บท
ตั้งค่า

9.เกรี้ยวกราด

ร่างสูงก้าวเข้ามายังห้องแต่งตัว ภาพตรงหน้าทำให้เขาชะงัก แม้จะเป็นเพียงรูปร่างด้านหลังก็เถอะ แต่มันก็ทำให้เขาอยากสัมผัสไม่ต่างกัน

“อะ..ออกไปนะ ท่านอ๋องจะเข้ามาทำไม หม่อมฉันจะแต่งตัว” ซูเหยาบอกเสียงสั่น แต่ไม่มีคำพูดจากอีกฝ่าย มีแค่แขนแกร่งช้อนอุ้มนางขึ้นเท่านั้นเป็นสิ่งที่เขาตอบ

“เจ้ากล้ามากที่ขัดคำสั่งข้า” เสียงรอดไรฟันยังคงเปล่งออกมา ก่อนจะวางร่างเล็กลงบนเตียง

“ถอยออกไปนะเพคะ”

“อยู่ใกล้สามีทำท่าทีรังเกียจงั้นหรือ ทีออกมากับบุรุษอื่นไยเจ้าไม่กลัวเช่นนี้บ้าง” เฟยหรงตะคอกใส่หน้าคนตัวเล็กทันที ยามนี้เขาคุมอารมณ์ความรู้สึกตนเองไม่ได้เลย เพราะฤทธิ์สุราที่ดื่มมามากด้วย กว่าจะได้กลับมาที่โต๊ะก็ถูกลากไปตรงนั้นตรงนี้ กว่าจะรู้ว่าชายาตนหายไปก็เกือบชั่วยาม หลังจากนั้นก็เดินตามหาจนอารมณ์คุกรุ่นอย่างที่เห็น

“พระองค์เป็นบ้าอะไร ปล่อยหม่อมฉันนะ”

“เจ้ากล้าว่าข้าหรือซูเหยา ได้เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้ารู้ว่าแบบไหนกันแน่ที่ว่าบ้า” เอ่ยจบเขาก็แนบริมฝีปากลง แต่คนน้องก็ไม่ยอมเปิดให้ จึงกัดจนริมฝีปากอิ่มเลือดซิบ กลิ่นคาวคละคลุ้งจนไร้ซึ่งความหวานละมุนเช่นทุกครั้ง

ซูเหยาดิ้นรนดันกายเขาออก แต่ไหนเลยจะสู้แรงของคนตัวโตได้ แขนเล็กถูกตรึงไว้บนหัวด้วยมือใหญ่ข้างเดียว อีกมือเขากระชากชุดคลุมของนางออก จึงเผยให้เห็นผิวขาวเนียนน่าหลงใหล เฟยหรงผละออกจากปากอันบวมเจ่อ หันมาจ้องมองเนินเขาสวยตรงหน้า

แต่ยังไม่ทันได้ลิ้มลองเลยสักนิด เสียงประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน เขารีบดึงร่างเล็กขึ้นมาพร้อมกับจับชายผ้าคลุมให้ แล้วเอาร่างตนบังคนตัวเล็กไว้ เกรงว่าคนที่กำลังเข้ามาจะเห็นร่างกายของชายาตน

“เสด็จแม่!” เอ่ยด้วยเสียงตกใจเมื่อเห็นว่าใครเข้ามา ก่อนจะหันไปตะคอกผู้ที่กำลังเดินตามมา “พวกเจ้าออกไปห้ามเข้ามา” เฟยหรงเอ่ยแล้วก็หันมาหาคนบนเตียง ยามนี้เขาจึงได้เห็นรอยแผลบนปากนาง ทำให้ใบหน้าถอดสีทันที ก่อนจะนั่งลงและหมายจะยื่นมือไปปลอบ แต่ซูเหยากลับเบี่ยงตัวออกรีบลงมายืนข้างกายไท่เฟย

“งามหน้านัก ไหนเจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าจะไม่ยุ่งกับนางอีก เหตุใดถึงได้ย่ำยีน้องเช่นนี้” ไท่เฟยตำหนิบุตรชายเสียงดัง ทำเอาเฟยหรงถึงกับนิ่งไปชั่วครู่กว่าจะเอ่ยได้ เขาลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับมารดา

“ซูเหยานางออกมากับบุรุษแปลกหน้า ลูกบอกให้รอแต่นางกลับไม่ยอมนั่งอยู่ในงาน” อารมณ์คุกรุ่นเริ่มปะทุอีกครั้ง เมื่อนึกถึงเรื่องนี้

“ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์จะทำเช่นนี้ อย่าลืมว่าซูเหยาไม่ใช่ชายาของเจ้าจริงๆ อีกอย่างเจ้าทิ้งนางไว้ลำพังกระนั้นหรือ นางถึงออกมากับคนอื่นได้” คำพูดของมารดาแทงใจดำเฟยหรงยิ่งนัก แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คำพูดของคนตัวเล็กนี่แหละ

“ท่านอ๋องพาองค์หญิงไปเดินชมสวนเพคะ หม่อมฉันสนับสนุนเพราะเห็นท่านอ๋องดูเหมือนจะถูกพระทัยนางไม่น้อย หลังจากนั้นฮ่องเต้ก็เรียกไปพบที่ห้องด้านหลัง ทรงตรัสให้หม่อมฉันเปิดทาง อย่าขวางการสร้างสัมพันธ์ไมตรีครั้งนี้ คนเช่นหม่อมฉันจะสามารถขัดพระประสงค์ได้อย่างไร ก็ทำได้แค่ตามน้ำเป็นหมากให้แต่ละคนจับเดิน เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงเดินออกมาจากงาน แต่ไม่คิดว่าจะต้องให้คนพาออกมาจากวัง โชคดีที่มีคนผ่านมา เขาอาสาออกมาส่งที่หน้าประตู แล้วก็กลับเข้าไป ซูเหยารู้ฐานะตนเองดีจึงไม่อยากอยู่ขัดหูขัดตาผู้ใดเพคะ”

“หึ! คิดเองทั้งนั้น ข้าให้เจ้าอยู่ในฐานะอะไร ก็ควรจะรักษาฐานะตัวเองไว้สิ ไม่ใช่จู่ๆ ก็จะยกให้ผู้อื่นเช่นนี้” เฟยหรงยังคงหันมาตำหนิคนตัวเล็ก ราวกับเรื่องทั้งหมดนี้นางผิด ทั้งที่เขาทำสิ่งใดก็ไม่บอกนางเลยสักนิด

“ฐานะจอมปลอมเจ้าคิดจะให้ซูเหยารักษามันยังไง” ไท่เฟยเอ่ยถามบุตรชายทันที เฟยหรงขบกรามแน่น ไม่ว่าจะพูดยังไงเขาก็ผิดอยู่ดี

“ของที่ข้าให้เจ้าอยู่ไหน” เมื่อไม่รู้จะทำเช่นไรเขาก็ถามหาของสำคัญที่พึ่งให้นาง ซูเหยามองอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหยิบกำไลในลิ้นชักออกมา

“นี่เพคะ” นางเดินกลับมายืนที่เดิน ก่อนจะยื่นคืนให้เขา แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำคือสวมมันใส่แขนเล็กต่อหน้ามารดา

“เฟยหรงเจ้าแน่ใจหรือ” ไท่เฟยท้วงในขณะที่บุตรชายบรรจงใส่ให้สะใภ้กำมะลอ

“ท่านอ๋อง” ซูเหยาท้วงเช่นกัน พร้อมกับดันมือใหญ่ออก แต่ไหนเลยจะสู้แรงได้ ซ้ำยังรั้งนางมากอดไว้ด้วย

“ต่อไปนางไม่ใช่ชายากำมะลอลูกอีกแล้ว กำไลนี้มีแค่อันเดียว และลูกจะให้ซูเหยา เสด็จแม่ก็แค่หาวันแต่งให้ก็พอพ่ะย่ะค่ะ” เฟยหรงเอ่ยเสียงหนักแน่น

“หึ! ทำแบบนี้เจ้าจะกลายเป็นหมานะเฟยหรง” ไท่เฟยเอ่ยย้ำ แม้นางจะเห็นว่าบุตรชายพึงใจซูเหยานานแล้ว แต่ก็อยากถามให้แน่ชัด เพราะเฟยหรงปิดกั้นหัวใจเอาไว้ตั้งแต่ผิดหวังกับรักครั้งก่อน เกรงว่าที่ทำไปก็แค่หวงชายากำมะลอเท่านั้น

“ลูกยอมเป็นหมาพ่ะย่ะค่ะ” ตอบเสียงหนักแน่น

ซูเหยาเงยมองเสี้ยวหน้าของคนตัวโตนิ่ง ยามนี้นางสับสนเป็นอย่างมาก การกระทำเขาในงานเลี้ยงมันสวนทางหาได้เป็นเช่นนี้ไม่ จะให้นางเชื่อเขาได้เช่นไร

“แล้วเจ้าล่ะซูเหยา คิดเห็นเป็นเช่นใด พี่เขาขอเจ้าแต่งงานแล้วนะ ไม่ต้องนึกถึงเรื่องบุญคุณ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำตามหัวใจของเจ้า” ไท่เฟยเอ่ยเสียงอ่อนโยน

แต่คนถูกถามกลับยืนนิ่งเพราะไม่รู้ต้องทำเช่นไร เพราะการกระทำของคนตัวโตในวันนี้ทำให้นางใจเสียไม่น้อย เกรงว่าจะต้องเผชิญกับเล่ห์เพทุบายของเขา นางไม่อยากทนรับความเจ็บปวดอย่างเช่นในงานเลี้ยง รวมถึงถ้อยคำของฮ่องเต้ที่เอ่ยราวกับข่มขู่นั่นอีก หากนางไม่แสร้งเอ่ยเช่นคนรู้ความเอาตัวรอด ไม่แน่อาจถูกสังเก็บตั้งแต่อยู่ในวังแล้วกระมัง

“นิ่งเช่นนี้คงหาคำตอบไม่ได้สินะ ไม่แปลกเพราะเฟยหรงไม่เคยทำดีกับเจ้าเลย พาไปงานก็ยังทิ้งขว้างเอาไว้ หากมีมือสังหารเจ้าก็คงตายไม่ได้กลับมา” ไท่เฟยเอ่ยกระทบบุตรชายทันที นางไม่อยากบังคับซูเหยา แม้จะรักเอ็นดูมากก็เถอะ แต่เรื่องเช่นนี้ให้เป็นไปตามความรู้สึกของคนที่จะอยู่ครองคู่กันดีกว่า

“ดึกมากแล้ว ไปนอนเถอะ” ไท่เฟยเอ่ยกับสะใภ้ของตน ก่อนจะหันมาทำเสียงดุใส่บุตรชาย “ส่วนเจ้าก็กลับห้องไปได้แล้ว จะมายืนอยู่ทำไม” ว่าพร้อมกับดึงแขนบุตรชายให้ออกมาด้วย แต่เขาก็ขืนตัวไว้

“เสด็จแม่ลูกจะนอนกับซูเหยา นางเป็นชายาลูกนะ จะปล่อยให้นอนคนเดียวได้เช่นไร” เขาเอ่ยออกมาดื้อๆ พร้อมกับตั้งท่าจะปีนขึ้นเตียง ไท่เฟยรีบดึงชายผ้าบุตรชายทันที ก่อนจะตำหนิเสียงดัง

“หยุดนะ! ห้ามเจ้ารังแกน้องเด็ดขาด จนกว่าจะแต่งงานกันจริงๆ หรือน้องเต็มใจจะร่วมเตียงกับเจ้า”

“เสด็จแม่ไยถึงใจร้ายกับลูกเช่นนี้ ท่านไม่อยากได้หลานหรือพ่ะย่ะค่ะ” ถ้อยคำนี้ทำให้ไท่เฟยปล่อยชายผ้าทันที ทำเอาซูเหยาถึงกับส่ายหัวรัว

“น้องไม่ยอม เพราะฉะนั้นคืนนี้เจ้าต้องกลับห้อง”

“เสด็จแม่ลูกไม่กลับ ลูกทำน้องเจ็บ ขอคุยกับนางก่อนได้หรือไม่ ท่านแม่จะปล่อยให้ซูเหยาเกลียดลูกหรือ” เมื่อนึกถึงการกระทำของตนเฟยหรงก็อยากปรับความเข้าใจกับนาง ยามนี้อารมณ์เขาคงที่แล้ว จึงอยากคุยกับนางให้รู้เรื่อง ไม่อยากกลับไปนอนกระวนกระวายใจผู้เดียว

“ซูเหยาคุยกับพี่เขาหน่อยนะ เปิดอกคุยกันเสียอย่าปล่อยให้ติดค้างใจกัน หลังจากนี้เจ้าจะตัดสินใจอย่างไรก็แล้วแต่แม่ไม่ว่า” เอ่ยจบไท่เฟยก็เดินออกไป ทิ้งให้ซูเหยายืนนิ่งไม่รู้ต้องทำเช่นไร เฟยหรงเดินไปหยิบเอาชุดนอนมา ก่อนจะทำท่าสวมให้นาง

“จะทำอะไรเพคะ” เสียงสั่นท้วงทันที

“พี่จะเปลี่ยนชุดให้ตัวนี้มันบาง” ว่าพร้อมกับใช้สายตาโลมเลีย ทำเอาคนตัวเล็กอายจนหน้าแดง

“หม่อมฉันใส่เองเพคะ” ว่าพร้อมกับตีมืออีกฝ่าย

“โอ๊ย!..เจ็บ” ส่งเสียงราวกับรู้สึกมากมาย

“เกินไป” ซูเหยาตำหนิทันที ก่อนจะดึงเอาชุดเดินไปยังห้องแต่งตัว เฟยหรงยิ้มตามร่างเล็ก ก่อนจะนั่งลงบนเตียงเพื่อรอให้นางออกมา

“ซูเหยาเจ้าบอกว่าฝ่าบาทเรียกเข้าพบกระนั้นหรือ เรื่องอะไร?” ส่งเสียงถาม พร้อมกับเดินเข้าไปหา

“เอ๊ะ!..จะเข้ามาทำไมเพคะ”

“มาพี่ช่วย” ว่าแล้วเขาก็เดินเข้ามาประชิด ก่อนจะผูกเชือกที่เอวให้ แล้วเสร็จเขาก็ช้อนอุ้มเอาร่างเล็กขึ้นไปที่เตียง ซูเหยาได้แต่ปล่อยอีกฝ่ายทำตามใจ เพราะต่อให้ห้ามฉินอ๋องก็คงจะทำอยู่ดี ยามนี้ต้องใช้ไม้อ่อนเท่านั้นถึงจะเอาตัวรอดได้ เพราะนางไม่มีแรงไปสู้กับเขาแน่

“ว่าไงฝ่าบาทเรียกเจ้าไปทำไม ไหนบอกพี่สิ” เขาเอ่ยเสียงทุ้มในขณะที่วางร่างเล็กบนเตียง ก่อนจะขึ้นมานอนกอดนางเอาไว้ด้วย ซูเหยาเหล่มองเล็กน้อย ก่อนจะถอนใจ

“ทรงตรัสขอบคุณที่หม่อมฉันไม่ขวางพระองค์กับองค์หญิงเพคะ ดูจากสีหน้าและท่าทางหากเอ่ยสิ่งใดออกไป ไม่แน่หัวหม่อมฉันคงไม่มีแล้วกระมัง”

“ทรงตรัสเรื่องของพี่กับองค์หญิงกระนั้นหรือ ดูท่าคงไม่รามือง่ายๆ เป็นแน่ พี่คุยกับองค์หญิง จะไม่มีการอภิเษกใดๆ นางเองก็ยอมรับเรื่องนี้แล้ว” เขาเอ่ยถึงการหารือในช่วงที่ปล่อยทิ้งซูเหยาเอาไว้

“ได้ยินว่าฝ่าบาทไม่มีบุตร คงเพราะเหตุนี้เลยอยากให้ท่านอ๋องอภิเษกกับองค์หญิง ภายหน้าจะได้มีกำลังหนุนจากแคว้นอื่น ไยท่านอ๋องถึงไม่รับปากไปเสียเพคะ พระองค์ก็ดูเหมือนจะถูกใจองค์หญิงไม่น้อยนี่ ไยไม่ตอบตกลงไปเสีย” เอ่ยแล้วก็ใจหาย เพราะใจดวงน้อยหวั่นเกรงคำตอบของคนตัวโตอยู่ไม่น้อย ร่างแกร่งพลิกตัวขึ้นคร่อมคนตัวเล็กทันที ทำเอาซูเหยาตกใจกับการกระทำของเขา เกรงว่าจะทำเหมือนคราแรก

“สตรีเดียวที่พี่จะแต่งงานด้วยคือเจ้า แม่ของลูกพี่ ก็ต้องเป็นเจ้า พี่จะไม่ยินยอมตกลงปลงใจกับผู้ใดอีก มีแค่เจ้าผู้เดียวซูเหยา” เอ่ยแล้วก็หมายจะแนบริมฝีปากลง แต่พอมองเห็นรอยแดงเขาก็หน้าเสีย

“พี่ขอโทษนะ ยังเจ็บอยู่ไหม”

“เจ็บเพคะ เจ็บมาก” เอ่ยย้ำเพื่อให้อีกฝ่ายคิด

“พี่ขอโทษนะซูเหยา ต่อไปจะไม่ทำเช่นนี้อีก”

“ช่างเถอะเพคะ หม่อมฉันง่วงพระองค์ควรกลับไปอาบน้ำพักผ่อนเสีย วันพรุ่งหม่อมฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ นี่ก็ดึกมากแล้วพระองค์กลับไปเถอะ”

“เช่นนั้้นพี่ไปอาบน้ำแล้วกลับมานอนกับเจ้านะ” เฟยหรงเอ่ยต่อรอง แต่ไม่มีเสียงตอบจากคนตัวเล็กเลยสักนิด เพราะซูเหยานอนหันหลังให้ ไม่อยากฟังถ้อยคำจากเขาอีก มันยากเกินจะให้นางเชื่อว่าเขาคิดอย่างที่เอ่ย

“เหนื่อยสินะ” เขาเอ่ยแค่นั้นก็ดึงแขนตนออก เพราะคนน้องนอนทับอยู่ ก่อนจะกดจูบลงที่แก้มเนียนเบาๆ แล้วออกไปอาบน้ำ ผ่านไปหนึ่งก้านธูปก็กลับมาปีนขึ้นเตียงชายา และนอนกอดนางตลอดทั้งคืน

แต่ยามนี้ซูเหยากำลังอยู่ในห้วงฝัน หลังจากที่ไม่ได้เห็นวิญญาณเจ้าของร่างมานาน แต่คืนนี้จู่ๆ นางก็ฝันถึง อีกฝ่ายร้องห่มร้องไห้เล่าเรื่องบางอย่างให้ฟัง จนสุดท้ายซูเหยาจึงจำต้องตบปากรับคำช่วยเด็กน้อย ไม่เช่นนั้นวิญญาณนางคงไม่เป็นสุข และคงต้องวนเวียนอยู่เช่นนี้เป็นแน่ 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel