7. งานเลี้ยง
ซูเหยาถูกจับแต่งกายจนเรียบร้อย ผมถูกม้วนตามแบบฉบับสตรีในวังแบ่งครึ่งแสกกลาง แต่งเติมด้วยเครื่องประดับระยิบระยับงดงาม อาภรณ์สีแดงอ่อนเข้าชุดกับสามี ฉินเฟยหรงลุกขึ้น มองมายังชายาของตน ริมฝีปากหนายกยิ้มพร้อมกับสายตาชื่นชมที่ส่งผ่านออกมา โดยที่เขาเองก็ไม่คิดจะปิดบังมันเลยสักนิด
“พระชายางามมากจริงๆ” ไป่หยาอดไม่ได้ที่จะชื่นชม
“จริงด้วย อาภรณ์ที่สวมใส่ก็ขับกับผิวพรรณดีเหลือเกิน ไม่น่าเชื่อว่าท่านอ๋องเราจะมีชายางดงามเพียงนี้”
เฟยหรงหันกลับมาหาคนสนิททั้งสอง ริมฝีปากที่ขยายกว้างในคราแรกหุบลง พร้อมกับนัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวจ้องมองทั้งคู่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ออกไปเตรียมรถม้า ใครให้พวกเจ้าเสนอหน้าอยู่ที่นี่” เสียงเข้มดุดันเปล่งออกมา ทำเอาทุกคนต่างก็สะดุ้ง
“เจ้าก็อย่ามัวแต่พิลี้พิไลอยู่ เสร็จแล้วก็มานี่” เอ่ยสั่งเสียงดุ ราวกับคนตัวเล็กทำสิ่งใดผิด ซูเหยาเดินเข้ามาหาช้าๆ สาวใช้สองนางก็ถอยออกไปรอด้านนอก
“ยื่นแขนออกมา” เอ่ยบอกพร้อมกับมองใบหน้างามนิ่ง ซูเหยาทำตามอย่างว่าง่าย มือขาวสวยยื่นออกมาช้าๆ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการทำสิ่งใด แต่พอเฟยหรงหยิบเอากำไลหยกสีเขียวออกมา ใจดวงน้อยก็เต้นรัวอีกครั้ง เพราะเขาจับข้อมือนางเบาๆ ก่อนจะบรรจงสวมใส่ให้
“มันคือของแทนใจที่เสด็จพ่อข้าให้เสด็จแม่ เก็บไว้ให้ดี เจ้าอยู่ในฐานะชายาข้ายามนี้ ต้องสวมใส่มันไว้ ผู้คนเห็นจะได้เชื่อว่าเราคือสามีภรรยากันจริงๆ” การกระทำดูอ่อนโยนยิ่งนัก แต่คำพูดกลับบาดลึกใจดวงน้อยเหลือเกิน
“เพคะ อย่ากังวลหม่อมฉันจะรักษาให้ดี” เอ่ยจบก็หมายจะดึงมือออก แต่ก็ถูกรั้งไว้เช่นเดิม เฟยหรงเดินออกไปพร้อมกับกุมมือเล็กให้เดินตาม ข้ารับใช้ต่างก็รีบตรงมาชื่นชมหนุ่มสาวซึ่งมองดูแล้วก็เหมาะสมกันยิ่งนัก
“จะไปแล้วหรือ” ไท่เฟยเอ่ยทักทั้งคู่ ทำทีไม่เห็นว่าบุตรชายจับมือสะใภ้กำมะลออยู่
“พ่ะย่ะค่ะ ป่านนี้เหล่าคุณนางและคณะทูตคงทยอยเดินทางไปกันแล้ว” แม้จะเอ่ยเช่นนั้นเฟยหรงก็ยังไม่ปล่อยมือ ซ้ำยังยืนตัวติดกับคนน้องจนชายผ้าแนบชิดกัน
“เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ ดูแลซูเหยาให้ดีล่ะ”
“อย่าได้ห่วงเลยพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะดูแลสะใภ้ของเสด็จแม่อย่างดี ไม่ให้นางออกห่างกายเป็นแน่” ฉินอ๋องเอ่ยกับมารดา แต่สายตานั้นอยู่ที่ใบหน้างาม ก่อนจะเดินออกไปนอกจวนเพื่อขึ้นรถม้า ซูเหยาเดินตามราวกับไร้วิญญาณ เพราะคำพูดของอีกฝ่ายมันทำนางคิดมาก
“ก็แค่สะใภ้ปลอมๆ” นางเตือนสติตนเอง ในขณะที่มองแผ่นหลังฉินอ๋อง จนมาถึงรถม้า ก็ถูกดันหลังให้ขึ้นไป
“ปล่อยได้แล้วเพคะบนนี้ไม่มีผู้อื่น หาได้มีความจำเป็นต้องแสร้งทำราวกับรักใคร่กัน”
“หึ!..ฉลาดดีนี่” ว่าแล้วก็ปล่อยมือทันที
“งานเลี้ยงนี้เจ้าอย่าได้ออกห่างจากข้า เพราะอาจมีคนที่เกี่ยวข้องกับการตามสังหารเจ้าในครานั้นด้วย” เฟยหรงเอ่ยเตือนคนตัวเล็กเอาไว้ก่อน
“ท่านอ๋องรู้ได้อย่างไรเพคะ เช่นนั้นก็ต้องรู้สิว่าเด็กคนนี้เป็นบุตรของผู้ใด” ซูเหยาถาม โดยลืมไปว่าตนเอ่ยบางสิ่งผิดพลาดออกมา ทำให้เฟยหรงจ้องเขม็งทันที
“เด็กคนนี้ เจ้าหมายถึงตนเองงั้นหรือ?”
ร่างเล็กขยับถอยห่าง ก่อนจะทำทีมองไปด้านนอก ริมฝีปากหนายกยิ้มเมื่อเห็นการกระทำของอีกฝ่าย ก่อนที่แขนแกร่งจะสอดเข้าไปรั้งเอวคอด ยกขึ้นมานั่งบนตักของตนอย่างง่ายดาย
“อ๊ะ!..ท่านอ๋อง ปะ..ปล่อยนะเพคะ”
“เมื่อครู่เจ้าหลุดบางสิ่งออกมา ข้าได้ยินชัดเจนว่าเจ้าเอ่ยเรียกตนเองว่าเด็กคนนี้ บอกข้ามาว่ามันหมายความเช่นใด” สองแขนกระชับร่างเล็กแนบตัว
“หม่อมฉันก็แค่พูดผิด ไยท่านอ๋องต้องเก็บมาใส่ใจ” ซูเหยารีบเถียงอีกฝ่ายเพราะเขายื่นหน้าเข้ามาใกล้เหลือเกิน
“หึ!..เรื่องเช่นนี้ใครจะมาพูดผิดกันล่ะ แต่ไม่เป็นไรหากเจ้าไม่บอก ข้าก็จะง้างปากเจ้าให้พูดเอง” เอ่ยจบก็หมายจะแนบริมฝีปากประกบ แต่มือขาวก็ยกขึ้นปิดไว้
“อย่านะเพคะ หม่อมฉันทาสีชาติมา หากท่านอ๋อง..เอ่อ..มันก็จะติดที่ปากของพระองค์ อีกอย่างหากบวมเหมือนวันนั้น หม่อมฉันคงได้อายขายหน้าผู้คนเป็นแน่” ถ้อยคำเบี่ยงเบนเปล่งออกมาอย่างอ้อนวอน
มือใหญ่ยกขึ้นมารั้งมือขาวของคนตัวเล็ก แต่ก็ยังคงกุมเอาไว้ ก่อนจะแนบริมฝีปากลงบนหลังมือแผ่วเบา ทำเอาคนที่อยู่บนตักถึงกับตัวสั่นเทา เมื่อรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นที่สัมผัสลง แต่บางสิ่งที่กลัวก็หนีไม่พ้น เมื่อใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้กันเกินไป ทำให้เฟยหรงอดใจไม่ได้
ท้ายทอยงามถูกรั้งเข้าหา พร้อมกับริมฝีปากอุ่นแนบลง ลิ้นสากสอดแทรกเข้าไปหาความหวานทันที เฟยหรงกอดรัดอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแนบชิด ทำให้ชายาตัวน้อยไม่อาจดิ้นหนีหรือผลักไสพาตนออกห่างเขา
“ท่านอ๋องถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ไป่หยารายงานอยู่หน้ารถม้า ทำให้ฉินอ๋องต้องผละออกจากริมฝีปากอิ่มอย่างเสียดาย แต่ก็ยังไม่วายดูดเม้มริมฝีปากนางเพื่อแกล้ง
“อ๊ะ!..ไยพระองค์ถึงรังแกหม่อมฉันเช่นนี้ ไหนบอกว่าจะไม่ยุ่งไง” ซูเหยาตำหนิอีกฝ่ายทันที น้ำตาแทบจะคลอเบ้าอยู่แล้ว ใบหน้าก็งอง้ำจนเฟยหรงใจหาย
“อย่าร้อง เดี๋ยวต้องเข้างานแล้ว มาข้าเช็ดให้” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นเกลี่ยรอยสีชาดที่มันเลอะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาที่ดวงตาคู่สวย
“อย่าร้องนะ ข้าจะพยายามไม่รังแกเจ้าอีก หากเจ้าไม่เต็มใจ” เขาเอ่ยบอกเสียงเบาราวกับรู้สึกผิด แต่ประโยคหลังนี่สิ ฟังดูแล้วมันช่างขัดใจยิ่งนัก
“ใครเขาจะเต็มใจกับเรื่องแบบนี้กัน” พูดจบก็หันหนี
“หึ!..ข้าก็เห็นเจ้าตอบรับทุกครั้งไม่ใช่หรือ” เอ่ยเย้าหน้าตาย ทำเอาคนฟังถึงกับเถียงไม่ออก มันจริงอย่างที่เขาบอก เขาสามารถชักนำให้คล้อยตามโดยขัดขืนไม่ได้จริงๆ
“เอาล่ะรีบลงเถอะ ไม่งั้นข้าจะทำอย่างอื่นต่อนะ” เสียงทุ้มของเฟยหรงเปล่งออกมาเช่นนั้น มันก็ทำให้ซูเหยาต้องรีบลุกออกจากตักของเขาทันที นางยืนรอให้ฉินอ๋องออกไปก่อน หลังจากนั้นจึงเดินตาม
โดยมีสามียืนรอรับอยู่ด้านล่าง ท่ามกลางสายตาของเหล่าขุนนางที่มางานเลี้ยง ต่างก็ยืนรอดูชายาของฉินอ๋องที่เขาไม่ยอมให้ออกจากจวน ซ้ำยังมีคนปล่อยข่าวลือว่านางหน้าตาอัปลักษณ์ จนฮ่องเต้หมายจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง พระราชทานสมรสให้ฉินอ๋องอีกครั้ง
ร่างเล็กเดินออกมายืนมองกำแพงสูงเบื้องหน้าเพราะไม่คิดว่าจะได้มาเห็นสถานที่จริงๆ ในยุคโบราณ จนลืมไปว่าสามีนั้นยืนรออยู่ด้านล่าง แต่เฟยหรงก็ไม่ได้ขัดจังหวะนาง เพราะภาพที่เขาเห็นมันงดงามยิ่งนัก ชายกระโปรงพลิ้วไหวตามสายลม ราวกับสตรีในภาพวาดซึ่งหาที่ติไม่ได้ รอยยิ้มบางๆ เผยออกมาพร้อมกับดวงตาเปล่งประกาย ไม่ต่างจากตาของกวางน้อยที่มันกลมโตน่ามอง
แม้ผมของนางจะถูกม้วนจัดแต่งอย่างประณีต ประดับด้วยปิ่นแล้ว แต่พอถูกลมก็มีปอยผมหลุดรุ่ยลงมา ขับให้ใบหน้านี้เนียนใสน่าหลงใหลยิ่งนัก เพราะการแต่งหน้าอันละเอียดอ่อนเน้นความงามตามธรรมชาติ ทำให้ยามนี้ซูเหยาไม่ต่างจากเทพธิดาเลย
“น้องหญิงลงมาเถอะ งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว” เสียงทุ้มอ่อนโยนต่างจากความเป็นจริงดังแว่วมา เรียกสติให้คนที่ชื่นชมกำแพงวังถึงกับตกใจ หันมายิ้มแห้งใส่เพราะรู้ตัวว่าทำอีกฝ่ายเสียเวลาแล้ว
บทละครที่ทั้งคู่ตกลงกันไว้จึงเริ่มขึ้น สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องมายังเขาและนาง เฟยหรงต้องคอยกระตุกมือเล็กเบาๆ ทุกครั้งเวลาที่นางลืมตัว เอาแต่ชื่นชมกำแพงวัง ที่ตั้งขนาบข้างมีแค่ทางเดินพอให้รถม้าเข้าเท่านั้น
“ด้านบนมีทหารไหมเพคะ” กระซิบถามอย่างสนใจ
“มี เอาไว้สังหารคนที่ลอบเข้าวัง”
“หูว..แล้วเคยมีคนแอบเข้าไปได้ไหมเพคะ”
“ตายตั้งแต่หน้าประตู” คำตอบนี้ทำเอาเท้าเล็กถึงกับชะงัก ก่อนจะเดินต่อเพราะแรงดึงของสามี
“แบบนี้ก็เหมือนถูกขัง คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ดีที่ท่านอ๋องอยู่ข้างนอกนะเพคะ จะไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องรออนุญาต” เอ่ยไปเรื่อยจนคนฟังถึงกับแอบยิ้ม
“พ้นกำแพงแล้วต้องสงบเสงี่ยม และห้ามออกห่างจากข้าด้วย” เอ่ยพร้อมกับกระชับมือใหญ่ราวกับจะปลอบให้อุ่นใจ ซึ่งมันก็คลายกังวลให้ซูเหยาได้ไม่น้อย
ตำหนักชิงหลิว
เสียงดีดพิณแว่วมาให้ได้ยินเมื่อเริ่มเข้ามาในอณาบริเวณที่จัดงาน แม้จะเป็นยามค่ำคืนแต่ที่นี่ก็จุดคบเพลิงจนสว่างจ้า มองเห็นผู้คนได้แต่ไกล นางกำนัลเดินไปมาให้วุ่น เหล่าขุนนางต่างก็พูดคุยทักทาย บางคนก็ยืนชมต้นไม้พฤษานานาพันธุ์ที่ด้านนอกไม่มีให้ดู การตบแต่งดูหรูหราเป็นอย่างมาก ทำให้ซูเหยาอดตื่นเต้นไม่ได้
“โอ๊ยแม่เจ้า!..นี่มันงานเลี้ยงไฮโซชัดๆ”
มือขาวยกขึ้นมาเกาะแขนสามีปลอมๆ ของตน เพราะผู้คนมากมายยิ่งนัก พวกเขาล้วนแต่แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามไม่ต่างจากตนและสามี แต่แปลกที่ทุกคนเอาแต่สนใจนางและฉินอ๋อง จ้องมองไม่วางตากันเลยทีเดียว
“ฉินอ๋องคิดว่าพระองค์จะไม่ยอมมาเสียแล้ว” ราชครูเส้าเอ่ยทักทายทันที ก่อนจะหันมาหาสตรีตัวน้อยข้างกายเฟยหรง ท่าทางใคร่รู้ของเขาปิดไม่มิดเลยสักนิด
“นี่พระชายาของข้า ซูเหยา”
“ถวายพระพรพระชายาซูเหยา งดงาม งดงามยิ่งนัก” เอ่ยชมพร้อมกับยืนมองแบบไม่เกรงใจสามีนางเลย ยามนี้เฟยหรงขบกรามแน่น อารมณ์เริ่มขุ่นมัวอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เพราะไม่กี่อึดใจก็มีเหล่าขุนนางคนอื่นๆ เดินเข้ามาทักทายอีก
จึงต้องยืนพูดคุยกันก่อนถึงที่นั่งอยู่นาน และคนสุดท้ายที่เดินเข้ามาก็คือองค์หญิงถานชิง ผู้ที่อาสามาเป็นทูต และหมายหมั้นจะแต่งกับฉินอ๋องให้ได้
เพราะเขาคือพระอนุชาเพียงองค์เดียวของฮ่องเต้ และน่าจะเป็นคนที่ได้สืบทอดบัลลังก์ต่อไปในภายหน้า เพราะฮ่องเต้นั้นไม่มีพระโอรสหรือพระธิดาเลย จึงฝากความหวังไว้ที่เฟยหรง นี่จึงเป็นสาเหตุที่อยากให้อนุชาตนสมรสกับสตรีที่คู่ควร เพื่อสืบราชบัลลังก์ต่อไป
“ถวายพระพรท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันถานชิง รอโอกาสพบพระองค์มาหลายคราแล้ว วันนี้โชคดีเหลือเกิน” เสียงหวานส่งมาน่าเคลิบเคลิ้มยิ่งนัก
“กระหม่อมยินดีที่ได้พบองค์หญิงเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” เฟยหรงไม่เอ่ยเปล่า แต่ผละมือออกจากชายาตน รับมือขององค์หญิงต่างแคว้นเอาไว้อย่างอ่อนโยน
“ชิ!..เห็นคนสวยแล้วก็ทิ้งกันเลยนะอีตาอ๋อง เจอกันครั้งแรก แบบนี้นี่เอง เพราะเขาไม่เคยเจอองค์หญิงมาก่อนสินะ ถึงได้ปฎิเสธการแต่งงาน วันนี้ได้เจอคงถูกใจล่ะสิท่า เป็นแบบนี้ก็ดี เราจะได้ไปตามทางสักที”