บทที่ 7 อยู่ร่วมอย่างปองดอง
ช่วงนี้ดูเหมือนว่ามู่ฉีหลินจะพกถุงหอมติดเอวอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็จะหยิบขึ้นมานั่งมอง ก่อนจะถึงนำไปผูกที่เอวด้วยความบรรจง ราวกับถุงหอมใบนั้นเป็นสิ่งของล้ำค่าที่ตระกูลมู่มอบให้บุตรหลานสืบทอดต่อกันมาก็ปาน
ทว่า เฉินเจี๋ยซูรู้ดีว่าไม่มีเรื่องแบบนั้นในตระกูลมู่ ถุงหอมใบนั้นก็หาใช่สมบัติล้ำค่าที่สืบทอดต่อในตระกูลแต่อย่างใด
ตระกูลมู่เป็นตระกูลของผู้ฝึกวรยุทธ์ คนในตระกูลไม่พกของสวยๆ งามๆ ต่อให้เป็นมู่เฟิงไป๋ ธิดาคนสุดท้อง ตอนนี้แม้อายุแปดขวบ ชื่นชอบของน่ารัก แต่เมื่อโตขึ้นนางก็จะเหมือนกับพวกพี่ชายของนาง
ดังนั้น เฉินเจี๋ยซูเดาอีกว่าถุงหอมนั่นคงเกี่ยวข้องกับฉางสุ่ยเซียนไม่มากก็น้อย
“ไม่คิดว่าการแต่งงานจะทำให้แม่ทัพมู่ฉีหลินซึ่งขึ้นชื่อความดุร้าย กลายเป็นคนละเอียดอ่อนไปได้”
เพราะเป็นทั้งสหายร่วมรบและเป็นสหายสมัยเด็กของมู่ฉีหลิน ปัจจุบันเฉินเจี๋ยซูยังทำหน้าที่เป็นรองแม่ทัพ จัดการงานด้านเอกสารและการสื่อสารแทนมู่ฉีหลินเสียส่วนใหญ่ นับว่าสนิทสนมกันยิ่งกว่าแต่ก่อน ดังนั้นจึงกล้าเอ่ยปากหยอกล้ออย่างไม่กลัวเกรง
“นี่คือน้ำใจจากสุ่ยเซียน ถุงหอมใบนี้ไม่เพียงแค่นางซื้อให้ ยังเป็นของแบบเดียวกับที่นางพกติดตัว”
“อ้อ เป็นเช่นนี้เอง”
ถึงจะตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ หากเฉินเจี๋ยซูก็รู้สึกแปลกใจ ไม่คิดว่าแม่นางน้อยผู้แสนอ่อนหวาน ทั้งยังเกิดมาเพียบพร้อมทุกอย่าง จะเข้ากันได้ดีกับแม่ทัพที่มีข่าวลือเหี้ยมโหดอย่างมู่ฉีหลินง่ายๆ กลับกัน นางยังมอบถุงหอมให้ แบบนี้แล้ว เขาควรมองว่าฉางสุ่ยเซียนผิดปกติหรือมู่ฉีหลินคิดไปเอง
“มีอะไรน่าแปลกหรือ” มู่ฉีหลินถามเมื่อเห็นเฉินเจี๋ยซูเอาแต่มองตนซ้ำไปซ้ำมา
เฉินเจี๋ยซูยักไหล่ ก่อนจะเดินเข้าไปกอดคอมู่ฉีหลิน แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด
“ฉีหลินเอ๋ย เย็นนี้ข้าฝากท้องบ้านเจ้าได้หรือไม่”
“บ้านเจ้าไม่มีข้าวกินหรือไร”
“ข้าก็แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ ว่าไปแล้ว ข้ายังไม่เคยพูดคุยกับฉางสุ่ยเซียนเลยสักครั้ง อยากแสดงความยินดีและฝากฝังสหายของข้าไว้กับนางด้วย”
ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ที่มู่ฉีหลินจะบังคับสตรีตัวเล็กๆ ให้เชื่อฟัง แต่เฉินเจี๋ยซูอดรู้สึกกังวลและอยากไปให้เห็นกับตาว่าไม่มีเรื่องเช่นนั้น
เพียงแค่ไม่กี่วัน จู่ๆ พวกเขาก็สนิทสนมกัน ไม่ใช่เพราะสหายแสนซื่อเผลอแสดงกิริยาที่คล้ายบังคับภรรยาจนทำให้นางหวาดกลัวและยอมคล้อยตามหรอกกระมัง
“ฝากฝังอะไร เพ้อเจ้อ” มู่ฉีหลินเอ็ดใส่สหาย
“เอาละ สรุปว่าให้เป็นไปตามนี้แล้วกัน” เฉินเจี๋ยซูคิดเองสรุปเอง
“สรุปอะไร เป็นไปตามนี้อะไร” มู่ฉีหลินพยายามแย้ง แต่มองสีหน้าคาดหวังของเฉินเจี๋ยซู ท้ายที่สุด เขาก็ถอนหายใจอย่างจำใจ
“เฮ้อ เช่นนั้นก็ตามใจ”
ด้วยเหตุนั้น มู่ฉีหลินจึงยอมพาเฉินเจี๋ยซูกลับจวนมาด้วย
เมื่อเห็นว่ามู่ฉีหลินกลับมาถึงจวนแม่ทัพในช่วงบ่าย สุ่ยเซียนก็เดินเข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
เพียงไม่กี่วัน สุ่ยเซียนก็สามารถปรับตัวเข้าสถานที่นี้ได้ ยามที่มู่ฉีหลินออกไปทำงาน สุ่ยเซียนจะดูแลเรื่องงานบ้าน พอว่าง ก็จะมาหาหนังสืออ่าน โลกนี้มีหนังสือที่เรียกว่าประโลมโลก หรือก็คือนิยายรักๆ ใคร่ๆ นิทานปรัมปรา เพราะชอบอ่านนิยายเป็นทุนเดิม นางจึงสามารถอ่านหนังสือเหล่านั้นได้เป็นวันๆ โดยไม่รู้สึกเหงา
ต้องขอบคุณมู่ฉีหลินที่รับฟังและให้เกียรติตามที่เคยตกลงเอาไว้ เพื่อเป็นการตอบแทน สุ่ยเซียนตั้งใจจะทำหน้าที่เป็นฮูหยินแม่ทัพให้ดี ดูแล เอาใจใส่เท่าที่สามารถทำได้
เมื่อชายหนุ่มกลับบ้าน หน้าที่ฮูหยิน(เพียงในนาม)ของนางก็ต้องเริ่มขึ้น นี่ไม่ใช่การฝืนใจ แต่สุ่ยเซียนต้องการทำเช่นนี้เอง
“ท่านกลับมาแล้ว”
มู่ฉีหลินพยักหน้าเป็นการตอบรับ
อยู่ร่วมกันมาได้สักพัก สุ่ยเซียนพบว่ามู่ฉีหลินไม่ใช่คนพูดมาก หากกลับชัดเจนด้วยการกระทำ ไหนๆ ก็ไหน นางยังแยกแยะความรู้สึกของเขาผ่านทางสีหน้าได้เล็กน้อย มุมปากของมู่ฉีหลินยกยิ้ม นั่นหมายความว่าวันนี้เขาอารมณ์ดี
“อะแฮ่ม”
จู่ๆ ก็มีสียงกระแอมกระไอดังขึ้น
สุ่ยเซียนเพิ่งรู้สึกตัวว่ายังมีใครอีกคนอยู่ข้างหลังมู่ฉีหลิน
หลังจากถอนหายใจด้วยความหน่ายใจเบาๆ ชายหนุ่มถึงแนะนำคนข้างหลังให้สุ่ยเซียนได้รู้จัก ผู้ชายคนนั้นชื่อ ‘เฉินเจี๋ยซู’ เป็นสหายสมัยเด็ก ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นรองแม่ทัพ และวันนี้ เฉินเจี๋ยซูก็ตั้งใจมาทานข้าวเย็นด้วยกัน
สุ่ยเซียนบอกว่า “เข้าใจแล้ว” ก่อนจะเข้าครัวไปสั่งให้คนเตรียมอาหารเย็นเพิ่ม ทั้งยังยกน้ำชากับของว่างมาให้พวกเขา
“ไม่อยากจะเชื่อเลย พวกเจ้าเข้ากันได้ดีกว่าที่ข้าคาดเดาไว้เสียอีก ฉีหลิน เจ้าคงไม่ได้ขู่บังคับเพื่อให้นางยอมเชื่อฟังหรอกใช่หรือไม่”
เมื่อภายในห้องโถงเหลือเพียงแค่ชายหนุ่มทั้งสอง เฉินเจี๋ยซูถามเข้าเรื่องด้วยความกังวลทันที
แม้มู่ฉีหลินหาใช่คนต่ำช้าเช่นนั้น หากก็ต้องถามเผื่อเอาไว้ก่อน
“แล้วเจ้าเห็นนางไม่เต็มใจหรือเปล่าล่ะ” มู่ฉีหลินย้อนถาม
เฉินเจี๋ยซูแสดงสีหน้าครุ่นคิดก่อนตอบ
“ก็ไม่นะ”
ตอนสุ่ยเซียนกลับมาที่ห้องโถงอีกครั้ง เห็นว่ามู่ฉีหลินสั่งให้บ่าวรับใช้ที่คอยติดตามเตรียมกระดาษ หมึกและพู่กันไว้ให้หนึ่งชุด มิหนำซ้ำ ยังได้ยินพวกเขาคุยกันแว่วๆ เกี่ยวกับนาง
ทว่า เฉินเจี๋ยซูผู้นี้ไม่เหมือนคนอื่น คำพูดของเขาไม่ได้มีความเหยียดหยามหรือหวั่นกลัวมู่ฉีหลิน เพียงแค่พูดเพราะเป็นห่วงสหาย
เมื่อเป็นเช่นนั้น หลังจากสุ่ยเซียนยกน้ำชาและของว่างมาให้ชายหนุ่มทั้งสองเรียบร้อย นางก็เดินเข้าไปยืนข้างโต๊ะมู่ฉีหลิน หยิบแท่งหมึกขึ้นมาฝน
มู่ฉีหลินเงยหน้าขึ้นมอง แววตาสั่นไหวเล็กน้อย แม้จะเกิดขึ้นแค่ชั่วครู่สั้นๆ แต่สุ่ยเซียนก็ทันเห็น และคิดว่ามู่ฉีหลินเองก็มีมุมหวั่นไหวเหมือนกัน น่ารักเสียจริง
“เจ้าไม่ต้องทำก็ได้ ไปนั่งพักตรงนั้นกับเจี๋ยซูเถิด”
“ใช่แล้ว ฉีหลินแค่เขียนรายงานประจำวัน เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ ทำไมฮูหยินไม่มานั่งพูดคุยเป็นเพื่อนผู้น้อยเล่า” เฉินเจี๋ยซูกล่าวสำทับ
มู่ฉีหลินส่ายหน้าขวับๆ อย่างอ่อนใจ
เท่าที่สังเกต เฉินเจี๋ยซูผู้นี้น่าจะมีนิสัยพูดมากและติดจะขี้เล่น ทว่า คนแบบนี้มีไหวพริบดีอย่างคาดไม่ถึง หากต้องเจอสถานการณ์ที่ยากลำบาก คนอย่างเฉินเจี๋ยซูจะสลับเปลี่ยนบุคลิกอย่างฉับพลัน จากคนขี้เล่นกลายเป็นคนเอาจริงเอาจัง และคนอย่างเขาก็จะได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่นมากกว่ามู่ฉีหลินที่เงียบขรึม
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าช่วยท่านพี่ฝนหมึกดีกว่า”
“ทั้งที่ผู้อื่นหวาดกลัวฉีหลิน ฮูหยินกลับแตกต่าง ช่างเป็นคนจิตใจดีงามเหลือเกิน” เฉินเจี๋ยซูกล่าวทีเล่นทีจริง
“ข้าแค่อยากทำหน้าที่ฮูหยินให้ดีที่สุด”
“เพื่ออะไรหรือ”
“เพื่อท่านพี่” สุ่ยเซียนตอบโดยไม่หยุดคิด
ไม่ใช่การแสดงละครตบตา แต่สุ่ยเซียนอยากทำดีกับมู่ฉีหลินจากใจจริง ในเมื่อเขาดีกับนาง ก็ไม่มีเหตุผลที่นางต้องหมางเมินเขา
ใช่ว่าสุ่ยเซียนจะโง่งมงายเสมอไป จากบทละครที่เคยดูในทีวี เห็นว่าผู้ชายยุคโบราณนี้มีภรรยาเล็กภรรยาน้อยได้มากมาย หากเวลานั้นมาถึง นางที่ไม่ชอบความขัดแย้ง คงต้องเตรียมใจยอมรับ ในเมื่อนางกับเขา ตอนขอแยกทางกับมู่ฉีหลินดีๆ เขากับภรรยาใหม่จะได้ไม่รังแกนาง
แม้แต่เรื่องแบบนี้ สุ่ยเซียนก็เตรียมหาวิธีรับมือไว้แล้วเช่นกัน ทั้งตระกูลฉางก็ไม่ใช่ตระกูลยาจก เชื่อว่าคงไม่ปล่อยให้บุตรสาวตกระกำลำบากหลังจากเป็นหม้าย
ถึงจะคิดหนทางเผื่อเอาไว้ล่วงหน้า แต่สุ่ยเซียนไม่รู้ว่ามู่ฉีหลินไม่ใช่ผู้ชายมากรัก หนำซ้ำ ตระกูลมู่ยังมีกฎที่เข้มงวดอย่างการมีภรรยาเดียว ดังนั้นวันที่เขาจะรับภรรยารองเข้าบ้านจะไม่มีวันมาถึงเด็ดขาด
กลับกันแล้ว การกระทำและคำพูดของนางต่างหากที่ทำให้ชายหนุ่มหวั่นใจ
คำตอบนั้น ทำเอาเฉินเจี๋ยซูสะอึก พูดไม่ออก
มู่ฉีหลินที่กำลังจรดปลายพู่กันลงบนกระดาษชะงักมือนิ่ง
ทว่า สุ่ยเซียนไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย ยืนฝนหมึกอยู่ข้างๆ มู่ฉีหลินต่อเงียบๆ
“อะแฮ่ม พวกเจ้าเข้ากันได้ดีเช่นนี้ อีกไม่นานคงมีคุณชายน้อยวิ่งเล่นในจวนสักคนสองคน ฮะๆ” เฉินเจี๋ยซูพยายามพูดเพื่อทำลายบรรยากาศอึดอัก และยังหัวเราะในตอนท้าย
สุ่ยเซียนจะไม่รู้เชียวหรือ คำพูดของนางไม่ต่างจากการบอกรักมู่ฉีหลินต่อหน้าคนอื่น เขาที่เป็นบุรุษยังเขินแทนเลยนะ!
“แค่กๆ”
จู่ๆ มู่ฉีหลินสำลักน้ำลายตัวเอง ก่อนก้มหน้าก้มตาเขียนรายงาน ด้านสุ่ยเซียน ก้มหน้าฝนหมึกอย่างตั้งอกตั้งใจ และไม่ได้พูดอะไร ทั้งที่ก่อนหน้านั้นทำให้ผู้อื่นเขินอายแทบตาย
เฉินเจี๋ยซูยิ้ม จากท่าทีของคนทั้งสอง แม้จะสนิทกัน แต่ก็ยังห่างเหินระดับหนึ่ง ให้เดาอีกหน่อย ทั้งสองคงยังไม่ได้เข้าหอกันเป็นแน่
หลังรับประทานอาหารเย็นอิ่มแล้ว มู่ฉีหลินเดินออกมาส่งเฉินเจี๋ยซูที่หน้าจวน
“วันนี้ข้าได้เห็นกับตาแล้ว ฮูหยินของเจ้าเป็นคนดีและน่าเหลือเชื่อมาก แต่ถ้าไม่รีบเข้าหอกับนาง เจ้าไม่กลัวว่าผู้อื่นจะฉวยโอกาสแย่งชิงนางไปหรือ”
“ข้าเชื่อใจนาง”
“มีความเชื่อใจก็ดีอยู่หรอก แต่เจ้าจะคิดเช่นนี้ได้ตลอดจริงหรือ เจ้าพอใจกับเรื่องแค่นี้จริงๆ?”
มู่ฉีหลินไม่ได้ตอบ หลังจากมองส่งเฉินเจี๋ยซูเดินไปบนถนนยามค่ำจนมองไม่เห็นแผ่นหลัง เขาก็หมุนตัวแล้วกลับเข้าจวน
ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสพบพานและได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนรู้ใจ ดังนั้น มู่ฉีหลินจึงไม่อยากทำลายความไว้วางใจที่สุ่ยเซียนมีให้ เขาอยากถนอมช่วงเวลานี้ให้ดีที่สุด แต่ในบางครั้งการที่ต้องเว้นระยะห่างเพื่อไม่ทำลายความเชื่อใจ ก็ทำให้รู้สึกปวดหนึบๆ กลางใจอยู่ไม่น้อย
ตอนเดินตลาด นางพยายามเปลี่ยนบรรยากาศรอบตัวเขาให้ดีขึ้น นางไม่กลัวที่จะต้องเดินเคียงข้างเขา และไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองเช่นไร เขาควรจะพอใจแค่นี้ หยุดสนใจว่าการรอจนนางพร้อมจะเป็นเรื่องคุ้มค่าหรือไม่ เพราะถึงอย่างไร เขาก็คำนึงถึงความสุขของนางก่อนอยู่แล้ว