บทที่ 2 สุ่ยเซียน กับ ฉางสุ่ยเซียน
คงเป็นเรื่องตลกร้าย ผู้หญิงอายุเกินสามสิบที่ทำอะไรก็ล้มเหลวไปหมดทุกอย่าง ตายแล้วมาอยู่ในร่างของเด็กสาวผู้เพียบพร้อมทั้งฐานะและรูปโฉม เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เห็นได้แค่ในนิยายเท่านั้น
แต่...สุ่ยเซียนก็ตื่นขึ้นมาบนเตียงไม้ ภายในห้องหับตกแต่งด้วยข้าวของยุคสมัยโบราณจริงๆ
เธอยกมือขึ้นหยิกแก้มตัวเองเพื่อพิสูจน์ว่ามันไม่ใช่ความฝัน เป็นใครก็ต้องทำอย่างนี้กันทั้งนั้น
โอย...เจ็บๆ
ไม่ใช่เรื่องโกหกหรือฝันไป
สุ่ยเซียนลุกขึ้นนั่ง มองห้องกว้างอีกครั้ง และในตอนนี้เอง ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็แล่นเข้ามาในหัว
เจ้าของร่างนี้มีชื่อเดียวกันกับเธอ ‘ฉางสุ่ยเซียน’ อายุสิบเจ็ดย่างสิบแปด อยู่ในวัยสาวบานสะพรั่ง งดงามอ่อนหวาน และยังเกิดในตระกูลขุนนางที่ร่ำรวย
ฉางสุ่ยเซียนมีพี่สาวหนึ่งคนชื่อว่าฉางฝูหลง ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นพระชายาของท่านอ๋อง สามีรักและเอาใจเป็นที่หนึ่ง น่าอิจฉาเสียจริง
ชีวิตส่วนตัวของฉางสุ่ยเซียนเรียกได้ว่าเป็นเส้นตรง ไม่มีตรงไหนขรุขระหรือสะดุด เธอถูกอบรมมาอย่างดี เป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมตั้งแต่หัวจรดเท้า งานอดิเรกคืออ่านหนังสือและเย็บปักถักร้อย มีบุรุษเข้ามาเกี้ยวพาอยู่บ้าง แต่หลังจากฮ่องเต้มีราชโองการให้หมั้นหมาย ฉางสุ่ยเซียนก็กลายเป็นบุคคลไร้ตัวตนไปโดยปริยาย
ใช่ ฉางสุ่ยเซียนนั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้ว แม้ไม่เคยเห็นหน้า แต่ผู้ชายที่โชคดีคนนั้นก็มีชื่อเสียงโด่งดังไม่น้อย “มู่ฉีหลิน แม่ทัพอสูร” ฉายาแปลก แต่ก็เป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ถ้ามองข้ามเรื่องคู่หมั้น ชีวิตของฉางสุ่ยเซียนนับว่าดีมาก ตรงข้ามกับสุ่ยเซียนในชาติก่อน
โลกที่จากมา เธอเป็นบุคคลที่ทำอะไรก็ล้มเหลวไปเสียทุกอย่าง เริ่มจากถูกพ่อแม่แท้ๆ ทอดทิ้งตั้งแต่ร้องอุแว้ๆ แต่เพราะได้ตากับยาย เธอจึงมีโอกาสเติบโตและได้เรียนหนังสือ แม้จบไม่สูง แต่ก็มีวุฒการศึกษานำไปสมัครงานได้ เมื่อสองสามปีก่อน เธอสูญเสียท่านทั้งสองจากโรคระบาด นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนอย่างไร มักจะมีอะไรบางอย่างเป็นเหตุให้เธอต้องหกล้มอยู่เสมอ
เธอถูกไล่ออกจากงานทั้งที่เพิ่งเริ่มได้ไม่นาน ไม่ใช่เพราะเธอทำงานไม่ดี แต่ด้วยพิษเศรษฐกิจ(นี่คือคำสวยหรูเท่าที่เธอคิดออก) เพราะสาเหตุนั้น ทำให้เธอไปต่อไม่ได้ ตกงาน เงินประทังชีวิตวันๆ แทบไม่มี
เคยคิดไว้ว่าหากปลูกผักเลี้ยงไก่บนที่นาของตากับยาย ชีวิตเธอคงไปต่อได้ ทว่าแม่ที่เคยเห็นหน้าไม่กี่ครั้งกลับนำที่นานั้นไปจำนอง และตอนนี้ก็กำลังจะถูกเจ้าหนี้ยึดไป
สุ่ยเซียนยังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กๆ ของตากับยาย รั้งให้ถึงวินาทีสุดท้ายจนกว่าเจ้าหนี้จะมายึด
จ๊อก...
เสียงโครกครากดังจากในท้อง
เธอหิวและแสบท้องมาก แต่เพราะเหลือเงินอยู่น้อยนิด บวกกับไม่รู้สึกอยากอาหาร ถึงท้องจะร้องแต่เธอก็เลือกนอนนิ่งๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานแค่ไหนที่กระเพาะของเธอหยุดร้อง และไม่มีความรู้สึกหิวอีกเลย
สรุปสั้นๆ สุ่ยเซียนตายเพราะความหิว คนส่วนใหญ่อาจคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่สุ่ยเซียนในชาติก่อนก็ตายแล้วจริงๆ
จ๊อก...
พอลืมตาตื่นขึ้นมาไม่นานท้องก็ร้อง สุ่ยเซียนในชาตินี้ก็อดตายเหมือนกันหรือ?
ไม่ใช่ ฉางสุ่ยเซียนคนงาม ตกบ่อน้ำในสวนหลังบ้านและป่วยตายต่างหาก ความทรงจำบอกเธออย่างนั้น
ฉางสุ่ยเซียนไม่อยากแต่งงานกับแม่ทัพอสูร ยิ่งวันที่มู่ฉีหลินเดินทางกลับมาเมืองหลวงกระชั้นชิดเท่าไร เจ้าของร่างนี้ก็ยิ่งร้อนรน เมื่อหาทางออกไม่เจอจึงเลือกกระโดนบ่อน้ำหวังฆ่าตัวตาย แย่หน่อยที่ถูกช่วยไว้ได้ทัน แต่ถึงอย่างนั้น เด็กสาวก็จับไข้ และในที่สุด เธอก็ตาย
จ๊อก...
กระเพาะน้อยๆ ดังระงมอีกครั้ง
เพราะความเคยชินที่ปล่อยให้ท้องร้องนานๆ ต่อให้รู้สึกหิวแต่เธอก็ยังนั่งเหม่อ คิดถึงเรื่องในชาติก่อนและชาตินี้
“คุณหนู ฮือ...”
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังขึ้นข้างเตียง สุ่ยเซียนหลุบตามอง เป็นเด็กสาวใบหน้าจิ้มลิ้ม คนคนนี้มีชื่อว่า ‘เสี่ยวเถา’ สาวใช้ประจำตัวฉางสุ่ยเซียน ตาปูนตาบวมขนาดนั้นคงร้องไห้มานานแล้ว
“...?”
สุ่ยเซียนเอียงศีรษะด้วยความสงสัย เสี่ยวเถาเช็ดน้ำและพูด
“อย่าทรมานตัวเองอีกเลย ทานโจ๊กอุ่นๆ สักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
ฉางสุ่ยเซียนคนก่อนอาจเลือกทรมานตัวเองเพราะไม่ต้องการแต่งงานกับคู่หมั้นที่ไม่เคยเห็นหน้า แต่สุ่ยเซียนคนนี้ เมื่อมีอาหารอุ่นๆ อยู่ตรงหน้า ไหนจะกลิ่นหอมของโจ๊กที่ชวนให้น้ำลายสอ เธอจึงยื่นมือออกไปโดยไม่คิดอะไรมาก
“เอามาสิ”
“ค...คุณหนู!”
คราวนี้เสี่ยวเถาปล่อยโฮระลอกใหญ่
มือของสุ่ยเซียนนิ่งค้างกลางอากาศ รอคอยถ้วยโจ๊ก
“คุณหนู ฮึกๆ ขะ...ข้าดีใจที่ท่าน ฮึก...”
เสี่ยวเถากอดถ้วยโจ๊กสะอึกสะอื้น
ถ้าจะพูดอะไร ช่วยส่งถ้วยโจ๊กมาให้ก่อนไม่ได้เหรอ สุ่ยเซียนคิด ก่อนจะทักเด็กสาวกลับไป
“เสี่ยวเถา สรุปแล้วเจ้าอยากจะให้ข้ากินโจ๊กหรือไม่กันแน่”
“เอ่อ ขออภัยเจ้าค่ะ!”
เสี่ยวเถากระวีกระวาดยื่นถ้วยโจ๊กมาให้
โจ๊กถ้วยนี้ยังอุ่นอยู่ สุ่ยเซียนเป่าสองสามครั้งก่อนจะค่อยๆ กินทีละนิด
กินโจ๊กได้ไม่กี่คำ ประตูก็ถูกเปิดจากด้านนอก
“เซียนเอ๋อร์ พ่อกับแม่กลับมาแล้ว!”
ฉางฮูหยินกล่าวหลังจากเดินเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน ทว่าพอเห็นสุ่ยเซียนกินโจ๊กทีละคำอย่างช้าๆ ก็ถึงกับยกมือขึ้นทาบอก ก่อนจะร่ำร้องด้วยความดีใจ
“ขอบคุณสวรรค์ ดีเหลือเกินที่ลูกไม่อดอาหารอีกแล้ว”
“ฮูหยิน ถึงเซียนเอ๋อร์ของเราจะไม่อดอาหารแล้ว แต่เรื่องนั้นก็ยัง เอ่อ...”
บิดาของฉางสุ่ยเซียนพูดด้วยท่าทีลังเล ท้ายที่สุดก็เลือกที่จะหุบปาก
แม้สามีพูดไม่จบประโยคดี หากฉางฮูหยินก็แสดงสีหน้าเศร้าสร้อย ขอบตาแดงเรื่อในขณะที่ค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งข้างบุตรสาวคนรอง ไม่เพียงเท่านั้น ยังคว้ามือของสุ่ยเซียนไปกุมไว้บนตัก
ช่วงเวลาที่ได้กินโจ๊กสะดุดลง แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องของกิน เพราะฉางฮูหยินกำลังดึงทุกคนเข้าสู่ช่วงดราม่า!
เธอนั่งฟังเงียบๆ
“เซียนเอ๋อร์ แม่ไปที่คฤหาสน์ตระกูลมู่มาแล้ว แต่ก็ทำได้แค่ประวิงเวลาเท่านั้น งานแต่งของเจ้ากับแม่ทัพอสูรยังคงต้องเกิดขึ้น แม่ขอโทษลูกจริงๆ”
พูดจบ น้ำตาซึมกลางเบ้าตาของฉางฮูหยิน
สุ่ยเซียนยิ้มบาง พูดเสียงแหบแห้งเนื่องจากที่ผ่านมาเด็กสาวอดน้ำอดอาหารประท้วง
“ท่านแม่ ข้าจะแต่งงานกับมู่ฉีหลิน”
จากความทรงจำของร่างนี้ เพราะคำล่ำลือต่างๆ นานาเกี่ยวกับมู่ฉีหลิน ทำให้ฉางสุ่ยเซียนหวาดกลัวจนเลือกวิธีฆ่าตัวตายแทนที่จะแต่งงาน อันที่จริง หากถามว่าแล้วตัวเธอเล่า ต้องการแต่งงานกับคนที่ไม่เคยเห็นหน้าและมีฉายาที่น่ากลัวจริงหรือ แน่นอน เป็นใครก็ไม่คิดอยากทั้งนั้น ทว่าหากพูดภาษาเดียวกันแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรคงต่อรองกันได้ อีกอย่าง การหนีงานแต่งที่ฮ่องเต้พระราชทานก็เสี่ยงเกินไป สำหรับเด็กสาวตัวเล็กๆ อย่างฉางสุ่ยเซียนไม่มีทางแบกรับได้แน่
ชาติก่อนเธอหนีปัญหามาตลอด อยู่ใต้การปกป้องของตากับยาย เมื่อสูญเสียพวกท่าน เธอถึงได้กลายเป็นคนล้มเหลว หากชาตินี้ยังทำแบบนั้นก็เหมือนก้าวซ้ำรอยเดิม
“เซียนเอ๋อร์ เจ้าคิดดีแล้ว?” บิดาถามย้ำ
“ข้าคิดดีแล้วเจ้าค่ะ” สุ่ยเซียนตอบ พลางคิดว่าคงต้องต่อรองกับผู้ชายคนนั้นดูสักครั้ง เขาคงไม่ใช่คนประเภทต่ำช้า ที่เจอหน้าสตรีก็กระโจนเข้าใส่หรอกใช่ไหม
“เซียนเอ๋อร์!”
หนนี้ ฉางฮูหยินน้ำตาร่วงเผาะๆ
“ลูกไม่จำเป็นต้องเสียสละ พวกเรา...พาลูกหนีได้นะ”
“ท่านแม่ ข้าคิดดีแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ อีกอย่าง ขืนข้าหนีไป ตระกูลฉางอาจได้รับโทษประหารเก้าชั่วโคตรเพราะขัดราชโองการ ข้าไม่ต้องการทำให้ทุกคนต้องมาเดือดร้อนด้วย”
“โถ...ลูกรัก”
ฉางฮูหยินกอดสุ่ยเซียนแล้วร่ำไห้ ราวกับว่าคนที่ถูกส่งเข้าโรงเชือดก็คือฉางฮูหยินเอง