บท
ตั้งค่า

4. น่าเอ็นดู

แม้จะไม่ชอบใจที่เด็กตรงหน้ากล้ามีปากเสียงกับคนของตน แต่ไท่เฟยก็มีเหตุผลพอ และอยากรู้ว่าสิ่งที่ซูเหยาทำนั้นมีประโยชน์หรือไม่ จึงได้ลองพิสูจน์ดู

“อืมหอม มันคือสิ่งใดกัน” ถามเสียงเรียบ

“น้ำหอมเพคะ หยดเล็กน้อยเช่นนี้ แล้วก็แต้มไปตามจุดต่างๆ ที่เราต้องการ” นิ้วเรียวสวยสะกิดเล็กน้อยบนผิวกายของไท่เฟย ตรงซอกคอเบาๆ

กลิ่นหอมละมุนทำให้คนที่อารมณ์ขุ่นมัวเริ่มเย็นลงไท่เฟยจึงกวาดตามองไปรอบห้อง ดูเหมือนสตรีตัวน้อยนี้จะตั้งใจเป็นอย่างมาก แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นคือนางมีความรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร ทั่วทั้งแผ่นดินยังหาคนคิดค้นไม่ได้เลย แต่นี่นางกลับทำออกมาได้โดยใช้เวลาไม่นาน

“เจ้าบอกว่ามีสบู่ฟอกตัวกระนั้นหรือ” เอ่ยถามไปเพื่อจะได้ฟังคำอธิบาย ซึ่งซูเหยาก็ไม่ได้เก็บเป็นความลับ

ร่างเล็กเดินแนะนำผลิตภัณฑ์ที่จัดวางบนชั้น ราวกับเซลล์ขายของก็ไม่ปาน ก็แน่ล่ะ เธอทำก็เพื่อให้อีกฝ่ายพอใจ จะได้ไม่สั่งปิดห้องผลิตนี้ ไม่งั้นก็ต้องมานั่งเหงาอีก

หลังจากวันนั้นซูเหยาก็ได้รับอนุญาตให้ทำตามใจชอบ โดยมีไท่เฟยสนับสนุน ความน่ารักและช่างเอาใจของนางทำให้ไท่เฟยเริ่มเอ็นดู อีกอย่างหน้าตาที่เคยมีรอยตุ่มแดง ยามนี้ก็เนียนใสไร้ริ้วรอย หลังจากที่ซูเหยาดูแลตัวเองอย่างดี ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ปรับฮอร์โมนในร่างกาย

“มานี่สิซูเหยา” ไท่เฟยเอ่ยเสียงอ่อนโยนพร้อมกับตบมือลงที่นั่งข้างตน คนถูกเรียกจึงเดินมาหย่อนก้นลง มือแห้งเหี่ยวตามวัยยกขึ้นสัมผัสผิวเนียนเบาๆ

“สองเดือนเจ้าก็ทำให้ตนเองงามสง่าได้เพียงนี้เชียว ดีจริงๆ ต่อไปเฟยหรงคงพาเจ้าออกงานด้วยโดยไม่ต้องอายผู้คนแล้วล่ะ” เอ่ยแล้วก็ยกมือขึ้นลูบหัวอย่างเอ็นดู

“เอ๋!..ทำไมล่ะเพคะ หม่อมฉันก็แค่อยู่ในฐานะปลอมๆ ไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องไปออกงานด้วย”

“ฝ่าบาทสั่งให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับองค์หญิงถานชิง ซึ่งเดินทางมาเป็นทูตเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นของเรา คงตั้งใจให้เฟยหรงตอบรับการอภิเษก”

“แล้วไม่ดีหรือเพคะ ไท่เฟยก็ได้สะใภ้เป็นถึงองค์หญิง ดีกว่าซูเหยาที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเป็นไหนๆ” เสียงหวานเอ่ยแนะอย่างจริงใจ

“เจ้านี่นะ ไม่คิดจะเหนี่ยวรั้งตำแหน่งนี้เอาไว้เลยหรือ”

“เอ่ยเช่นนี้ก็ไม่ถูกนะเจ้าคะ เพราะท่านอ๋องให้หม่อมฉันช่วยแสดงเท่านั้น ไม่แน่หากท่านอ๋องได้พบกับองค์หญิง อาจจะถูกพระทัยก็ได้นะเพคะ” ว่าพร้อมกับแอบหยิบขนมเข้าปาก แต่ก็ไม่พ้นสายตาของไท่เฟย และข้ารับใช้ที่มองอย่างเอ็นดู ซูเหยาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตนนั้นกลายเป็นที่รักของคนในจวนไปแล้ว แม้จะไม่ค่อยอยู่ในกรอบเลยสักนิด

“เอาเถอะ หากเป็นเช่นที่เจ้าว่าก็ปล่อยให้เป็นไปตามชะตาก็แล้วกัน ว่าแต่วันนี้เจ้าจะทำสิ่งใดให้ข้ากิน” ไท่เฟยถามถึงเมนูของวันทันที เพราะซูเหยาทำอาหารอร่อย

“ต้มซุปปลาเก๋าเพคะ แล้วก็มีเนื้อผัดพริกโรยน้ำมันงา ตามด้วยหมูสับชุปแป้งทอดกรอบอร่อยเพคะ”

“แค่ฟังก็น่ากินแล้ว เจ้ารีบไปทำเถอะ” ฟังจบก็รีบไล่ทันที ทำให้ซูเหยาถึงกับยิ้มหน้าบาน แต่ต้องรีบหุบลงเมื่อเห็นใครบางคนเดินเข้ามา

“ลูกคำนับเสด็จแม่ สบายดีหรือไม่ ลูกอกตัญญูยิ่งนัก ไม่ได้เข้ามาเยี่ยมท่านเลย” เฟยหรงกล่าวพร้อมกับก้มหน้ายกมือประสานกันไว้ เขาไม่ทันสังเกตุเลยด้วยซ้ำว่ามีใครบางคนยืนอยู่ข้างมารดา

“ช่างเถอะ จากนี้ต่อให้เจ้าไม่มาเป็นปี แม่ก็ไม่คิดถึงเช่นแต่ก่อนแล้ว ยามนี้แม่มีลูกสาวคนใหม่ เจ้าก็หาได้สำคัญไม่” เอ่ยจบก็ดึงเอาซูเหยานั่งลงอีกครั้ง ข้ารับใช้ต่างก็พากันนึกขันที่ผู้เป็นนายหมายจะเอาคืนบุตรชาย ซึ่งเอาแต่ทำงานจนไม่สนใจมารดา

“อ้าว..ทำไมคุณป้าหางานให้ซูเหยาแบบนี้ล่ะคะ เดี๋ยวอีตาอ๋องนี่ก็เข้าใจผิดพอดี” ซูเหยานึกในใจ

“เสด็จแม่ไยถึงเอ่ยเช่นนี้ แล้วนางเป็นใคร? พระองค์รับบุตรสาวบุญธรรมกระนั้นหรือไยกระหม่อมไม่รู้”

“เป็นความคิดที่ดี เช่นนั้นถ้าเจ้ามีชายาตัวจริงเมื่อใด แม่ก็จะรับซูเหยาเป็นบุตรบุญธรรมแล้วกัน พวกเจ้าว่าดีหรือไม่” ประโยคสุดท้ายหันไปหาข้ารับใช้ของตน ซึ่งทุกคนก็ตอบรับกันเป็นเสียงเดียว สื่อให้รู้ว่าเป็นเรื่องดี

“ซูเหยา? นี่คือเด็กหน้าตาอัปลักษณ์นั่นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“พูดจาให้มันดีๆ แล้วก็เอานิ้วเจ้าลงมาด้วย จะไปทำอาหารก็ไปเถอะ ทำเผื่อพี่เจ้าด้วยนะ”

“เพคะ” รับคำแล้วก็เดินเลี่ยงออกไป โดยต้องผ่านเฟยหรง ทำให้เขายื่นมือมาคว้าแขนเล็กเอาไว้ทันที

“เดี๋ยว!..เจ้าทำสิ่งใดกับใบหน้า หรือใช้มนต์วิชาทำให้หน้าตาอัปลักษณ์หายไป” ถามเสียงเข้มพร้อมกับสายตาดุ

“ชิ!..ปากหรือนั่น” ซูเหยานึกในใจ แต่ก็เผยยิ้มหวานออกมาราวกับว่าไม่ใส่ใจคำพูดอีกฝ่าย

“ปล่อยน้องนะเฟยหรง อยากรู้อะไรแม่จะบอกเอง”

ฉินอ๋องถึงกับผงะ ไม่คิดว่ามารดาจะเสียงดังใส่เขาได้ เพราะสตรีตัวน้อยผู้นี้ มือหนาที่กำแขนเล็กอยู่บีบแรงขึ้น จนซูเหยามีใบหน้าเหยเก

“เอาไว้ข้าจะไปชำระความกับเจ้าทีหลังแล้วกัน” เสียงรอดไรฟันเปล่งออกมา ก่อนจะดันแขนเล็กจนนางเซไปทั้งตัว แต่ก็ยังประคองตนให้หันมาคำนับอีกฝ่าย แล้วเดินออกจากห้องโถงไปพร้อมกับสาวใช้

“นั่งลง” มารดาใช้เสียงกดต่ำใส่บุตรชายทันที

“ท่านแม่ไยถึงได้ปกป้องนางเพียงนี้”

“เจ้านั่นแหละ พานางมาแล้วก็ไม่ใส่ใจ ใช้ประโยชน์จากคนที่จดจำชาติกำเนิดตนเองไม่ได้ ยังจะมาตั้งแง่ใส่นางอีก แม่สอนให้เจ้าเป็นคนเช่นนี้หรือ” ไท่เฟยตำหนิบุตรชาย พร้อมกับสอนไปในตัว

เฟยหรงได้แต่นิ่งเงียบ เป็นจริงเช่นที่มารดาเอ่ย เขาไม่เคยถามไถ่ถึงสตรีตัวน้อยที่ได้ขึ้นชื่อว่าชายาเลยสักครั้ง ตั้งแต่ยื่นข้อเสนอกันเมื่อสองเดือนก่อน

“หึ!..เอาเถอะเจ้าจะทำสิ่งใดก็อย่าสร้างความลำบากใจ ให้กับคนที่เอาตัวเข้ามาพัวพันกับเรื่องโป้ปดของเจ้าก็แล้วกัน แค่จำเรื่องราวของตนไม่ได้นางก็น่าสงสารมากพอแล้ว หากเจ้าไม่มีจิตเมตตาก็ยกให้แม่ดูแลเอง”

“เช่นนั้นก็แล้วแต่เสด็จแม่ ลูกจะไม่เข้าไปยุ่งอีก อย่างไรเสียก็อย่าเชื่อใจนางมากนักนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ซูเหยาเป็นเด็กดี นางเฉลียวฉลาดเกินตัว ไม่เคยทำให้แม่ต้องหนักใจ เจ้าไม่อยู่นางก็ดูแลแม่เป็นอย่างดี”

“ชื่นชมกันเพียงนี้เชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ” เฟยหรงเอ่ยเย้ามารดา เขาเห็นนางยิ้มเช่นนี้ก็เบาใจ แม้จะไม่ค่อยได้กลับมาจวนนานแล้ว แต่เขาก็มีคนส่งข่าวอยู่ตลอด จึงรู้ความเป็นไปภายในบ้านทุกอย่าง

“เจ้าจะค้างคืนที่นี่หรือไม่”

“ลูกต้องเดินทางไปต่างเมืองแต่เช้า คงจะไม่ได้อยู่ค้าง แต่จะอยู่เสวยเป็นเพื่อนพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม แล้วแต่เจ้าเถอะ” ไท่เฟยเอ่ยเสียงเรียบ

ทำเอาบุตรชายถึงกับหน้าถอดสี เพราะรู้สึกละอายใจที่ทอดทิ้งมารดาให้อยู่ลำพังมาตลอด นั่นเป็นเพราะในใจของเฟยหรงยังทำใจไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของคนรักเก่า แม้จะตายจากไปนานกว่าสองปีแล้วก็เถอะ ซ้ำยังทำผิดต่อเขาตั้งครรภ์กับบุรุษอื่นอีก

แต่ความทรงจำในจวนนี้มันก็มีมากจนเฟยหรงหวนนึกถึงอยู่ตลอด มองไปทางใดก็มีภาพของนางวนเวียนเดินไปมา จึงทำให้เขาละทิ้งที่นี่ไปอยู่เรือนน้ำตกนอกเมือง ทำให้มารดาต้องโดดเดี่ยวอยู่กับบ่าวรับใช้เท่านั้น

สองแม่ลูกนั่งคุยกันอยู่นานเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบ จนกระทั่งถึงเวลาอาหารในยามเย็น เหล่าสาวใช้ก็ยกเข้ามาวาง พร้อมกับร่างเล็กของซูเหยา คราแรกนางคิดว่าท่านอ๋องคงออกไปแล้ว ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะยังคงนั่งอยู่

“ดีจังได้ทานข้าวกันพร้อมหน้า” เสียงของไท่เฟยเปล่งออกมาอย่างมีความสุข ซูเหยายิ้มบางๆ ตามคนแก่ ก่อนจะเดินมาประคองอีกฝ่ายเช่นที่ทำทุกวัน

“ขอบใจนะ” มือเหี่ยวลูบลงเบาๆ บนหลังมือของซูเหยา เฟยหรงมองภาพตรงหน้านิ่ง แม้จะไม่คัดค้านเรื่องที่มารดาจะเอ็นดูนาง แต่เขาก็ไม่เชื่อว่าสตรีผู้นี้จะทำทุกอย่างแบบใจจริง นางคงหวังจะเสพสุขในฐานะที่มี จึงเข้าหามารดาของเขาเพื่อเอาใจ

“ทานเถอะ เจ้าต้องรีบกลับไปไม่ใช่หรือ” ว่าจบก็คีบชิ้นเนื้อใส่ถ้วยบุตรชาย ก่อนจะหันมาคีบเข้าปากตนบ้าง เฟยหรงจึงต้องกินอาหารที่มารดาส่งให้ แต่พอมันเข้าปากเขาก็ถึงกับนิ่งไป

“เป็นอย่างไร เนื้อนุ่มลิ้นเผ็ดกำลังดีใช่หรือไม่ ซูเหยาน่ะทำอาหารอร่อยมาก น้ำซุปนี้ก็เข้มข้นเจ้าลองชิมดูสิ” ว่าเสร็จก็ตักใส่ถ้วยให้บุตรชาย

เฟยหรงรับมาพร้อมกับยิ้มอ่อนให้มารดา กลิ่นไอของสมุนไพรโชยมาจนเขาลืมตัวสูดดม ก่อนจะหยิบช้อนตักน้ำซุปเป่าเบาๆ แล้วใส่เข้าปาก รสชาตินุ่มละมุนลิ้นทำให้เขาต้องตักชิมอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้ามองคนที่นั่งตรงข้าม

“แน่ใจหรือว่าเจ้าเป็นคนทำ” ถามออกไปเพราะไม่อยากเชื่อ สตรีวัยเท่านี้ไยทำอาหารได้อร่อยนัก

“ซูเหยาชอบกิน เลยใส่ใจกับการทำมากเป็นพิเศษ หากไม่ถูกปากท่านอ๋องก็อย่าฝืนเสวยเลยเพคะ” เสียงหวานเอ่ย แต่ใบหน้านั้นกลับก้มมองถ้วยข้าวในมือนิ่ง

“ข้าบอกหรือว่ามันไม่อร่อย” เสียงเรียบเอ่ยเพียงเท่านั้น ฉินอ๋องก็ตักอาหารตรงหน้ากินต่อ สร้างรอยยิ้มให้ไท่เฟยได้เป็นอย่างดี หลังจากนั้นก็ลงมือทานจนเหลือแค่จานชามเปล่า ทำเอาคนสนิททั้งสองนายต่างก็กลืนน้ำลายตาม

“เจ้าสองคนไปหาอะไรกินเถอะ ข้าจะนั่งอยู่ที่นี่สักพัก” เฟยหรงสั่งคนของตนที่ดูเหมือนจะหิวแล้ว สองสหายรีบปลีกตัวออกจากห้องอาหารทันที

“วันนี้มีของหวานหรือไม่” ไท่เฟยหันมาถามชายากำมะลอของบุตรชาย

“มีเพคะ เสี่ยวมี่สั่งคนให้ยกเข้ามาเลย” เอ่ยจบสาวใช้ก็ถือถาดเดินเข้ามา ก่อนจะวางถ้วยหลิวหลี่ต่อหน้าทั้งสาม

“อะไรกัน น่าตาประหลาดนัก” ไท่เฟยเอ่ยถามทันที เมื่อเห็นขนมที่วางอยู่ตรงหน้า

“ลิ้นจี่เชื่อมน้ำตาลเพคะ แช่ไว้ในห้องเย็น รสชาติจะชุ่มฉ่ำหวานละมุน ร่างกายคนเราต้องเพิ่มความหวานเข้าไปบ้าง จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นเพคะ”

“จริงหรือเช่นนั้นแม่จะรีบทาน” เอ่ยแล้วก็ตักเข้าปาก กลิ่นหอมของลิ้นจี่ เป็นที่ถูกใจของไท่เฟยเป็นอย่างมาก

ไม่นานของหวานนี้ก็หมด ไม่ต่างจากถ้วยของเฟยหรง ที่ไม่เหลือสักหยดเช่นกัน เป็นเพราะเขาเองไม่ค่อยได้เจออาหารเลิศรสเช่นนี้ อีกทั้งกลิ่นและความหวานเย็นของลิ้นจี่ มันก็ช่วยให้ร่างกายที่หอบเหนื่อยผ่อนคลายลง

“อิ่มมากเลยวันนี้ แม่คงต้องขอตัวไปเดินสักพัก เจ้าสองคนอยู่คุยกันไปนะ ไปเถอะแม่นมสิ่ว”

เฟยหรงมองตามมารดาจนลับห้องอาหาร ก่อนจะหันมาหาคนที่ตั้งท่าจะลุก

“เจ้าทำอาหารเองทุกวันหรือ” เขาถามเสียงเรียบ ทำให้ซูเหยาต้องชะงักท่าทางของตน

แต่ก็ลุกขึ้นยืนจนได้ เพราะอึดอันที่ต้องนั่งอยู่กับคนที่ไม่ชอบหน้านางก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เพคะ ไท่เฟยอายุมากแล้ว อาหารที่ทานจึงไม่ค่อยถูกปาก หม่อมฉันก็เพียงแต่ช่วยทำให้พระนางเจริญอาหารขึ้นเท่านั้น”

“หึ!..ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดจะเข้าทางมารดาข้าหรอกนะ”

“แล้วแต่ท่านอ๋องจะคิดเพคะ หม่อมฉันอยู่ที่นี่ไท่เฟยทรงเอ็นดูเมตตา เรื่องใดที่พอตอบแทนได้หม่อมฉันก็ยินดีทำ หาได้ทำเพราะหวังผล หากท่านอ๋องทรงกังวล จะขับหม่อมฉันออกจากจวนก็ไม่เป็นไรนะเพคะ”

“ปากกล้าเหมือนเดิม แต่เอาเถอะอย่างน้อยเจ้าก็ยังช่วยให้เสด็จแม่ข้าคลายเหงาไปได้ แต่ถ้าวันใดเจ้าทำเพื่อผลประโยชน์และไม่จริงใจ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่” เอ่ยจบก็ลุกเดินหนีออกไป

“ชิ!..ทีตอนกินทำไมไม่พูดสักคำ แบบนี้มันน่าใส่ยาพิษให้กินนัก” คิดในใจพร้อมกับคว่ำปากใส่แผ่นหลังของอีกฝ่าย ทำเอาสาวใช้คนสนิททั้งสองต้องรีบดึงชายผ้าทันที

“พระชายาไม่เกรงท่านอ๋องจะหันมาเห็นหรือเพคะ”

“ถ้าเห็นก็แสดงว่ามีตาหลังแล้วล่ะพี่ถงลี่” ซูเหยาตอบกลับ ก่อนจะเดินออกจากห้องรับอาหารเช่นกัน

“พวกพี่ไปทานข้าวเถอะ ข้าจะไปดูหม้อต้มยาเสียหน่อย คืนนี้จะปรุงยาแก้สารพัดพิษ”

“ยังไงเพคะยาแก้สารพัดพิษ”

“ก็แก้พิษต่างๆ นี่แหละ ข้าเห็นในตำราบอกว่าบนแผ่นดินนี้มีพิษมากมาย ผู้คนชอบใช้เอามาวางยาคนสำคัญ หรือไม่ก็คนที่ตัวเองเกลียดใช่ไหม ถ้าเรามียาที่แก้ได้หลายพิษมันก็ดีไม่ใช่หรือ ถึงจะถอนได้ไม่หมดแต่บรรเทาอาการก็ยังดี” เอ่ยบอกเสียงใส ในขณะที่เดินไปยังเรือนของตน ซึ่งมีใครบางคนยืนแอบฟังอยู่ตรงรูปสลัก

“เสด็จแม่บอกว่านางรอบรู้เรื่องยาด้วย เหตุใดนางถึงรู้มากเพียงนี้” เฟยหรงเดินออกมาจากที่ซ่อน พร้อมกับมองไปยังร่างเล็กซึ่งเดินไปถึงเรือนฮวา ที่พำนักของนางแล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel