บทที่ 3 เจอหน้าเจ้าบ่าว
หลังจากฉางสุ่ยเซียนหายป่วย นั่นก็คือสามสี่วันให้หลัง งานแต่งระหว่างนางกับมู่ฉีหลินก็ถูกจัดขึ้นภายในจวนแม่ทัพหลังใหม่
ได้ยินว่าเพราะผลงานปราบปรามชนเผ่ากลุ่มน้อยทางแถบเหนือ มู่ฉีหลินที่มีความดีความชอบ ได้รับพระราชทานสมรส ได้จวนแม่ทัพและเงินทองจำนวนหนึ่ง เขาที่อายุเพียงยี่สิบห้าปีก็มีตำแหน่งที่มั่นคง ถือได้ว่าเป็นคนหนุ่มอนาคตไกล หากจะติดก็คงเป็นฉายาและข่าวลือแปลกๆ
...มู่ฉีหลินกินเลือดสดๆ ของศัตรูแทนน้ำ
...มู่หลินจะสังหารทั้งทหารฝ่ายศัตรูและทหารฝ่ายตัวเองเหมือนกับอสูรบ้าคลั่ง
มู่ฉีหลินน่ากลัวอย่างนั้น มู่ฉีหลินน่ากลัวอย่างนี้ หากถามสุ่ยเซียนว่าคิดดีแล้วหรือที่ต้องแต่งงานกับผู้ชายที่มีข่าวลือน่ากลัวแบบนั้น บอกตามตรง มีหลายครั้งที่นางอยากเปลี่ยนใจแล้วหนีไป แต่ถ้านางเลือกหนี ก็ไม่ต่างอะไรกับการก้าวเข้าสู่ถนนความล้มเหลว ทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิม นางจะต้องหนีไปตลอดชีวิต หนี แล้วก็หนี...
แม้ว่าสุ่ยเซียนเลือกที่จะไม่หนี ทว่าตั้งแต่พิธีกราบไหวฟ้าดินเริ่มต้นขึ้น ขาของนางกลับสั่นไม่หยุด กลัวข่าวลือเหล่านั้น กลัวว่าจะต้องเจอผู้ชายต่ำช้า ลังเลว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่ผิดพลาด
แขกเหรื่อที่มาร่วมงานส่วนใหญ่คือคนจากตระกูลมู่ และเหล่าทหารของมู่ฉีหลิน พวกเขาล้วนดื่มกินอย่างสนุกสนาน ส่งเสียงดังอึกทึก แสดงออกอย่างเปิดเผย สมกับเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ เพียงแค่มีสุราก็รื่นเริงกับทุกสถานการณ์ ส่วนตระกูลฉางที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ต่างนั่งอย่างสงบเสงี่ยมและแทบจะทำตัวหลีบแบนอยู่แล้ว
ตอนส่งตัวเจ้าสาวเข้าเรือนหอ หัวใจของสุ่ยเซียนเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ขาทั้งสองข้างสั่นเทา ไม่วายรู้สึกหวาดกลัวและลังเล
สักพักใหญ่ๆ เสียงสนุกสนานครึกครื้นก็ดังขึ้นที่หน้าประตู ก่อนประตูห้องหอจะถูกเปิดจากด้านนอก
มาแล้ว!
สุ่ยเซียนร้องคำนั้นในใจ ความลังเลได้กลายเป็นความประหม่า จากนั้นก็มีคำว่า ‘หากว่า’ ผุดขึ้นในหัวเต็มไปหมด
หากว่ามู่ฉีหลินเป็นเหมือนในข่าวลือล่ะ
หากว่ามู่ฉีหลินพูดคุยด้วยยาก
หากว่า...
ระหว่างคิดเรื่องต่างๆ มากมาย ผ้าคุลมหน้าเจ้าสาวสีแดงก็ได้ถูกเลิกขึ้น สุ่ยเซียนอ้าปากเตรียมยื่นข้อต่อรองในตอนที่ยังพอมีความกล้า แต่ทันใดนั้น ปากของนางก็หุบลงฉับพลัน
อึก!
ไม่เพียงแค่พูดไม่ออก ใบหน้าของเจ้าบ่าวที่อยู่ในระยะประชิดยังทำให้ร่างของนางสั่นเทิ้มขึ้นมาอีกเล็กน้อย
ผู้ชายคนนี้มีหน้าตาที่น่ากลัวสมกับคำล่ำลือจริงๆ ถึงจะมีโครงหน้าคมเข้ม แต่กลับมีดวงตาขวางดุ หัวคิ้วขมวดมุ่น มุมปากคว่ำลง โดยรวมแล้วสีหน้าแบบนั้นเหมือนอยู่ในอารมณ์โกรธมากกว่าจะเรียกว่าเคร่งขรึม
ทว่าหากพูดในมุมมองของคนที่มีความคิดด้านบวก ผู้ชายคนนี้เป็นแค่คนหน้าดุคนหนึ่ง และไม่ว่าอย่างไร แวบแรกที่เห็น สุ่ยเซียนก็สะดุ้งเยือกด้วยความตกใจไปแล้ว
ชายหนุ่มดึงผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวลงดังเดิม
เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความมืด สุ่ยเซียนจึงกะพริบตาอย่างงุนงง
“เอ๊ะ!?”
ในตอนนั้นเอง เสียงทุ้มกังวานของชายหนุ่มพลันดังขึ้น
“ถ้าเจ้ายังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร คิดเสียว่าคืนนี้ข้ายังไม่ได้เข้ามาในห้องหอ”
‘ไม่พร้อม’ ‘ไม่ได้เข้ามาในห้องหอ’ ทั้งหมดที่พูด เขาหมายความว่ายังไง สุ่ยเซียนคิดตามคำพูดของชายหนุ่มด้วยความสงสัย ไม่เพียงแค่นั้น นางยังได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินไปทางประตู
“เอ่อ เดี๋ยวก่อน”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สุ่ยเซียนตะโกนเรียกเขาอย่างลืมตัว
“อะไร”
“ตามธรรมเนียมแล้วเจ้าบ่าวควรเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว”
“ข้ารู้”
“แต่ว่าท่านกลับปิดไว้เหมือนเดิม”
“ที่เจ้าพูดมา หมายความว่าอยากให้ข้าร่วมหอกับเจ้าคืนนี้?”
“ไม่ใช่ เอ่อ ไม่สิ ข้าแค่สงสัยว่าทำไมท่านไม่ทำตามธรรมเนียม ไม่ได้หมายความว่าข้ารีบร้อนอยากจะเข้าหอตอนนี้สักหน่อย”
เมื่อสุ่ยเซียนพูดจบ เสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวกลับมาตรงหน้าเหมือนเดิม พอผ้าคุลมหน้าเจ้าสาวถูกเปิดออกอีกครั้ง ชายหนุ่มก็พูดกับนางทันที มิหนำซ้ำ น้ำเสียงของเขายังดังกังวานชัด
“จะเอาอย่างไรกันแน่”
สุ่ยเซียนถึงกับผงะ ให้เปรียบเทียบสภาพตัวเองตอนนี้ คงไม่ต่างกับหญิงสาวที่ถูกคิงคองตัวใหญ่คำรามใส่
“ข้า...”
นางขยับริมฝีปากเตรียมพูด แม้จะรู้สึกร้อนหนาวเพราะความหวาดกลัว หากในเมื่อมีเป้าหมายชัดเจน ก็ต้องรวบรวมความกล้าและพูดออกไปให้ชัดๆ นั่นคือความคิดของนาง
ทว่าเพิ่งจะเริ่มต้น ชายหนุ่มกลับกล่าวแทรกขึ้นเสียก่อน
“ขอโทษ แต่ข้าไม่เข้าใจความคิดของเจ้าจริงๆ”
“...?”
เป็นอีกครั้งที่สุ่ยเซียนเกิดความสงสัย
ถึงใบหน้าของมู่ฉีหลินจะให้รู้สึกว่าน่ากลัว ทว่ากลับก็มีความขัดแย้ง แต่...มันคืออะไรกันล่ะ และที่บอกว่าไม่เข้าใจ เป็นนางต่างหากที่ไม่เข้าใจเขา
สุ่ยเซียนเงียบและคิด
มู่ฉีหลินเองก็เงียบ
ทั้งสองเงียบใส่กันอยู่สักพักใหญ่ ในที่สุดชายหนุ่มก็ถอนหายใจเฮือกออกมา
“เฮ้อ...ผู้อื่นล้วนเรียกข้าว่าแม่ทัพอสูร แต่นั่นก็เป็นแค่ฉายาที่ถูกตั้งขึ้น ข้าเป็นมนุษย์จริงแท้แน่นอน เมื่อครู่ที่ข้าบอกว่า ‘คิดเสียว่าคืนนี้ข้ายังไม่ได้เข้ามาในห้องหอ’ นั่นก็เพื่อพิสูจน์ให้เจ้าเห็นว่าข้าไม่ใช่บุคคลอันตรายเหมือนกับฉายา และอยากทำให้เจ้าสบายใจว่าข้าจะไม่ทำอะไรหากเจ้าไม่ยินยอม”
เข้าใจแล้ว ผู้ชายคนนี้ความจริงแล้วคิดมากเรื่องฉายา อีกทั้งพูดไม่เก่ง การกระทำที่ซื่อตรง บวกกับใบหน้าที่น่ากลัวชวนให้คนอื่นเข้าใจผิด เมื่อครู่เขาตั้งใจออกจากห้องทันที นั่นไม่ได้เกิดจากความโกรธ แต่ต้องการแสดงให้เห็นว่าเขาให้เกียรตินาง
คนเราจะมองแค่เพียงเปลือกนอกไม่ได้จริงๆ
สุ่ยเซียนเป็นบุคคลที่ล้มเหลวก็จริง แต่กลับมีข้อดีคือมองโลกในด้านบวก หลังจากเงียบอยู่สักพักหนึ่ง ในที่สุดก็กุมท้องหัวเราะออกมา
จู่ๆ สตรีงดงามและอ่อนหวานหัวเราะอย่างไม่สงวนท่าทาง ไม่เพียงแค่ดูไม่สำรวม ยังดูแปลกในสายตาของมู่ฉีหลิน แต่เหนืออื่นใด กลับทำให้บรรยากาศในห้องผ่อนคลายลงมาก ดังนั้น มู่ฉีหลินจึงจ้องมองนางตาไม่กะพริบ
สุ่ยเซียนเช็ดน้ำตาที่หางตา ก่อนจะบอก
“ขออภัยที่ทำให้ท่านคิดอย่างนั้น ข้ารู้ว่าท่านเป็นมนุษย์ ไม่ใช่อสูร ก่อนหน้านี้ ข้าต้องขอโทษที่แสดงสีหน้าตกใจ แต่ข้าไม่ได้ตัดสินคนเพียงแค่ภายนอก ข้าอยากให้ท่านเชื่อ”
เมื่อพูดจบ สุ่ยเซียนยิ้มให้กับชายหนุ่มด้วยความจริงใจ
“ข้าเชื่อเจ้า”
เขาตอบกลับมาอย่างง่ายดาย นั่นยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้คุยด้วยได้ง่ายกว่าที่คิด
“พวกเรามาทำข้อตกลงกันดีหรือไม่” นางพูดเข้าเรื่อง
“ข้อตกลงหรือ” เขาถาม
จากนั้น สุ่ยเซียนเริ่มเกริ่นว่าพวกเขาเพิ่งเจอกันครั้งแรก ไม่เคยเรียนรู้นิสัยใจคอกันจริงๆ จังๆ จะให้ร่วมหอกันทันทีย่อมทำไม่ได้ หากเป็นไปได้ นางก็จะขอแยกห้องนอนด้วย ทว่านางรับปากว่าจะทำหน้าที่ของฮูหยินแม่ทัพอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
ชายหนุ่มตอบกลับมาว่าเข้าใจแล้ว
เป็นอันเห็นพ้องด้วยกันทั้งสองฝ่าย
หัวใจดวงน้อยของสุ่ยเซียนเปิดใจยอมรับมู่ฉีหลินว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ผู้อื่นลือกัน แม้จะมีหน้าตาดุดัน พูดจาเสียงดัง แต่นางกับเขาอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็ได้ เพราะอย่างน้อยๆ มู่ฉีหลินก็ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกฝืนใจที่ต้องอยู่ใกล้