8. ถูกทิ้ง
หลังจากที่เฟยหรงพูดคุยกับองค์หญิงอยู่พักหนึ่ง ฮ่องเต้ก็เสด็จออกมาร่วมงาน ทุกคนจึงได้ไปนั่งยังที่ของตน ตอนนี้ซูเหยาไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องราวตรงหน้าแล้ว บอกไม่ถูกว่าใจมันห่อเหี่ยวมากเพียงใดยามนี้
“ดนตรีก็เพราะนะ สาวงามก็รำสวยเชียว แต่ทำไมเราถึงรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้แบบนี้ล่ะ” นางนึกจนเหม่อลอย ไม่รู้เลยสักนิดว่าสามีนั่งมองอยู่
“คิดอะไร ไยถึงนั่งนิ่งเช่นนี้” เฟยหรงถามเสียงอ่อน
“ปะ..เปล่าเพคะ” ตอบออกไปสั้นๆ ก่อนจะยกจอกตรงหน้าขึ้นดื่มโดยไม่รู้เลยว่ามันคือสุรา
“อึ๊ย!..เหล้า” ซูเหยาทำหน้าเหยเกทันที
“หึหึ..เด็กโง่ ดื่มไม่เป็นแล้วยังอยากจะดื่มอีก” เสียงตำหนิเบาๆ แว่วมา ก่อนจะรินชาให้อย่างเอาใจ
“ขอบพระทัยเพคะ” ตอบออกไปพร้อมกับใจที่ห่อเหี่ยว นางรู้ว่าที่เขาทำก็แค่แสดงละคร เพราะสายตาเขาหันเหไปยังสตรีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้ว
“ทำไมยังต้องแสดงละครอีก ก็สานสัมพันธ์กันไปเลยสิ” ซูเหยาตะโกนถ้อยคำอยู่ในหัว ก่อนจะก้มลงมองมือตัวเองราวกับนางเอกที่เห็นฉากคนรักกำลังปันใจให้หญิงอื่น นางไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อจากนี้ เลยได้แต่ยกจอกสุราตรงหน้าใส่ปาก ทั้งที่รู้ว่าตนไม่เคยดื่ม แต่ก็อยากเมาจะได้ไม่ต้องเห็นภาพบาดตาเหล่านี้
“พอแล้ว เดี๋ยวก็เมาหรอก” มือหนาคว้าจอกในมือเล็กทันที ทำให้สุรากระฉอกออกมาเปื้อนอาภรณ์ที่สวมใส่
“ไม่เป็นไรเพคะ” ตอบไปก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยถาม พอดีกับใครบางคนเดินเข้ามานั่งลงตรงหน้า
“ท่านอ๋องถานชิงอยากดื่มกับพระองค์เพคะ”
“ได้สิ” ว่าแล้วก็ยกจอกชนกันแล้วดื่ม
“ถานชิงได้ยินว่าในสวนนี้มีพฤกษาแปลกๆ มากมาย จะขอให้ท่านอ๋องพาเดินชมได้หรือไม่เพคะ”
“ได้สิเพคะ ท่านอ๋องต้องดีพระทัยมากแน่ที่จะได้พาองค์หญิงเที่ยวชมสวน ไปสิเพคะท่านอ๋อง” เอ่ยจบก็ใช้มือดันไหล่แกร่งให้พาสตรีงามตรงหน้าไปชมสวน ซูเหยายิ้มสดใสส่งให้ทั้งคู่สลับกันไปมา
“เช่นนั้นก็ไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะพาไปชมทุกที่ ตามแต่ใจองค์หญิงเลย” เอ่ยแล้วก็ลุกขึ้นพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญแขกเมือง เป็นที่น่าพอใจของฮ่องเต้ยิ่งนัก
“เรียกนางไปพบข้าด้านหลัง” จงเร่อเอ่ยสั่งคนของตนทันที เมื่ออนุชาเดินออกไปพ้นแล้ว
ซูเหยาเดินตามขันทีเสิ่นมาจนถึงห้องหนึ่ง ก่อนจะถูกดันหลังให้เข้าไป โดยมีร่างสูงสง่าในชุดสีทองลายมังกรยืนอยู่ เพราะรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใครนางจึงคุกเข่าลง
“ซูเหยาคำนับฝ่าบาทเพคะ” ร่างเล็กหมอบกับพื้นนิ่ง
“หึ!..นับว่าเจ้ายังรู้ความ ไม่ขัดขวางเฟยหรงกับองค์หญิง เอาไว้สองคนนี้อภิเษกกันเมื่อไหร่ ข้าจะตบรางวัลให้เจ้าก็แล้วกัน” ผู้ทรงอำนาจเอ่ยขึ้นอย่างชอบใจ
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท แต่ซูเหยาก็ไม่ได้ต้องการสิ่งใดทั้งนั้น ขอแค่ให้ท่านอ๋องมีความสุข สิ่งใดที่พระองค์เลือกล้วนแต่เป็นการตัดสินใจดีแล้ว หม่อมฉันไร้วาสนาก็จะไปเช่นคนไร้วาสนาเพคะ” แม้ทุกอย่างจะยังไม่กระจ่างชัด แต่เท่าที่เห็นซูเหยาก็พอจะเดาได้ ไม่ต้องรอคำตอบจากปากของฉินอ๋อง
“ดี!..รู้เช่นนี้ก็ดี..แค่ก!..แค่ก!”
“ฝ่าบาทอย่าหักโหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ยา เอายามาให้ข้าที” ฮ่องเต้รีบเอ่ยสั่ง ขันทีลิ่วจึงรีบไปเอายาจากพระที่นั่งมาทันที
“ดูจากสีพระพักตร์ ฝ่าบาทคงป่วยมานานแล้วใช่หรือไม่เพคะ” ถามออกไปพอให้ได้ยินกันสองคน
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า อย่าได้เอาไปพูดเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นข้าจะสั่งตัดหัวเจ้าเสีย” แม้จะอาการแย่แต่ก็ยังคงแผดเสียงใส่คนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า จงเร่อนั่งลงเพราะยืนไม่ไหวแล้ว แม้อยากเข้าไปประคองแต่ซูเหยาก็ไม่กล้าพอ
“หม่อมฉันเป็นหมอ เห็นคนป่วยก็ย่อมห่วงเป็นธรรมดาเพคะ อีกอย่างฝ่าบาทใช้หมอที่รักษาพระวรกายโดยไม่เคยเปลี่ยนคนใช่หรือไม่ ไม่งั้นก็คงเป็นหมอในวังที่ดูแลประจำ ควรให้หมอข้างนอกที่ไม่เกี่ยวกับราชสำนักตรวจบ้าง อย่างน้อยจะได้ยืนยันว่าพระองค์ป่วยจริงหรือถูกวางยา ซูเหยาขอพระราชทานอภัยเพคะที่เอ่ยเช่นนี้ แต่หน้าตาฝ่าบาทไม่เหมือนคนป่วยทั่วไป เล็บมือคล้ำไร้สีสัน เป็นอาการของคนถูกพิษเพคะ” นางร่ายยาวเพราะเห็นอาการอีกฝ่าย ดูท่าจะหนักเอาการถึงได้มีใบหน้าหมองคล้ำราวกับถูกของ
“มาแล้ว มาแล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ขันทีวิ่งเข้ามาพร้อมกับเปิดฝาขวดเทยาอย่างรีบร้อน ทำให้มีหลายเม็ดหล่นลงพื้น แต่ก็หาได้สนใจไม่ เพราะรีบส่งยาให้ผู้เป็นนาย ซูเหยารีบเก็บเม็ดยาที่กลิ้งมายัดใส่ในเสื้อของตน
ไม่นานนักคนที่มีท่าทีราวกับว่าจะตายก็มีแรงขึ้น แต่สีหน้านั้นยังคงหมองคล้ำเหมือนเดิม ซ้ำยังจ้องมองนางนิ่งไม่เอ่ยถ้อยคำใด กดดันซูเหยาอยู่กลายๆ
“จะโดนตัดหัวไหมเนี่ยะ” นึกในใจแล้วก็ก้มหน้านิ่ง
“พานางออกไป” เสียงทรงอำนาจเปล่งออกมาแค่นั้น
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท ขอพระโพธิสัตว์คุ้มครองพระองค์ อย่าเจ็บอย่าป่วย ผู้ใดคิดร้ายก็ขอให้แพ้ภัยตนเอง มีเหตุเป็นไป ทำร้ายโอรสสวรรค์ไม่ได้เพคะ”
“บังอาจ!! ฝ่าบาทเป็นถึงโอรสสวรรค์ยังต้องให้คนธรรมดาเช่นเจ้ามาอวยพรหรือ ฝ่าบาทสั่งลงทัณฑ์เลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นจิ่งตะคอกเสียงดัง
“ข้าบอกให้พานางออกไป ไม่เข้าใจคำสั่งข้าหรือ” เอ่ยจบก็โบกไม้โบกมือไปด้วย ซูเหยาจึงรีบคำนับอีกครั้ง ก่อนจะถอยหลังจนถึงประตูแล้วออกไปจากห้องนี้
“เห้อ!..เกือบตาย” ถอดถอนใจเสร็จแล้วก็เดินออกไปข้างนอก ร่างเล็กไม่ได้กลับเข้างาน แต่เดินเตร่อยู่ในสวน ตรงทางเข้างาน เพราะเกรงว่าจะไปพบกับคนที่ปลีกตัวพาสาวงามชมสวน จึงเดินอยู่แถวนี้ดีกว่า
“สวยจัง” เอ่ยพร้อมกับใช้นิ้วจิ้มลงที่กลีบดอกเบาๆ
“ชอบหรือ ที่จวนข้ามีหลายต้นนะ หากเจ้าชอบข้าจะให้คนส่งไปให้ที่เรือนเอาหรือไม่” จางตงลู่เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน ก่อนจะส่งยิ้มให้สตรีตัวน้อย
ซูเหยาเงยหน้าจากดอกไม้ทันที คิ้วสวยขมวดเป็นปม มองบุรุษรูปงามเบื้องหน้าอย่างสงสัย เพราะตอนที่เหล่าขุนนางมาทักทายฉินอ๋องไม่มีเขาคนนี้เลย จึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่
“ข้าตงลู่ แล้วเจ้าล่ะเป็นบุตรสาวผู้ใด” เอ่ยถามเพราะไม่รู้จริงๆ เขามาถึงทั้งเฟยหรงและซูเหยาก็ไม่อยู่ในงานแล้ว จึงไม่รู้ว่าสตรีตรงหน้าคือคนที่เขาตามหา และหมายจะปลิดชีพในคืนนี้ ส่วนซูเหยานั้นยิ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“ข้าน้อยไม่ใช่คนสำคัญ คงไม่จำเป็นต้องเอ่ยนามให้ผู้ใดรู้เจ้าค่ะ ดึกแล้วคงต้องขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” ตอบออกไปแค่นั้น เพราะไม่อยากคุยกับคนแปลกหน้า นางเดินผละออกมาคราแรกคิดจะกลับเข้างาน แต่พอนึกถึงถ้อยคำของฮ่องเต้ใจมันก็ห่อเหี่ยวขึ้นมา
“กลับเลยดีกว่า เขาอาจจะไปส่งองค์หญิง กว่าจะกลับมารับเราก็คงดึก ไม่แน่อาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าพาเรามาด้วย” พูดแล้วก็เล่นบทคนถูกทิ้ง ซูเหยาเดินออกมาบนทางเดินซึ่งเข้ามาในคราแรกลำพัง
“นั่นใคร ยามนี้งานยังไม่เลิกไยเจ้าถึงออกมา หรือว่าเป็นมือสังหาร” เสียงจากด้านบนกำแพงดังขึ้น ทำให้ซูเหยาต้องรีบยกมือขึ้นเหนือหัว
“อย่านะ! ข้าก็แค่เบื่อก็เลยออกมาก่อน กำลังจะกลับเรือน อย่ายิงลงมานะ” เสียงหวานตะโกนบอกทันที
“ช้าก่อนนางมากับข้า” เสียงเข้มดังขึ้นจากด้านหลัง จางตงลู่เดินตรงเข้ามายืนขนาบข้างคนตัวเล็ก
“ขออภัยท่านอ๋อง เชิญเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“อะ..อ๋องหรือ ท่านเป็นอ๋อง..ขะ..ขออภัยเพคะ ซูเหยามีตาหามีแววไม่” มือเล็กรีบประสานคำนับอีกฝ่ายทันที
“ซูเหยา นามของเจ้าสินะ” เสียงทุ้มอ่อนโยนเอ่ยออกมา
“เพคะ” ตอบรับแล้วก็ยิ้มแห้งใส่
“จะออกไปกระนั้นหรือ ไปสิข้าจะไปส่ง” ว่าแล้วเขาก็เดินนำคนตัวเล็ก แต่นางกลับท้วงเสียก่อน
“เดี๋ยวเพคะ หม่อมฉันมิบังอาจรบกวนท่านอ๋อง”
“รีบตามมา หากเดินคนเดียวพลธนูด้านบนไม่ปล่อยไว้แน่” ตงลู่เอ่ยแล้วก็เดินต่อ ได้ยินเช่นนั้นซูเหยาก็รีบวิ่งตามทันที ท่าทางของนางดูน่ารักและตลกไปพร้อมกัน ทำให้อ๋องหนุ่มอดขันไม่ได้
“เอาล่ะข้าส่งเจ้าแค่นี้นะ ต้องรีบเข้าไปรายงานตัวกับฝ่าบาท ไม่เช่นนั้นวันพรุ่งคงถูกตำหนิหูชาเป็นแน่”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“เอาไว้โอกาสหน้าข้าจะให้เจ้าตอบแทนแล้วกัน ข้าไปล่ะ กลับเรือนดีๆ นะซูเหยา” เสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปทางเดิม
“ใจดีจัง ไม่เหมือนใครบางคน ป่านนี้คงพรอดรักกับองค์หญิงจนเพลินใจอยู่สิท่า” เอ่ยพร้อมกับมุ้ยปากใส่ลมใส่ฟ้า ก่อนจะเดินไปยังรถม้าของจวน
“พระชายาไยถึงกลับมาคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ” คนบังคับรถม้าเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นนายหญิงออกมาผู้เดียว
“เขายังดื่มฉลองอยู่ด้านใน ไปส่งข้าทีแล้วค่อยกลับมารับท่านอ๋อง ข้ารู้สึกปวดหัว” เอ่ยแล้วก็เดินขึ้นรถม้า บ่าวรับใช้จึงรีบทำตาม เพราะอีกนานกว่างานเลี้ยงจะเลิก
ยามไฮ่ [21:00-22:59] เฟยหรงเดินหาชายาตัวน้อยของตนจนรอบตำหนัก แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงานางเลยสักนิด ออกมาสั่งให้คนของตนตามหาที่ด้านนอกก็ยังไม่พบ ทำให้เขาร้อนใจเป็นอย่างมาก
“ทำไมถึงไม่เชื่อฟังกันบ้างนะ” เสียงรอดไรฟันเปล่งออกมา ยามนี้ได้แต่รอฟังข่าวจากคนสนิทซึ่งอยู่ที่สวนข้างตำหนักชิงหลิว เพราะงานเลี้ยงนี้มีแต่ขุนนางและคณะทูต เหล่าคนสนิทของแต่ละคนจึงเข้าไม่ได้ ต้องอยู่ในจุดเฝ้ายามด้านนอกแต่ก็ไม่ได้ไกลกันนัก เพียงแต่มันอยู่คนละฝั่งเท่านั้น จึงไม่สามารถรู้ได้ว่ามีใครเข้าออกที่หน้าประตูวัง อีกทั้งการจะออกไปต้องมีคนนำ
“ท่านอ๋องคนของถานชิงบอกว่าเห็นพระชายาออกจากวังไปกับชายรูปงามเพคะ ลองให้คนออกไปดูก็น่าจะรู้”
“ขอบพระทัยองค์หญิง คนของกระหม่อมออกไปแล้ว”
“ท่านอ๋องคงจะรักและห่วงพระชายามาก ถึงได้กังวลเช่นนี้ ข้านึกอิจฉาจริงเชียว” เสียงตัดพ้อเปล่งออกมา พร้อมกับใบหน้าที่เศร้าหม่นลง
“อย่าทำเช่นนี้เลยองค์หญิง เราคุยกันแล้วไม่ใช่หรือ” เอ่ยพร้อมกับยิ้มอ่อนส่งให้
“คนของกระหม่อมมาแล้ว ขอตัวก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ” เฟยหรงปลีกตัวออกมาทันที
“พระชายากลับจวนไปแล้วขอรับ รถม้าพึ่งกลับมาจากไปส่งนางเมื่อครู่” ไป่หยารายงาน
“หึ!..กล้าขัดคำสั่งข้ากระนั้นหรือ บอกให้นั่งรอไยถึงกล้าออกไป” น้ำเสียงของฉินอ๋องขุ่นมัวยิ่งนัก
“ได้ยินว่าจะออกจากวังได้ก็ต้องมีคนในวังพาออกไป ไม่รู้ว่าพระชายาออกไปกับผู้ใดนะเพคะ”
ถานชิงเดินเข้ามายืนอยู่ด้านหลัง พร้อมกับเอ่ยออกมาเสียงดัง ยิ่งเพิ่มอารมณ์ให้เฟยหรงคุกรุ่นกว่าเดิม
“กลับจวน” น้ำเสียงเดือดดาลดังขึ้น ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับแม้แต่น้อย ฮ่องเต้หมายจะรั้งเอาไว้ก็ยังไม่ทัน จึงได้แต่ปล่อยไปเพราะงานก็ใกล้จะเลิกแล้ว
เฟยหรงกลับมาถึงก็ตรงไปยังเรือนของซูเหยาทันที ซึ่งยามนี้นางพึ่งจะอาบน้ำเสร็จ ถงลี่กำลังเช็ดตัวให้ส่วนฟูหลินนั้นเดินมาเลือกชุดนอนให้ผู้เป็นนาย
ปัง!! ประตูเปิดออกในทันที ทั้งสามต่างก็ตื่นตระหนกกับเสียงและภาพใบหน้าบึ้งตึงของฉินอ๋อง
“ออกไป!!” เขาชี้นิ้วสั่งสาวใช้ทั้งสอง ทำให้ทั้งคู่ต้องรีบลนลานออกมา ซูเหยายืนตัวสั่นงันงกเพราะตอนนี้มีแค่ชุดคลุมบางๆ ห่อหุ้มร่างกาย