6. ปากไม่ตรงกับใจ
“ท่านอ๋อง เอ่อ..เป็นอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” ไป่หยาอดไม่ได้จึงถามทันทีที่เดินเข้ามา เพราะผู้เป็นนายนั่งนิ่งไม่ไหวติง ดูเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์
“คืนนี้ข้าจะค้างที่นี่สั่งคนให้เตรียมห้องด้วย” เอ่ยจบเขาก็ลุกเดินออกไป แต่ก็ยังหันกลับมามองรอบห้องนี้ ซึ่งมันมีแรงดึงดูดบางอย่าง ให้เขาอยากกลับเข้ามาอีก
“ท่านอ๋องจะค้างที่นี่ ข้าฟังผิดไปหรือไม่ต้าจู”
“รีบทำตามที่ท่านอ๋องบอกเถอะ ไม่กลัวหลังลายหรือ”
“จริงด้วย” ว่าจบก็รีบแยกตัวไปหาพ่อบ้านทันที ส่วนต้าจูนั้นเดินตามผู้เป็นนายไปยังห้องโถงของจวน ซึ่งมีมารดาและซูเหยานั่งปลอบกันอยู่
“แม่ขอโทษแทนเฟยหรงด้วยนะ ไม่คิดว่าเขาจะรังแกเจ้าเช่นนี้ เห็นทีต้องสั่งสอนให้มากหน่อย” ไท่เฟยเอ่ยพร้อมกับยื่นมือออกมาลูบหัวนางเบาๆ
“อย่าตำหนิท่านอ๋องเลยเพคะ ซูเหยามีชีวิตรอดมาได้ถึงทุกวันนี้ก็เพราะท่านอ๋องช่วย หากมีสิ่งใดที่พอจะตอบแทนได้ หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ” เสียงสั่นเครือเปล่งออกมา สะท้อนความรู้สึกภายในใจที่กล้ำกลืนอยู่ไม่น้อย
“เจ้าอยากกลับไปหาครอบครัวหรือไม่” ไท่เฟยเอ่ยถามเสียงอ่อน เพราะอดสงสารสตรีตัวน้อยนี้ไม่ได้
“หม่อมฉันก็อยากรู้ว่าตนเองเป็นใครมีครอบครัวหรือไม่ ผ่านมาจะสามเดือนแล้วยังไม่มีข่าวใครตามหาเลย หม่อมฉันอาจจะไม่เป็นที่ต้องการของครอบครัวก็ได้เพคะ” เสียงตัดพ้อดังขึ้นอย่างน่าสงสาร
เฟยหรงยืนนิ่งอยู่ด้านนอก ได้ยินทุกถ้อยคำของชายาตัวน้อย ทำให้ใจแกร่งถึงกับวูบไหวเพราะมันจริงอย่างที่นางเอ่ย ซูเหยานั่นน่าสงสารเช่นที่มารดาพูดกับเขา นางจำสิ่งใดไม่ได้แม้แต่ชื่อตนเอง หากรู้ว่าตนยังถูกตามล่าคงคิดมากกว่านี้เป็นแน่ ที่เขาไม่ให้นางออกจากจวนก็เพราะเหตุนี้ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตายนางไม่ใช่คนธรรมดา
“คิดได้เช่นนั้นก็ทำตัวดีๆ อยู่ที่นี่ก็อย่าสร้างเรื่อง เอาเป็นว่าข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเจ้าอีก ต่อให้สักวันข้าจะรับชายาตัวจริงเข้ามา ข้าก็จะไม่ไล่เจ้าไป อยู่ดูแลเสด็จแม่ข้าไปก็แล้วกัน หากเจ้าสำนึกบุญคุณต่อข้าจริง”
เฟยหรงเปล่งเสียงพร้อมกับเดินเข้ามา ก่อนจะนั่งลงข้างมารดาซึ่งมองเขาตาขวาง เพราะคำพูดไร้การถนอมน้ำใจที่เขาพ่นออกมา
“ดี!..จำคำของเจ้าไว้นะเฟยหรง ห้ามยุ่งกับซูเหยาอีก เมื่อใดที่เจ้าทำตรงข้ามกับคำพูด แม่จะเรียกเจ้าหมาทันที” ไท่เฟยเอ่ยพร้อมกับส่งสายตาดุใส่บุตรชาย
นางยิ้มหยันราวกับมองเห็นอนาคตของบุตรชาย ทำเอาเฟยหรงถึงกับหน้าถอดสี เมื่อได้เห็นใบหน้าของคนตัวเล็ก และริมฝีปากอิ่มที่ยังคงบวมและขึ้นสีเรื่อน่ามอง นัยน์ตาคมหยุดลงตรงนั้นเนิ่นนาน
“ฮะแฮ่ม” ไท่เฟยส่งเสียงขัดจังหวะ ในใจก็นึกขันกับท่าทีของบุตรชาย ทำปากดีปากแข็งใส่สาวงามตรงหน้า
ทั้งที่อยากเข้าใกล้แทบตายแต่ก็ทำเป็นหยิ่งทะนงใส่ นางจึงคิดว่าจะรอดูวันที่บุตรชายกระวนกระวายจนทนไม่ได้ เพราะสองสามวันมานี้เฟยหรงมักจะกลับมาทานอาหารด้วยไม่ขาด และอยู่นานขึ้นจนน่าสงสัย พอมาวันนี้ก็ตรงไปที่เรือนของซูเหยา สุดท้ายก็อดใจไม่ไหวล่วงเกินชายากำมะลอของตนจนได้ เช่นนี้แล้วยังจะทำปากแข็งอีก เห็นทีนางคงต้องสอนซูเหยาให้เอาคืนเสียบ้าง
“ใกล้ถึงเวลาอาหารแล้ว หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ” เอ่ยจบก็ลุกขึ้นคำนับทั้งสอง ก่อนจะเดินออกไปจากห้องโถง โดยมีสายตาของเฟยหรงมองตาม
“มองทำไม ไม่กลัวจะกลายเป็นหมาหรือ” น้ำเสียงของมารดาเย้ยหยันอย่างเห็นได้ชัด จนบุตรชายได้แต่กลืนน้ำลายเหนียวลงคอ
“ลูกก็แค่ขัดตากับชุดของนาง ยังไม่ถึงวันงานก็รีบเอาออกมาใส่ คงไม่เคยเห็นอาภรณ์งามเช่นนี้กระมัง” ฉินอ๋องเอ่ยเสียงหยันออกมาบ้าง พร้อมกับทำหน้าไม่สนใจ
สุดท้ายก็ถูกมารดาตำหนิจนหูชา ในใจจึงคาดโทษสตรีตัวน้อยที่เป็นต้นเหตุ รอเวลาเอาคืนนางเท่านั้น เพราะลับหลังไท่เฟยแล้ว ซูเหยาไม่ได้สงบเสงี่ยบเรียบร้อยอย่างที่เห็น นางมักจะต่อปากต่อคำกับเขาไม่เคยยอมสักครา
ตกเย็นหลังอาหารค่ำ ร่างสูงของเฟยหรงยืนอยู่ในสวน เขามองต้นเหมยที่เคยปลูกร่วมกับสตรีอันเป็นที่รัก มันกำลังผลิดอกเบ่งบานส่งกลิ่นหอมรัญจวน พลันสายตาก็หันไปเห็นชายาตัวน้อยเดินออกมาพร้อมกับตะกร้า
“ไยไม่เก็บบนต้นล่ะเพคะ”
“เก็บบนพื้นนี่แหละ มันไม่ได้สกปรกอะไร อีกอย่างดอกที่อยู่บนต้นก็ปล่อยให้มันเบ่งบานไปเถอะ แค่กลีบที่ล่วงหล่นนี้ก็เพียงพอแล้ว” ซูเหยาเอ่ยเสียงหวานน่าฟัง
“เจ้าจะเอาของพวกนี้ไปทำไม”
“ท่านอ๋อง” ซูเหยาหันมาคำนับอีกฝ่าย “จะเอาไปทำน้ำยาแช่ผ้าเพคะ กลิ่นจะติดทนนานอยู่ได้ทั้งวัน” คนตัวเล็กตอบเสียงเรียบ ต่างจากตอนที่คุยกับคนของตน
“งั้นหรือ เช่นนั้นก็เก็บไปมากหน่อย ทำเผื่อข้าด้วย” บอกแล้วก็เดินหนีกลับห้องพักของตน ซูเหยามองตามอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ปล่อยทิ้งไม่เก็บมาคิด
ค่ำคืนดึกดื่นเรือนหลังยังคงมีแสงไฟส่องสว่าง เพราะซูเหยายังคงหง้วนกับการปรุงยา แม้จะถูกกักตัวอยู่แต่ในจวน แต่ก็ใช่ว่านางจะไม่รู้ข่าวข้างนอก ถงลี่และฟูหลินคอยสืบข่าวให้อยู่เสมอ จึงได้รู้ว่าคณะทูตจากแคว้นที่กำลังจะเดินทางมานั้นเชี่ยวชาญเรื่องพิษมาก
“ไยเจ้าถึงยังไม่นอน” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ก่อนจะปีนเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ คิ้วสวยขมวดเป็นปมเมื่อเห็นการกระทำของเขา เพราะเขาจะเดินเข้าทางประตูก็ได้แต่ไม่ทำ
“ปรุงยาเพคะ” ตอบสั้นๆ ก่อนจะหันมายังเตาไฟต่อ เพราะไม่อยากมองหน้าอีกฝ่าย เห็นเขาทีไรก็นึกถึงเรื่องเมื่อกลางวันทุกที เกิดมายังไม่เคยถูกจูบไม่ว่าในยุคปัจจุบันหรือยุคนี้ พอเห็นเขาปีนเข้ามาซูเหยาเลยเกิดอาการประหม่าจนไม่กล้าสบตา
“แล้วทำไมไม่ให้คนมาช่วย” เอ่ยแล้วก็เดินเข้ามาหยุดตรงหน้าคนตัวเล็ก เขาชะโงกหน้าก้มมองหม้อที่กำลังเดือด กลิ่นไอของสมุนไพรโชยมาแม้จะไม่หอมนัก แต่มันก็ไม่ได้แย่จนเขารับไม่ได้ จึงสามารถยืนมองคนตัวเล็กปรุงยาต่อ
“ดึกแล้วไม่ควรรบกวนเวลาพักของผู้อื่น เรื่องพวกนี้ปกติหม่อมฉันก็ทำเองอยู่แล้ว เพราะทุกอย่างต้องชั่งตวง แล้วเหตุใดท่านอ๋องไม่ทรงบรรทมล่ะเพคะ” ถามออกไปเช่นนั้นเอง เพราะไม่อยากให้ในห้องเงียบเกินไป แม้จะไม่ได้มองเขาแต่ก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายจ้องอยู่
ซูเหยาลุกขึ้นเพื่อยกหม้อต้มยาลง “มันร้อนเดี๋ยวข้ายกเอง” เอ่ยพร้อมกับแย่งผ้าในมือเล็ก ก่อนจะหันมาถามสตรีตัวน้อย “เอาไว้ตรงไหน”
“ตรงนั้นเพคะ ระวังนะมันร้อน” เอ่ยบอกพร้อมกับเดินตามเขามายังโต๊ะเล็ก หม้อยาถูกวางลงบนถาดหิน ร่างเล็กจึงนั่งลงบนพรม ก่อนจะรินยาใส่กะทะขนาดเล็กซึ่งตั้งอยู่บนเตาไฟ เพื่อเคี้ยวให้ข้นหลังจากนั้นก็บีบใส่แป้นพิมพ์
“ยานี้มีไว้แก้อะไร” เฟยหรงถามอย่างสนใจ เขานั่งมองคนตัวเล็กหยิบนู่นหยิบนี่จนเพลิน
“เป็นเพียงยาระงับพิษไม่ให้เข้าสู่หัวใจเพคะ การแก้พิษไม่ว่าจะร้ายหรือไม่ ล้วนแต่ต้องรู้ก่อนว่ามันเป็นพิษชนิดใดจึงจะปรุงยาแก้ขึ้นมาได้ เว้นแต่ว่าต้องการใช้พิษชนิดนั้นๆ จึงจะปรุงยาแก้เอาไว้ด้วย ได้ยินว่าแคว้นถงไห่ส่งทูตมา ที่นั่นเชี่ยวชาญยาพิษมาก หม่อมฉันเลยอยากทำให้พระองค์ติดตัวเอาไว้” ซูเหยาร่ายยาวเพื่อจบข้อสงสัยอีกฝ่ายในคราเดียว เพราะถ้าตอบสั้นๆ เขาคงถามนางอีกแน่
“เจ้าอดหลับอดนอนเพื่อปรุงยาให้ข้ากระนั้นหรือ” เสียงเข้มที่เคยเอ่ยเมื่อคราก่อน เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนในฉับพลัน ซ้ำยังขยับเข้ามาใกล้จนซูเหยาต้องถอยออก ทั้งที่มือก็ยังกวนยาในกะทะอยู่
“กลัวข้าหรือ ก็บอกแล้วไงว่าจะไม่ยุ่งกับเจ้าอีก”
“ไม่ยุ่งอะไรของท่านกัน ยามนี้ก็เอาตัวเข้ามาใกล้เพียงนี้ ยังจะบอกว่าไม่ยุ่งอีก คิดอะไรของเขาเนี่ยะ”
“หม่อมฉันแค่อยากตอบแทนบุญคุณท่านอ๋องที่ช่วยชีวิตเพคะ ยาเหล่านี้อาจช่วยได้ยามคับขัน”
“อย่างนี้เองหรอกหรือ ก็ดี อย่างน้อยเจ้าก็ทำตัวเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ยังไงก็อย่าอยู่ดึกมากนักล่ะ เสร็จแล้วก็รีบเข้านอน วันพรุ่งต้องไปงานเลี้ยงอีก” เอ่ยจบก็ลุกออกจากพรม ซึ่งมันเป็นผืนเดียวกับคนตัวเล็กนั่ง
แม้ใจแกร่งจะวูบไหวเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่สนใจ แต่ความหยิ่งทะนงเขาก็มีมากเกิน นางเย็นชาเขาจึงต้องแสดงไม่ต่างกัน ร่างสูงปีนออกไปทางหน้าต่างเช่นเดิม จนกระทั่งความเงียบเข้าครอบคลุมภายในห้อง ใบหน้าหวานจึงเงยขึ้นช้าๆ หันไปยังหน้าต่าง
“ระหว่างเธอกับเขาก็คงเป็นได้เพียงเรื่องราวของละคร สักวันมันก็ต้องจบลง ซูเหยาเธอต้องเข้มแข็งนะ” เอ่ยบอกตนเองเสียงเบา เพราะไม่อยากให้ใจนี้คิดไปไกล สิ่งที่เขาทำเมื่อกลางวันมันก็แค่อารมณ์ หาได้เกิดจากความพอใจหรือรักใคร่ชอบพอไม่ ฉินอ๋องก็เพียงแต่ใช้อำนาจกับนาง
สายของวัน ซูเหยาก็ยังไม่ตื่นเพราะนอนเกือบรุ่งสาง แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาปลุก เพราะท่านอ๋องรับสั่งห้ามรบกวนนางโดยเด็ดขาด จนกว่าจะถึงเวลาไปงานเลี้ยงในช่วงค่ำ แต่ก็ใช่ว่านางจะนอนทั้งวัน ใกล้เที่ยงซูเหยาก็ตื่นขึ้นมา แต่ก็ยังขลุกอยู่ในห้องยาเช่นเดิมจนบ่ายคล้อย
“พระชายาอาบน้ำแต่งตัวเถอะเพคะ”
“ได้เวลาแล้วหรือ” เสียงหวานหันมาถามสาวใช้ แล้วยิ้มหวานส่งให้ ก่อนจะสั่งให้ฟูหลินจัดการเก็บเตายา
ร่างเล็กเปลือยกายอยู่ในบ่อแช่น้ำ ซึ่งแยกออกมาติดกับห้องนอน กลิ่นหอมของสบู่และยาสระผมคละคลุ้งไปทั่วห้อง ทำให้คนสูดดมรู้สึกผ่อนคลายจนเกือบลืมเวลา
“ขึ้นได้แล้วเพคะ” ฟูหลินเดินเข้ามาพร้อมกับผ้าคลุม ใบหน้าหวานส่งยิ้มให้ก่อนจะกวักน้ำใส่อีกฝ่ายเพื่อหยอกเย้า ร่างเย้ายวนก้าวขึ้นจากขอบบ่อช้าๆ โดยมีผ้าเปียกห่อหุ้มปิดบังเอาไว้ แต่มันก็แนบชิดจนมองเห็นส่วนเว้าส่วนโค้ง และเม็ดทับทิมสีสดอย่างเด่นชัด
“เสียดายแทนท่านอ๋องเสียจริงเพคะ ขนาดหม่อมฉันเป็นสตรีแท้ๆ ยังหลงใหลในความงามของพระชายาเลย นับวันก็ยิ่งสดใสผิวกายน่าสัมผัส บุรุษที่ได้ครอบครองพระองค์ในวันหน้าคงเป็นคนที่โชคดีมากเป็นแน่”
ถงลี่เอ่ยขึ้นหลังจากเดินเข้ามาตามเช่นกัน ยามนี้ทั้งคู่จึงช่วยกันเช็ดตัวให้ผู้เป็นนาย ผมเผ้าที่เปียกก็ถูกเช็ดจนเกือบแห้ง ก่อนจะออกมาแต่งตัวด้านนอก
“ท่านอ๋องสั่งให้คนเอาชุดใหม่มาให้ เป็นแบบเดียวกันกับเมื่อวาน แต่คนละสีเพคะ”
“ทำไมล่ะพี่ฟูหลิน ชุดเมื่อวานก็ไม่ได้เปื้อนนี่ ใส่ไม่นานเลย” ถามอย่างสงสัย พร้อมกับขมวดคิ้วด้วย
“ก็แค่อาภรณ์ ข้าสั่งให้เปลี่ยนก็คือเปลี่ยน จำเป็นต้องเรื่องมากด้วยหรือ” เสียงเย็นชาของเฟยหรงดังขึ้น ร่างสูงในอาภรณ์แดงเลือดหมูตัดลายมังกรสีทองเดินเข้ามา ผมถูกเกล้าขึ้นสูงมีเครื่องครอบสีทองประดับปักด้วยปิ่นมังกรทอง มองแล้วน่าเกรงขามยิ่งนัก
ซูเหยานั่งมองคนตัวโตอย่างชื่นชม ก่อนจะเบือนหนีเมื่อเห็นเขามองมาเช่นกัน ใจดวงน้อยเต้นรัวนั่งนิ่งปล่อยให้สาวใช้แต่งผมให้จนเรียบร้อย โดยมีสายตาของเฟยหรง มองตามจนหายเข้าไปในห้องข้างๆ
“ไม่คิดว่าท่านอ๋องจะมานั่งเฝ้าเช่นนี้นะเพคะ”
“นั่นสิ ท่าทางก็สง่างามนัก แต่ก่อนมีงานเลี้ยงท่านอ๋องก็ไม่ได้เข้ามาที่จวนนี้ เราเลยไม่มีโอกาสได้เห็นจริงไหมฟูหลิน บุญตายิ่งนัก”
“ขนาดนั้นเลยหรือพี่ทั้งสอง”
“ใช่แล้วเพคะ หากไม่มีพระชายา ท่านอ๋องก็คงไม่มาที่นี่” ถงลี่เอ่ยถ้อยคำชักนำผู้เป็นนาย
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พี่อย่าได้เอ่ยออกมาอีกนะ รีบแต่งตัวเถอะ ประเดี๋ยวท่านอ๋องจะกริ้วเอาอีก” ซูเหยารีบเอ่ยไปเรื่องอื่น