเดิมมีแต่ความหวาดกลัว ความคิดเฝ้าวนเวียนบอกเพียงว่าตระกูลมู่เป็นตระกูลทหารที่ทั้งเข้มงวดทั้งดุร้าย และเป็นเช่นนั้นกันทั้งบ้าน
ทว่าพอมาถึงคฤหาสน์ตระกูลมู่ และสุ่ยเซียนย่อกายคารวะเจ้าบ้านทั้งสอง พวกท่านต่างก็ยิ้มต้อนรับนางอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง
“ลูกสะใภ้ของข้า มานั่งตรงนี้มา”
มู่ฮูหยินกวักมือเรียกสุ่ยเซียนให้เข้าไปนั่งข้างๆ
สุ่ยเซียนเดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย แม้ว่าสายตาของแม่สามีตอนพูดกับนางจะเรียกว่า ‘จ้อง’ มากกว่า ‘มอง’ ซ้ำสายตานั้นยังดูเข้มงวด แต่ถ้ามองข้ามเรื่องนี้ ใบหน้าคมคายของแม่สามีนับว่างดงามในระดับต้นๆ ไหนจะท่วงท่างามสง่าคล้ายกับจอมยุทธ์หญิง สุ่ยเซียนเห็นแล้วยังรู้สึกเลื่อมใสจนอดขนลุกไม่ได้
เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ แม่สามีคว้ามือของสุ่ยเซียนเอาไว้ ตบบนหลังมือของนางเบาๆ ขณะเอ่ยถาม
“ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเจ้าตกบ่อน้ำ จับไข้ไปหลายวัน ร่างกายไม่ได้รับผลกระทบอะไรใช่หรือไม่”
สุ่ยเซียนส่ายหน้าเบาๆ “นอกจากจับไข้ ร่างกายของสุ่ยเซียนก็ไม่ได้รับผลกระทบใดเจ้าค่ะ สุ่ยเซียนเป็นคนซุ่มซ่าม ไม่ระมัดระวังเอง ขออภัยที่ทำให้ท่านแม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว หากเมื่อใดที่เจ้ามีเด็กในท้องขึ้นมา จงระมัดระวังให้มากๆ ดูแลร่างกายของเจ้าให้ดี เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ สุ่ยเซียนจะระมัดระวังให้มาก”
“ไม่เอาน่า ฮูหยิน วันนี้ลูกๆ กลับมาเยี่ยมบ้านทั้งที อย่าเพิ่งสั่งสอนสะใภ้รองเช่นนั้นเลย” นายท่านมู่ขัดจังหวะฮูหยินของตน
“สั่งสอนอะไร ข้าเตือนเพราะเป็นห่วงนางต่างหาก”
สุ่ยเซียนยิ้มให้พ่อแม่สามี นางไม่ได้ถือสาหากจะถูกสั่งสอนนิดหน่อย
อันที่จริง การถูกแม่สามีสั่งสอนก็ถือว่าสมควรแล้ว ฉางสุ่ยเซียนคนเดิม แม้เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและฐานะ แต่กลับปิดกั้นความคิด หลงเชื่อข่าวลือทั้งที่ยังไม่พยายามทำความเข้าใจใดๆ เลือกทำเรื่องสุดโต่งอย่างการฆ่าตัวตายเพื่อให้หลุดพ้นจากการแต่งงาน
ทว่าอาจเป็นเรื่องธรรมดาของสตรีที่ถูกเลี้ยงดูให้อยู่แต่ในเรือน จึงคิดเป็นจริงเป็นจังเมื่อได้ยินข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับมู่ฉีหลิน
ความเป็นจริงแล้ว เรื่องนี้ก็พอเข้าใจได้อยู่ บุรุษนามว่ามู่ฉีหลินผู้นี้ มีข่าวลือแสนน่ากลัวแพร่สะพัดไปทั่วเมือง ทั้งเขายังมีใบหน้าดุดันเหมือนโกรธผู้อื่นตลอดเวลา บุคลิกค่อนไปทางน่ากลัวมากกว่าน่าเกรงขาม ไหนจะเรื่องที่ทั้งสองไม่เคยทำความรู้จักกันมาก่อน แต่จู่ๆ ก็ถูกจับคลุมถุงชนเลย แม้แต่สุ่ยเซียนที่มาจากยุคปัจจุบัน เห็นชายหนุ่มครั้งแรกยังเผลอสะดุ้งด้วยความหวาดกลัว
ไม่แปลกที่ฉางสุ่ยเซียนจะขวัญหนีดีฝ่อ เมื่อไม่รู้ว่าการใช้ชีวิตร่วมกับมู่ฉีหลินจะมีความสุขหรือต้องทรมานทั้งชีวิต เป็นนางก็คงเลือกดับชีวิตตัวเองเพื่อหนีจากการแต่งงาน
“เอาละ ถ้าฉีหลินรังแกเจ้า หรือดูแลเจ้าไม่ดี บอกข้าได้ทันที อย่าได้เกรงใจไปเสียล่ะ ข้าจะสั่งสอนลูกชายตัวดีแทนเจ้าเอง” มู่ฮูหยินกำชับ
สุ่ยเซียนดึงสติกลับมาปัจจุบัน ยิ้มให้กับแม่สามี ก่อนจะบอกออกไปตามตรง
“ท่านพี่ดีต่อสุ่ยเซียนมากเจ้าค่ะ”
หากเป็นโลกเดิม มู่ฉีหลินอายุน้อยกว่าสุ่ยเซียนอยู่หลายปี แต่ในโลกนี้ ฉางสุ่ยเซียนอายุเพียงสิบแปด มู่ฉีหลินอายุยี่สิบห้า นับว่านางอายุน้อยกว่า เพื่อเป็นการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และยุคสมัย นางจึงเรียกชายหนุ่มว่า ‘ท่านพี่’
แม่สามีเลิกคิ้วขึ้นทันที เมื่อเห็นว่าสะใภ้คนรองที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านไม่ทันไรก็เข้าข้างสามีขนาดนี้แล้ว ดูท่าคงไม่ต้องห่วงว่าพวกเขาจะเข้ากันไม่ได้
“ลูกสะใภ้ข้า เจ้าเฉลียวฉลาด ไม่ทันไรก็เข้าข้างฉีหลินขนาดนี้ ช่างรู้จักประจบเอาใจสามี อนาคตภายภาคหน้าในจวนแม่ทัพเจ้าก็ไม่ลำบากแล้ว นี่ๆ ฉีหลิน เมื่อครู่เจ้าได้ยินฮูหยินของเจ้าพูดหรือไม่”
ท้ายประโยค มู่ฮูหยินยังหันไปถามลูกชายคนรองด้วยเหมือนต้องการการยืนยัน ทั้งยังยิ้มอย่างพึงพอใจ
มู่ฉีหลินที่กำลังนั่งเล่นกับน้องสาวก้มหน้าเล็กน้อย ทั้งที่พูดเรื่องน่ายินดี แต่ใบหน้าคมคายของชายหนุ่มจู่ๆ ก็บึ้งตึง
ทว่า คนตระกูลมู่ต่างรู้ดี หากมู่ฉีหลินก้มหน้าอย่างเงียบขรึม ให้สังเกตที่แก้ม หากว่าใบหน้าคล้ำแดดของเขาขึ้นสีแดงนิดๆ แล้วละก็ นั่นหมายความว่าชายหนุ่มกำลังมีอาการเขินอายอยู่
ภายนอกแม้ฉางสุ่ยเซียนเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบแปด ทว่าวิญญาณที่อยู่ในร่างนี้อายุเลยเลขสามมาแล้ว ต่อให้ไม่ได้ตั้งใจ หากกลับเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แน่นอนว่า นางเห็นสีแดงที่ขึ้นบนแก้มของมู่ฉีหลินด้วย
หัวใจพลันเต้นแรงขึ้นมา อดสงสัยไม่ได้ว่ามู่ฉีหลินก็มีมุมน่ารักเหมือนกันหรือ
เห็นท่าทางเขินอายของสองสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามัน คนบ้านมู่ต่างก็อมยิ้ม โดยเฉพาะมู่ฮูหยิน ก่อนหน้านั้นกังวลว่าทั้งสองจะเข้ากันไม่ได้ เนื่องจากใต้เท้าฉางเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ซ้ำบุตรสาวคนโตฉางฝูหลงยังได้แต่งเข้าตำหนักอ๋อง ตระกูลฉางระยะหลังๆ จึงค่อนข้างถือตัวอยู่สักหน่อย มู่ฮูหยินจึงเป็นกังวลว่าหากฉางสุ่ยเซียนมีนิสัยหยิ่งยโส มู่ฉีหลินบุตรชายจอมซื่อบื้อของนางก็คงจะลำบากที่ต้องรับมือภรรยานิสัยเช่นนั้น
ทว่า พอเห็นความเข้ากันได้ของมู่ฉีหลินและฉางสุ่ยเซียนในวันนี้ มู่ฮูหยินค่อนข้างพอใจและวางใจแล้ว