บท
ตั้งค่า

5. กวนหลิงหลง

หลังจากวันนั้นเฟยหรงก็สั่งให้คนสืบเรื่องของซูเหยาอย่างจริงจัง แต่ก็ไม่ได้ง่ายเลยเพราะเวลาล่วงเลยมาสองเดือนกว่าแล้ว จึงทำให้ตามหาลำบาก แต่ยังดีที่เขามีอำนาจมากจึงสามารถขอดูทะเบียนราษฎร์จากเมืองชูได้

“นี่พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” ไป่หยาส่งหนังสือให้ผู้เป็นนาย

เฟยหรงเปิดอ่านพร้อมกับขมวดคิ้วเป็นปมทันที

“กวนหลิงหลง ผูกคอตายในคืนเข้าหอกระนั้นหรือ แต่นางถูกแทงตอนที่เราพบนี่” ฉินอ๋องอ่านประวัติของสตรีตัวน้อยที่ให้คนของตนไปสืบมา

“เรื่องนี้คนในจวนสกุลกวนต่างก็เชื่อเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ จึงไม่ติดใจเอาความ กระหม่อมสืบถึงตัวตนของเจ้าบ่าว จึงได้รู้ว่ามีฐานะอื่นปกปิดเอาไว้ด้วย เห็นทีสาเหตุที่นางถูกสังหารอาจมีเรื่องอื่นซ่อนไว้อีกพ่ะย่ะค่ะ” ฟางหลงรายงาน ก่อนจะถอยออกมายืนไม่ไกลจากโต๊ะของผู้เป็นนาย

ยามนี้ร่างสูงสง่าของฉินอ๋องลุกออกมาจากที่นั่งอ่านตำรา ตรงมายังโต๊ะกลางห้อง คนสนิทรีบรินชาให้ทันที กลิ่นอายหอมกรุ่นลอยมาเตะจมูก

“นี่ไม่ใช่ชาที่ข้าดื่มประจำ ไปเอามาจากไหนกัน”

“เป็นชาจากจวนใหญ่พ่ะย่ะค่ะ ไท่เฟยให้คนส่งมา”

เมื่อรู้ว่าเป็นของจากมารดาเฟยหรงก็ไม่ลังเลที่จะดื่ม รสชาติติดลิ้นจนเขาต้องชิมบ่อยๆ

“มีอาหารด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าเป็นอาหารโปรดของพระองค์ด้วย” ว่าจบไป่หยาก็สั่งให้บ่าวรับใช้ยกเข้ามา

อาหารถูกวางลงบนโต๊ะซึ่งมีอยู่ถึงห้าอย่าง ล้วนแล้วแต่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย หน้าตาก็น่ากินเอามากๆ สองสหายถึงกับยืนกลืนน้ำลายกันเลยทีเดียว

“พวกเจ้าก็นั่งลงทานด้วยกันเถอะ” เฟยหรงเอ่ยกับคนของตน เพราะอาหารนี่อย่างไรเสียเขาก็กินไม่หมด ยามที่อยู่กันลำพังฉินอ๋องก็ไม่ใช่คนถือตัว เพราะสองคนนี้ต่างก็เติบโตมาด้วยกัน ถือว่าเป็นสหายที่สนิทก็ไม่ผิด

“แม่ครัวของจวนทำอาหารรสชาติดีขึ้นมากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ไปเมื่อห้าวันก่อนยังรสชาติเดิมอยู่เลย” ไป่หยาเอ่ยขึ้น เขาคีบอาหารที่แสนอร่อยเข้าปากอย่างเป็นสุข

“ซูเหยาเป็นคนทำ” เฟยหรงเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะลงมือทานอาหารตรงหน้าจนข้าวหมดถ้วย และเติมมันอีกจนกระทั่งอิ่ม ต่อด้วยขนมหวานตบท้ายซึ่งถูกแช่เย็นไว้

“ท่านอ๋อง ซูเหยานางทำอาหารอร่อยยิ่งนัก”

“ใช่ๆ กระหม่อมไม่เคยทานรสมือใครอร่อยเท่านี้มาก่อนเลย ช่างเป็นบุญปากยิ่งนัก” ไป่หยาเอ่ยจบก็ยกมือขึ้นตีพุงของตน ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อย่อยอาหาร

เฟยหรงมองคนสนิทของตนก็นึกขำพร้อมกับส่ายหัว เพราะทั้งสองถึงขั้นต้องปลดเข็มขัดออก เพราะดูท่าคงจะอึดอัดมากเป็นแน่ ตัวเขาเองก็ไม่ต่างกันนัก เพียงแต่ปลดตะขอไปก่อนจะลงมือทานคำต่อไปแล้ว เพราะแค่ชิมรสไปก็รู้ว่าตนคงไม่พอกับข้าวถ้วยเดียวเป็นแน่

“เอาล่ะแยกย้ายกันไปพักเถอะ”

เมืองชู

“นายท่านข้าน้อยสืบรู้แล้วว่าหลิงหลงอยู่ที่ใด”

“หึ!..จัดการเสียให้สิ้น” เสียงเหี้ยมเปล่งออกมา

“เอ่อ..ดูท่าจะเป็นเรื่องยากขอรับ นางอยู่ที่จวนฉินอ๋อง ปะ..เป็นพระชายาที่ฉินอ๋องพึ่งรับเข้ามาขอรับ”

คิ้วหนาผูกกันเป็นปมพร้อมกับขบกรามแน่น เมื่อรู้ว่าสตรีที่ตนตามหานั้นอยู่ในสถานที่เข้าไม่ถึง

“เจ้าสืบมาไม่ผิดแน่นะ”

“ไม่ผิดขอรับ ข้าน้อยสืบตั้งแต่กระท่อมที่เชิงเขา ซึ่งเป็นที่พักค้างแรมของฉินอ๋องในคืนนั้น เราก็ตามหาตัวนางไม่พบอีกเลย คราแรกข้าน้อยก็ไม่แน่ใจ เลยลองซื้อตัวคนในจวนฉินอ๋องดู ถึงได้รู้ว่านางถูกพาไปรักษาที่นั่น แต่ไม่รู้เหตุใดจึงกลายมาเป็นชายาของฉินอ๋องได้ หน้าตาอัปลักษณ์เช่นนั้นหาได้มีที่ใดน่าอภิรมย์ไม่ ข้าน้อยยังจดจำใบหน้านางได้ติดตาอยู่เลย น่ารังเกียจยิ่งนัก” เอ่ยพร้อมกับทำท่าทีขนลุก ลูบแขนตนไปมา

ทำให้ผู้เป็นนายรู้สึกไม่ต่างกันนัก เพราะเขาเองก็สะอิดสะเอียนเช่นกัน ที่แต่งหลิงหลงเข้ามาก็เพราะต้องการสินเดิมของนางเท่านั้น ซึ่งมีพื้นที่ในหุบเขารวมอยู่ด้วย ที่นั่นมีแร่เงินซึ่งมีค่าต่อภารกิจเขามาก

แต่ที่ต้องสังหารนางในคืนเข้าหอก็เพราะหลิงหลงนั่นสอดรู้สอดเห็น แอบฟังการหารือของเขากับคนสนิท และยังกล้าเอาเรื่องนี้มาขู่เขา บอกให้ทำดีกับนางไม่เช่นนั้นจะบอกเรื่องนี้กับทางการ สตรีไร้ยางอายเช่นนี้เขาไม่มีทางร่วมหอด้วยเป็นแน่ เจ้าสาวจึงถูกสังหารในคืนนั้น ก่อนจะจัดฉากว่านางผูกคอตาย โดยที่ทางครอบครัวสกุลกวนก็ไม่ได้ติดใจเอาความแต่อย่างใด

“นายท่านจะทำเช่นไรต่อไปขอรับ” เป่ยหยางเอ่ยถามถึงแผนการทันที ผู้ที่นั่งอยู่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“กลับเมืองหลวง หากนางเป็นชายาเฟยหรงจริงๆ เราก็ต้องรีบสังหารนางเสีย ก่อนที่เรื่องจะถูกเปิดโปง”

“นายท่านคิดว่าฉินอ๋องยังไม่รู้เรื่องนี้หรือขอรับ”

“เจ้าโง่! หากมันรู้ป่านนี้คงนำทหารไปปิดเหมืองเราแล้วกระมัง จนป่านนี้มันก็ยังไม่ลงมือ แสดงว่าหลิงหลงก็ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร ข้าไม่นึกเลยว่าแทงไปลึกถึงเพียงนั้นนางยังจะรอดมาได้อีก” จางตงลู่นึกถึงวันที่ตนจ้วงแทงสตรีตัวน้อย ซึ่งบังอาจมายืนต่อรองกับเขาโดยหารู้ไม่ว่ามันไม่มีทางสำเร็จเป็นแน่

“นั่นสิขอรับ ยามนั้นข้าน้อยจับชีพจรนางก็ไม่มีลมหายใจแล้ว แต่เหตุไฉนซ่งหยางถึงบอกว่านางฟื้นขึ้นมาตอนกำลังจะเอาลงฝั่ง ช่างเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งนัก”

“หึ!..คราต่อไปมันไม่มีทางได้ฟื้นขึ้นมาอีกแน่ รีบไปเตรียมม้า ข้าร้อนใจอยากพบนางในเร็ววัน”

ตงลู่ยืนมองคนของตนเดินออกจากห้องไป ก่อนจะหันกลับมาลูบรอยแผลเป็นบนแก้มขวาของเขา ซึ่งมันเกิดจากแจกันซึ่งตกแตกตอนที่หลิงหลงต่อสู้เอาตัวรอด นางคว้ามันมากรีดใบหน้าเขาจนเป็นรอยถึงทุกวันนี้ แม้จะเป็นรอยเล็กๆ ก็เถอะแต่พอเห็นยามใดก็แค้นใจทุกที

ยิ่งนึกเขาก็ยิ่งแค้นอยากจับนางมาสับเป็นชิ้นๆ เพราะมันคือสาเหตุทำให้สตรีที่เขามีใจทำตัวเหินห่าง ไม่ยอมรับหมั้นเขาเสียที แม้ฐานะที่แท้จริงของจางตงลู่จะเป็นถึงอ๋อง แต่ก็ใช่ว่าจะมีเชื้อสายของราชวงศ์นี้ เขาถูกแต่งตั้งตามคุณงามความดีของบิดาที่ล่วงลับเท่านั้น

แต่ก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจอยู่ แม้จะไม่มากก็เถอะ ซ้ำยังมีคนคอยหนุนหลังซึ่งเป็นถึงกุ้ยเฟยนามว่ามินจู และยังมีเหล่าขุนนางที่ให้การสนับสนุน ฉ้อโกงทุจริตกินนอกกินในกันจนราษฎรต่างก็เดือดร้อน

“เอาไว้ครานี้ข้าจะทรมานเจ้าให้ตายทั้งเป็นเชียวล่ะ รอข้าหน่อยนะหลิงหลง” เสียงเหี้ยมเอ่ยออกมาก่อนจะยิ้มร้าย เพราะคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะหลอกล่อให้นางออกมา เฟยหรงก็ไม่ได้เก่งกาจอะไร ไม่เช่นนั้นคงสืบเรื่องเขาได้นานแล้ว ผลงานก็ไม่ค่อยมีนอกจากตามเสด็จฮ่องเต้

“นายท่านเรียบร้อยแล้วขอรับ” เป่ยหยางรายงาน จางตงลู่จึงออกเดินทางกลับเมืองหลวงซึ่งใช้เวลาแค่วันเดียว

จวนฉินอ๋อง

ซูเหยานั่งมองเครื่องประดับและอาภรณ์ตรงหน้านิ่ง เพราะวันพรุ่งต้องไปงานเลี้ยงในวัง นางเกรงว่าจะทำให้จวนอ๋องนี้เสียชื่อ เพราะกฎเกณฑ์ในวังนั้นเคร่งครัด

“เห้อ!..ไม่มีเวลาเตรียมตัวเลย”

“ได้ยินว่างานเลี้ยงไม่ได้มีอะไรมากนะเพคะ พระชายาเข้าไปก็แค่นั่งอยู่กับที่ ดื่มกินพอเป็นพิธี”

“เจ้าคิดเช่นนั้นจริงหรือถงลี่” ถามอย่างใคร่รู้

“เพคะ ไท่เฟยเคยเล่าให้ฟังเมื่อตอนเป็นสนม”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีน่ะสิ” บอกด้วยท่าทางเบื่อเซ็ง เพราะซูเหยาไม่อาจวางใจได้ว่าจะไม่มีปัญหา

“ลองชุดดูหน่อยนะเพคะ เผื่อมีตรงไหนไม่พอดีจะได้แก้ทัน” ฟู่หลินเอ่ยก่อนจะรั้งเอาแขนเล็กให้ลุกขึ้น ซูเหยามีท่าทีงอแงเล็กน้อย แต่ก็ยืนให้สองสาวจัดการเปลี่ยนอาภรณ์จนแล้วเสร็จ

“งดงามยิ่งนัก ราวกับเทพธิดาลงมาจุติเลยเพคะ”

“งามเพียงนี้เหตุใดท่านอ๋องถึงไม่ไยดีนะ” ฟู่หลินสาวใช้คนใหม่เอ่ยขึ้นบ้าง เมื่อนึกถึงท่าทีเย็นชาของผู้เป็นนาย

“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ข้าก็เป็นแค่ชายาหลอกๆ นี่หน่า ไยต้องสนด้วยว่าเขาจะใส่ใจหรือไม่” ว่าแล้วก็หันมาหยิบขนมบุปผาใส่ปาก สาวใช้ทั้งสองต่างก็พากันยิ้มเอ็นดู

“ดีที่เจ้าคิดได้เช่นนี้” เสียงเย็นเฉียบดังที่หน้าประตู พร้อมกับร่างสูงเดินเข้ามา เพราะเฟยหรงได้ยินถ้อยคำของนางแล้ว เสียงจึงมาก่อนตัว แต่พอเดินมาถึงกลางห้องพักชายากำมะลอ เขาก็หยุดชะงักเมื่อได้ยลโฉมความงามของนาง ไม่คิดว่าซูเหยาจะงามได้เพียงนี้

“คารวะท่านอ๋องเพคะ” สองมือวางทับประสานกัน พร้อมกับโค้งลงอย่างอ่อนน้อม

“หึ!..ก็ยังดีที่หน้าตาเจ้าจะไม่ทำให้ข้าขายหน้า”

“งามก็บอกว่างามสิเพคะ เหตุใดต้องเอ่ยอ้อมไปมา” สตรีตัวน้อยเอ่ยเสียงเรียบไม่ต่างจากอีกฝ่าย ใบหน้าหวานนี้ก็ยังคงจ้องเขาไม่หลบ

“หึ!..ปากเก่งดีนะ พวกเจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องหารือกับชายาข้า” เฟยหรงเอ่ยเสียงเข้ม

ไม่กี่อึดใจประตูก็ถูกปิดลง ร่างสูงภายใต้อาภรณ์ดำลายมังกรนั่งลง พร้อมกับรั้งเอาร่างเล็กตามมาด้วย แรงกระชากทำให้คนที่ยังไม่ทันตั้งตัวถึงกับเซลงบนตักแกร่ง มือขาวรีบยกขึ้นดันไหล่เขาทันที

“ทำไมรังเกียจข้าหรือ” ถามเสียงเรียบออกไปแล้วหน้าก็ถอดสีเอง เพราะอีกฝ่ายมีท่าทีเช่นนั้น

“ท่านอ๋องต่างหากที่รังเกียจหม่อมฉัน คำพูดของพระองค์แต่ละคำใครฟังก็รู้ว่ารู้สึกเช่นไร แล้วเหตุใดถึงเอาตัวเข้าใกล้หม่อมฉันเช่นนี้เพคะ”

“หึ!..ต่อให้ข้ารังเกียจเจ้าแค่ไหน หากมีความต้องการข้าก็จะหลับหูหลับตาจัดการกับเจ้าไม่ต้องห่วง” เฟยหรงเอ่ยเสียงเย็น ทำเอาคนฟังถึงกับตาโต

“นี่ท่านคิดจะ..อื้อ” ยังท้วงไม่จบเลย ปากอิ่มก็ถูกปิดด้วยลิ้นอุ่นที่สอดแทรกเข้าประชิดทันที

มือใหญ่ตรึงไว้ที่ท้ายทอยคนตัวเล็ก อีกข้างก็รั้งอยู่ที่เอวคอดกิ่วของนาง จนอีกฝ่ายไม่สามารถดิ้นหนีได้ ยิ่งได้สัมผัสปลายลิ้นของคนน้อง ที่หวานละมุนเขาก็ไม่อาจผละออกได้ แม้นางจะถดมันถอยหนี แต่มีหรือจะต้านประสบการณ์ที่มีมากกว่าของฉินอ๋องได้

เขาจูบเอาแต่ใจเกาะเกี่ยวฉกชิมราวกับไม่เคยพบพานมาก่อน ดูดดึงขบเม้มหยอกเย้าจนซูเหยาหมดเรี่ยวแรง นางคล้อยตามจนยกมือขึ้นลูบไหล่แกร่งเบาๆ สร้างแรงปรารถนาให้เฟยหรงเพิ่มขึ้นไปอีก เสียงครางในลำคอดังขึ้น ก่อนที่คนสนิทจะขัดขึ้นเสียก่อน

“ท่านอ๋องไท่เฟยเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”

ริมฝีปากหนาผละออกในทันทีแม้จะเสียดายมากก็เถอะ แต่ถ้ามารดารู้ว่าเขาทำสิ่งใดกับนางคงถูกตำหนิจนหูชาเป็นแน่ ร่างเล็กถูกดันออกจากตักอย่างไม่ไยดี เขาเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนี เพราะปากอิ่มนั้นบวมเจ่อแดงระเรื่อด้วยแรงดูดดึงของเขา มันน่ามองและน่าจับมาบดจูบอีกครั้ง แต่ตอนนี้เขาทำไม่ได้แล้ว เพราะไท่เฟยกำลังเดินเข้ามา

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงของไท่เฟยถามขึ้นทันที เพราะรู้นิสัยบุตรชายดี เขาต้องมาสร้างความลำบากใจให้ซูเหยาเป็นแน่ ยิ่งเห็นท่าทางตื่นกลัวของนางด้วยแล้วก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“เสด็จแม่ ลูกก็แค่มาถามไถ่ชายาดูเท่านั้น ประเดี๋ยวพระองค์ก็ว่าลูกไม่ใส่ใจอีก” เฟยหรงตอบหน้าตาย

“เจ้านี่นะ ทำน้องจนปากบวมยังจะกล้าแถ เป็นบุรุษเสียเปล่าทำสิ่งใดไว้ก็ยังไม่กล้ายอมรับ ได้! เช่นนั้นต่อไปนี้ห้ามเจ้าเข้าใกล้ซูเหยาอีก ห้ามอยู่กับนางตามลำพัง ไม่เช่นนั้นแม่จะเป็นคนหาสามีใหม่ให้นางเอง” เอ่ยจบไท่เฟยก็จูงแขนซูเหยาออกจากห้อง ทิ้งให้บุตรชายนั่งนิ่งไม่ไหวติงราวกับรูปปั้น

# ไท่เฟยต้องเอาให้หนักนะเพคะ อย่าปล่อยให้ท่านอ๋องรังแกน้องอีก อิอิ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel