10,.กลายเป็นหมา
สายของวัน ซูเหยาขลุกอยู่ในห้องปรุงยาตั้งแต่เช้าเพื่อตรวจสอบสิ่งที่เก็บมาจากวัง นางยังไม่ได้บอกเฟยหรง เพราะเกรงว่าตนนั้นอาจจะคิดผิดก็ได้เรื่องยา แต่อาการของฮ่องเต้คือถูกพิษแน่นอน
“สมัยเรียนดูเหมือนคนโบราณชอบวางยา โดยเฉพาะยาประเภททำให้เป็นหมัน หรือไม่ก็ตายช้าๆ หาสาเหตุไม่ได้ เห้อ!..คนเป็นหมอเห็นคนป่วยจะไม่ช่วยมันก็ยังไงอยู่นะ” บ่นออกมาเบาๆ พร้อมกับจำแนกตัวยาที่เก็บมา ดวงตาสวยหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเจอบางสิ่งที่ผิดแปลก
“ทำไมมีส่วนผสมของเมล็ดฝ้ายล่ะ หากกินยานี้และอาหารที่ทำจากน้ำมันเมล็ดฝ้ายทุกวัน มันก็ไม่แปลกที่ฮ่องเต้จะไม่มีทายาท” นางยังทดสอบยาในจานแบนที่เตรียมไว้ไปมาอย่างคล่องแคล่ว แล้วก็บ่นงึมงำอยู่คนเดียวจนไม่รู้ว่าใครมายืนอยู่ด้านหลัง
“ไยเจ้าเอ่ยถึงฝ่าบาท มีเรื่องอะไรกระนั้นหรือ” เฟยหรงนั่งลงข้างคนน้อง เขามองดูนางอยู่นานแล้ว ท่าทางขมักเขม้นของซูเหยาทำเขาเอ็นดูไม่น้อย
“อ๊ะ!..มาเมื่อไหร่กันเพคะ” แสร้งถามไปเพื่อจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายมาได้ยินมากแค่ไหนตอนที่นางพูดคนเดียว
“ตั้งแต่ต้น” เฟยหรงนั่งลงซ้อนหลังคนตัวเล็ก สองแขนกอดรัดช่วงเอวนางเอาไว้ด้วย
“ไท่เฟยบอกว่าห้ามพระองค์เข้าใกล้หม่อมฉัน จนกว่าเราจะแต่งงานกันเพคะ” เสียงเรียบเปล่งออกมาทันที เมื่อถูกอีกฝ่ายฉวยโอกาส
“ตกลงเจ้ายอมแต่งกับพี่แล้วใช่ไหม” เฟยหรงยังคงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ วางคางเกยอยู่ที่ไหล่มน ซูเหยาได้แต่ถอนใจกับการกระทำของเขา หากนางไม่ใจแข็งคงได้เสียเปรียบบุรุษผู้นี้อยู่ล่ำไปเป็นแน่
“ถ้าท่านอ๋องไม่ลุ่มล่ามนะเพคะ หม่อมฉันก็จะรับคำขอของพระองค์ไว้พิจารณา แต่ถ้ายังทำเช่นนี้อีกคือ..ไม่!”
เฟยหรงถอยออกพร้อมกับปล่อยอ้อมกอดด้วย ทำเอาสองสาวใช้ถึงกับมองหน้ากันแล้วยิ้ม ไม่คิดว่าฉินอ๋องผู้น่าเกรงขามจะกลายเป็นแมวเชื่องเช่นนี้
“ถงลี่ดูท่านอ๋องสิ ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะมีท่าทางเช่นนี้ ขนาดกับคนก่อนยังไม่ยอมเพียงนี้เลย”
“นั่นสิ เห็นแล้วข้าก็ปลื้มปิติยิ่งนัก จวนเราจะได้อยู่พร้อมหน้ากันเสียที” ฟูหลินเอ่ยสำทับคำสหาย
“ท่านอ๋องอยู่หรือไม่” ไป่หยาเดินหน้าตื่นเข้ามา
“กำลังช่วยพระชายาปรุงยาอยู่นั่นไง”
องครักษ์หนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็รีบตรงเข้าไปหาทันที ท่าทางของเขาบ่งบอกให้รู้ว่ามีเรื่องสำคัญ ซูเหยาเงยหน้ามองคนสนิทของสามีเล็กน้อย ก่อนจะหันมาหาคนตัวโตที่ยังนั่งอยู่ข้างกาย เฟยหรงสบตาพร้อมกับยิ้มอ่อน
“มีสิ่งใดก็พูดมา ข้าไม่มีความลับกับพระชายา” เขาบอกคนของตน ก่อนจะหันมายิ้มให้คนน้อง อีกฝ่ายก็เพียงแค่ยิ้มที่มุมปากเท่านั้น หาได้สนใจสิ่งที่ไป่หยาจะเอ่ยไม่
“ผู้ที่พาพระชายาออกมาเมื่อคืนคืออ๋องจางตงลู่พ่ะย่ะค่ะ” คนรายงานยืนนิ่งเป็นกังวลเกรงว่าผู้เป็นนายจะเกรี้ยวกราดขึ้นมา เพราะต่างก็รู้กันว่าคนผู้นี้อยู่เบื้องหลังการทำร้ายร่างกายซูเหยาก่อนที่นางจะมาอยู่ที่นี่
ใบหน้าสวยเงยขึ้นช้าๆ ก่อนจะหันมาหาคนที่นั่งอยู่ข้างตน เพราะไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวอันใดกัน เขาก็แค่ช่วยพานางออกมาเท่านั้น ไยไป่หยาต้องทำท่าทีตื่นตระหนกเพียงนี้ โดยเฉพาะหน้าตาบูดบึ้งของสามีนั้นไม่ต่างจากเมื่อคืนเลยสักนิด ทำให้นางนึกหวั่นขึ้นมา
“เจ้าพบกับคนผู้นี้ที่ใด” เสียงเย็นเอ่ยถาม พร้อมกับจ้องมองคนตัวเล็กเพื่อรอคำตอบ
“หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพคะ เดินออกมาไม่นานก็เจอเขา คราแรกคนผู้นั้นก็ถามว่าหม่อมฉันเป็นใครมากับผู้ใด แต่ซูเหยาเห็นว่าไม่ควรจึงไม่ได้เอ่ยบอก จึงเดินเลี่ยงออกมา แต่ก็ออกจากวังไม่ได้ เขาจึงอาสาเดินออกมาส่ง แล้วก็กลับไป แค่นั้นเพคะ” เอ่ยจบก็หันมาสนใจจานยาต่อ
“ดูท่าอ๋องจางคงยังไม่รู้ว่าพระชายาเป็นใครนะพ่ะย่ะค่ะ” ต้าจูเดินมาสบทบก็รีบเอ่ยขึ้น
“อะไรคือไม่รู้ว่าหม่อมฉันเป็นใครเพคะ” เอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้วใส่ นางเอียงคอมองก่อนจะทำตาใสใส่ ทำให้คนที่ตั้งท่าจะดุก็ถึงกับยิ้มเอ็นดูแทน พร้อมกับยกมือลูบหัว
“เจ้าดูท่านอ๋องสิ ไยถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้” ไป่หยาหันมากระซิบกับสหายทันที
“เจ้าไม่ได้ยินที่ไท่เฟยเอ่ยเมื่อคืนหรือ ท่านอ๋องกลายเป็น…แล้ว” อีกฝ่ายกระซิบตอบ ยามนี้ทั้งคู่กำลังยืนขันในท่าทางของผู้เป็นนาย ซึ่งดูเหมือนจะเชื่องเอามากๆ
“จำที่พี่บอกเจ้าในรถม้าได้หรือไม่ ผู้ที่สั่งคนตามล่าเจ้าในครานั้นคือจางตงลู่” เฟยหรงบอกความจริงกับซูเหยา ต่อไปนางจะได้ระวังตัวไม่เข้าใกล้อีกฝ่ายอีก
“พระองค์คิดว่าเขายังไม่รู้ว่าหม่อมฉันคือสตรีผู้นั้นใช่หรือไม่ เขาจึงไม่ทำสิ่งใดตอนที่พบกัน” ร่างเล็กหันมาหาคนตัวโตทันที ทำให้อ๋องหนุ่มเผยยิ้มอีกครั้ง
“น่าจะเป็นเช่นนั้น พบเจอเมื่อไหร่ให้หลบทันทีเข้าใจหรือไม่ คนผู้นั้นไม่รู้ว่าเจ้าจำสิ่งใดไม่ได้ มันอาจลงมือหากรู้ว่าเจ้าเป็นใคร” บอกพร้อมกับเอื้อมเอามือเล็กมากุม เขาลูบถูไปมาเบาๆ ราวกับกลัวว่ามันจะแตกหัก
“พระองค์รู้ใช่หรือไม่ว่าหม่อมฉันเป็นใคร แล้วเหตุใดจึงไม่เอ่ยบอกเรื่องนี้ อย่างน้อยจะได้แจ้งข่าวให้ครอบครัวหม่อมฉันรู้ ว่า” เสียงหวานหายไป เพราะนางเกือบจะหลุดชื่อของเด็กคนนี้ไปก่อนจะพูดต่อ “หม่อมฉันยังมีชีวิตอยู่”
“เรื่องนี้พี่ยังตรวจสอบไม่แน่ชัด เกรงว่าครอบครัวเจ้าก็อาจจะร่วมมือกับคนเหล่านี้ เพราะไม่มีการสืบสวนถึงการตายของเจ้าเลยแม้แต่น้อย ยอมให้เอาร่างมาฝังทั้งที่ยังไม่ทันได้จัดงานเซ่นไหว้เลยด้วยซ้ำ” เฟยหรงเอ่ยในสิ่งที่ไม่อยากบอก เพราะเกรงคนน้องจะคิดมาก หากรู้ว่าไม่เป็นที่ต้องการของครอบครัว
“จะมีเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร บุตรสาวทั้งคนไม่นึกห่วงบ้างเลยหรือ ไยเจ้าถึงอาภัพนักหลิงหลง”
สุดท้ายซูเหยาก็เอ่ยนามเจ้าของร่างจนได้ เพราะสงสารวิญญาณของหลิงหลิงที่ต้องวนเวียนอยู่ไม่สามารถไปเกิดได้ เพราะห่วงพะวงเรื่องต่างๆ แต่คนครอบครัวกลับทำตรงกันข้าม ไม่สนใจไยดีทวงเอาความยุติธรรมให้นาง
“คงเพราะหน้าตาเจ้าอัปลักษณ์ผู้คนจึงรังเกียจ ผลักไสไม่ไยดี ช่างน่าสงสารยิ่งนัก” เสียงสั่นเครือดังขึ้น ทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าถึงกับฉงน
“นางเอ่ยกับผู้ใด ในเมื่อเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องของนางทั้งนั้น ไยถึงเอ่ยราวกับว่าเป็นเรื่องของผู้อื่น” เฟยหรงนึกในใจ สายตาก็ยังคงจับจ้องมาที่ร่างเล็ก ซึ่งยามนี้นางดูเหม่อลอยราวกับกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
“ซูเหยา น้องมีเรื่องใดปิดบังพี่อยู่หรือไม่ บอกพี่มาเถอะนะ เราจะได้ช่วยกันแก้ไข” เสียงทุ้มอ่อนโยนเอ่ยออกมา ก่อนจะรั้งเอาร่างเล็กเข้ามากอด
“หลิงหลงน่าสงสารเพคะ น่าสงสารเหลือเกิน ไม่มีใครรักนาง ตำหนิว่านางอัปลักษณ์”
เฟยหรงนิ่งไป เพราะถ้อยคำนี้ดูเหมือนนางจะไม่ได้เอ่ยถึงตนเอง ไป่หยาจึงสั่งให้สองสาวใช้ออกไป พร้อมกับปิดประตูด้วย ยามนี้จึงเหลือแค่สี่คนเท่านั้นในห้อง
“เจ้าหมายถึงใคร บอกพี่ได้หรือไม่ ไยเจ้าเอ่ยเช่นนี้”
ซูเหยาชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ จึงรีบผละออกจากเขาในทันที เป็นเพราะเมื่อครู่นางสัมผัสได้ถึงเสียงสะอื้นเจ้าของร่าง จึงทำให้พลั้งปากเอ่ยเช่นนั้นออกไป
“เอ่อ..ท่านอ๋องอย่าถือสาหม่อมฉันเลยเพคะ พอดีนึกอะไรออกขึ้นมา เลยทำให้รู้สึกน้อยใจในโชคชะตาตนเอง หญิงอัปลักษณ์เช่นหม่อมฉัน มีคนขอแต่งงานทั้งทีบิดาก็รีบยกให้ไม่ไต่ถามว่าคนผู้นั้นดีหรือเปล่า แม้ตายแล้วก็ยังไม่มีคนนึกถึงอยากเซ่นไหว้ ชีวิตช่างน่าอดสูนัก” เสียงคำตัดพ้อดังแว่วมา ทำให้ซูเหยาหดหู่ใจตามหลิงหลงไปด้วย
“อย่าคิดเช่นนั้นเลย ยามนี้เจ้ามีพี่ มีจวนสกุลฉินอยู่เคียงข้าง หาได้โดดเดี่ยวเช่นแต่ก่อนไม่” เฟยหรงเอ่ยปลอบพร้อมกับดึงเข้ามากอดอีกครั้ง
“นั่นเป็นเพราะใบหน้านี้งดงามต่างหากล่ะเพคะ ถ้าเป็นเช่นคราแรกที่พบกันพระองค์คงไม่เอ่ยเช่นนี้เป็นแน่”
เฟยหรงชะงักไป มันคงจริงอย่างที่คนน้องเอ่ย ถ้านางอัปลักษณ์เช่นแต่ก่อนเขาอาจจะไม่เข้าใกล้ แต่ทั้งหมดทั้งมวนมันก็ไม่ใช่องค์ประกอบสำหรับเขา เพราะสตรีคนก่อนก็หาได้งามถึงครึ่งซูเหยาไม่ เพียงแต่ชิงเหมยนั้นช่างเอาใจ ถ้าไม่เกิดเรื่องนั้นยามนี้ก็คงยังครองคู่กันอยู่
“พี่ไม่เถียงว่าเจ้านั้นไม่น่าเข้าใกล้ในคราแรก อีกอย่างก็เป็นเพราะพี่เองก็ไม่อยากมาที่จวนนี้ เจ้าคงรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่รู้หรือไม่สิ่งใดที่ทำให้พี่กลับเข้าจวนอีกครั้ง พอได้ชิมรสมือเจ้าพี่ก็อยากกินอีก และคำบอกเล่าของเสด็จแม่ ที่เอ่ยถึงการดูแลเอาใจใส่ของเจ้า คราแรกพี่ก็คิดว่าเจ้าทำไปเพื่อหวังเกาะตำแหน่งนี้ แต่พอได้อยู่ใกล้มากขึ้นจึงได้เห็นว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เจ้าเป็นสตรีที่มีค่า ส่วนใบหน้านี้สำหรับพี่มันคือกำไร เอ่ยเช่นนี้เจ้าจะโกรธหรือไม่ พี่เป็นคนปากไม่ดี เอ่ยหวานได้เท่านี้แหละ”
เฟยหรงร่ายยาวราวบทกวี ทำเอาคนสนิททั้งสองที่ต้องนั่งเป็นพยานรักถึงกับทำหน้าเลิ่กลั่ก เพราะไม่คิดว่าผู้เป็นนายจะเอ่ยถ้อยคำเลี่ยนออกมาได้
“อ๋องเฟยหรง ท่านไม่อายบ้างหรือเพคะที่เอ่ยเช่นนี้” ถามพร้อมกับทุบลงบนอกแกร่งเบาๆ เพราะยามนี้ใบหน้าคนน้องนั้นเห่อร้อนขึ้นมาจนหูแดง
“พี่รักเจ้าไยต้องอาย ทุกคนต่างก็รู้ เพราะพี่ยอมรับแล้วว่าตนนั้นเป็นหมาอย่างที่เสด็จแม่เรียก เช่นนี้แล้วเจ้าอย่าใจร้ายกับพี่เลยนะ” เสียงอ้อนของอ๋องหนุ่มดังขึ้น ซูเหยารีบดันอกแกร่งออกทันที
“อ๋องเฟยหรงพระองค์อย่ามาทำเสียงเช่นนี้นะเพคะ”
“พี่ก็ทำกับเจ้าคนเดียว ไม่ได้ทำกับคนอื่นเสียหน่อย” ว่าจบเขาก็เคลื่อนตัวลงนอนบนตักดื้อๆ
“ไม่ได้เพคะ หม่อมฉันต้องรีบจำแนกยา ไม่เช่นนั้นอาจจะช้าไปไม่ทันการณ์” เอ่ยพร้อมกับดันร่างแกร่งให้ลุก เฟยหรงเริ่มนึกได้ถึงถ้อยคำคนน้องในตอนที่เขาเข้ามา
“ยาที่เจ้าบอกว่าทำให้เป็นหมันกระนั้นหรือ” เขาขยับเข้ามาใกล้ทันที มองมือขาวใช้ปลายเข็มเขี่ยยาที่ถูกบดละเอียดเป็นกลุ่มๆ เพราะการบดในสมัยนี้ยังไม่สามารถทำให้กลายเป็นผงได้ จึงยังคงจับตัวกันเป็นก้อนกระจุกเล็กๆ หากผสมน้ำชิมก็จะรู้ว่ามันมีอะไรบ้าง
“เพคะ ตอนที่ขันทีวิ่งเอายามาให้ฮ่องเต้เร่งรีบมากจนทำหก หม่อมฉันแอบเก็บมาหลายเม็ด เพราะตอนที่พระองค์เสวยเข้าไปไม่นานก็อาการดีขึ้น แต่สีหน้าอันหมองคล้ำนั้น หม่อมฉันคิดว่าต้องถูกพิษมานานแล้ว”
“ถูกพิษ เจ้าหมายถึงยาเม็ดนี้คือยาพิษกระนั้นหรือ”
“จะว่าพิษก็พิษเพคะ เพราะมันคือสิ่งที่กินติดต่อกันประจำจะทำให้มีบุตรไม่ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับเสียชีวิตหรือใบหน้าหมองคล้ำเช่นนั้น ดูท่ายาที่ฝ่าบาทเสวยคงไม่ได้มีแค่สิ่งนี้ แต่คงมีอย่างอื่นอีก”