11. ออกนอกเมือง
เฟยหรงยังคงครุ่นคิดเมื่อได้ยินคนน้องเอ่ยเช่นนั้น เขาไม่เคยเข้าไปยุ่งเรื่องในวัง ทุกอย่างฮองเฮาและไทเฮาดูแล ตัวฮ่องเต้เองก็ออกว่าแต่ราชการ ไว้ใจคนในวังหลังทุกอย่าง ผู้ใดกันที่คิดวางยาพระเชษฐา
“เจ้าแน่ใจนะซูเหยา” เขาถามคนน้องอีกครั้ง
“เรื่องพิษต้องตรวจอย่างละเอียดเพคะ ส่วนยาเม็ดนี้แน่นอนว่าทำให้ผู้ที่กินนั้นไม่อาจมีบุตรได้ หม่อมฉันคิดว่าหากฝ่าบาทพึ่งจะเสวย ก็น่าจะหาทางแก้ได้ เพราะอายุยังน้อย แต่ถ้าปล่อยไว้นานเกินไปเห็นทีจะแก้ลำบากเพคะ”
“พี่จะทูลเรื่องนี้กับฝ่าบาท”
“ต้องคิดการให้รอบคอบนะเพคะ หากเรื่องนี้มีคนบงการ ก็ต้องอยู่ใกล้ฮ่องเต้มาก ขันทีผู้นั้นก็อาจจะเป็นคนสมรู้ร่วมคิด หรืออาจเป็นใครในวังหลัง ทำสิ่งใดต้องระวังให้มาก” ถ้อยคำของซูเหยานั้นล้วนแต่น่าเชื่อถือ
นั่นยิ่งทำให้เฟยหรงเกิดสงสัยในตัวนางมากขึ้น เขาให้คนสนิทสืบประวัติหลิงหลง จึงได้รู้ว่านางไม่ได้มีความสามารถใดเลย นอกจากแต่งตัวงามไปวันๆ เอาแต่ใจและข่มเหงผู้อื่น พอหน้าเกิดอัปลักษณ์นางก็เอาแต่เก็บตัว
จนกระทั่งถูกจับให้แต่งงานกับจางตงลู่ เรียกได้ว่าต่างจากหลิงหลงผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขานัก และที่สำคัญนางมักจะเอ่ยเรียกแทนตนว่า “ซูเหยา” หาใช่หลิงหลงอย่างที่ควรจะเป็นไม่ ในเมื่อนึกเรื่องในอดีตได้แล้ว
เขาได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ เพราะต้องสืบเรื่องด่วนของพระเชษฐาเสียก่อน เอาไว้ถามนางทีหลังก็ยังไม่สาย หรือจะไม่รู้อะไรเลยเฟยหรงก็ไม่ว่า เพราะยามนี้เขาจะไม่ยอมให้นางจากไปแน่ แม้ว่าจางตงลู่จะมาทวงนางคืนในฐานะภรรยาที่เคยแต่งกันแล้วก็เถอะ
หลังจากหารือเรื่องยาของฮ่องเต้แล้วเสร็จ เฟยหรงก็พาคนน้องออกนอกเมือง เพราะนางต้องการสมุนไพรสำหรับถอนพิษน้ำมันเมล็ดฝ้าย หากเป็นคนในยุคนี้คงไม่รู้
ว่ามันมีสารชนิดหนึ่งปะปนอยู่ หากผสมกับตัวยาบางชนิดก็จะทำให้มีบุตรยากและกลายเป็นหมันในที่สุด ยามนี้เฟยหรงเชื่อชายาตนสนิทใจแล้วว่าสิ่งที่นางเอ่ยนั้นเป็นเรื่องจริง ตลอดทางเขานั่งวิเคราะห์ถึงเรื่องราวตั้งแต่พระเชษฐาได้รับตำแหน่ง ก่อนนั้นมีพระโอรสถึงสองพระองค์ แต่ก็ตายไปในเวลาไล่เลี่ยกัน หมอหลวงตรวจก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ ตั้งแต่นั้นฮ่องเต้ก็ไม่มีบุตรกับผู้ใดอีก
“ที่นี่เป็นป่าดิบชื้นที่สุด เจ้าคิดว่าพอจะหาสมุนไพรได้หรือไม่” เขาหันมาถามคนน้องหลังจากลงจากรถม้าแล้ว
“เพคะ ต้นหูกระต่ายชอบอากาศชื้น ป่านี้ทึบมีร่มเงาต้นไม้ใหญ่ เราอาจไม่ต้องเข้าไปลึกก็ได้ ไปกันเถอะเพคะ”
ว่าแล้วก็เดินเข้าป่าพร้อมกับผู้ติดตามอีกยี่สิบคน เพราะเฟยหรงเกรงว่าคนของจางตงลู่ จะสืบรู้ฐานะชายาตนได้แล้ว เพราะไป่หยารายงานว่าอีกฝ่ายถามเรื่องนี้กับคนในงานเลี้ยง เชื่อว่าคนผู้นี้คงเคียดแค้นมากเป็นแน่
รูปภาพของสมุนไพรถูกแจกจ่ายให้ทุกคน ก่อนที่จะเดินแยกย้ายกัน แต่ก็ไม่ได้ไกลกันนัก มีแค่คนสนิทของเฟยหรงที่ไม่ยอมห่างผู้เป็นนายทั้งสอง บางคนก็หาพบก็รีบเอามาให้ดูว่าใช่หรือไม่ ซูเหยาถึงกับอดขำไม่ได้ เพราะภาพที่ตนเขียนมันคล้ายหูกระต่ายมาก แต่บางคนเอาใบอะไรไม่รู้มาให้ดู มันใหญ่จนปิดหน้ามิดเลยทีเดียว
“สมุนไพรนี้หายากนัก หากหาไม่พบจะช่วยฝ่าบาทได้เช่นไรกัน” อ๋องหนุ่มถึงกับบ่นออกมา เพราะเดินกันนานกว่าชั่วยามแล้ว แต่ยังไม่พบเลยสักต้น หนำซ้ำยังเข้ามาลึกมากจนแสงสว่างจากด้านบนแทบจะไม่มี
“อย่าพึ่งท้อนะเพคะ อย่างไรในป่านี้ก็ต้องมีหลงเหลืออยู่บ้างแหละ ไม่เช่นนั้นภายหน้าจะเอามาจากที่ใดกัน”
“ภายหน้า เจ้าหมายความว่าเช่นใด น้องหญิงเจ้าเอ่ยราวกับว่ามองเห็นอนาคตอย่างนั้นแหละ” เสียงทุ้มเอ่ยถามทันที เพื่อไม่ให้คนน้องหลบเลี่ยงอีก
“พระชายา ท่านอ๋องทางนี้พ่ะย่ะค่ะ มีต้นคล้ายในรูปภาพ ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่” ผู้ติดตามร้องเรียกจากอีกด้าน ซูเหยาได้โอกาสเลี่ยงจึงรีบตรงไปยังที่มาของเสียง
“หึ!..หนีเก่งนักนะ เอาไว้ให้จบลงพี่จะเค้นเอาความจริงจากเจ้าก็แล้วกัน” เฟยหรงเอ่ยพร้อมกับเดินตามคนน้องไป ทุกคนต่างก็ตรงมายังจุดที่ว่า
แต่มันดันเป็นผาซึ่งมีน้ำตกลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ แม้น้ำจะไม่มากแต่เห็นแล้วคงเป็นอุปสรรคพอดู เพราะมันมีตะไคร่น้ำเกาะโขดหินที่ยืนออกมา ทำให้ทุกคนพากันยืนมองอย่างเศร้าใจ ดูท่าสมุนไพรนี้คงจะทำฤทธิ์เข้าแล้ว
“บ้าจริง ผืนป่าออกใหญ่โต ไยถึงมาขึ้นบนสถานที่เช่นนี้ได้” ต้าจูเอ่ยออกมาอย่างหัวเสีย ยามนี้ได้แต่ยืนมองต้นสมุนไพรที่ว่า ไหวเอนไปตามสายลม ราวกับกำลังเย้ยหยันคนที่ยืนดูมันอยู่ และคงไม่ใช่แค่เขาหรอกที่คิดเช่นนี้ เหล่าสหายที่เดินป่ากันมานาน ก็ถึงกับนั่งหมดอาลัย ทั้งหมดแหงนขึ้นไปยังผาเบื้องบน
มองดูท่าทางอ่อนช้อยของต้นสมุนไพรยามมันไหวเอน และที่สำคัญมันดันอยู่กันคนละฝั่งกับพวกเขาด้วยนี่สิ
“ทำเช่นไรต่อพ่ะย่ะค่ะ บ่ายคล้อยเต็มทีแล้ว หากปีนขึ้นไปยามนี้ก็รังแต่จะอันตราย กว่าจะกลับลงมาได้คงมืดค่ำกันพอดี” ไป่หยาเอ่ยกับผู้เป็นนาย
“เจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไร” เฟยหรงหันมาหาคนน้อง เพราะเห็นนางยืนนิ่งตั้งแต่มาถึงแล้ว”
“ไม่รู้เพคะ ไม่ได้คิดเตรียมการเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้ หม่อมฉันรู้ว่าต้นหูกระต่ายชอบอากาศชื้น แต่ไม่คิดว่ามันจะชอบความชื้นมากเพียงนี้” ว่าแล้วก็หันมายิ้มแห้งใส่
“ช่างเถอะ แค่เจ้าจำแนกตัวยาและพามาหาจนพบก็ถือว่าเก่งมากแล้ว สตรีในแคว้นนี้หามีใครเทียบได้ไม่”
ซูเหยามองสามีตาโต ไม่คิดว่าเวลาเช่นนี้เขายังจะเอ่ยชื่นชมนาง ราวกับเป็นผู้วิเศษเสียอย่างนั้น
“อีตานี่ดูท่าจะคลั่งรักมากแฮะ หน้ามือเป็นหลังมือเชียว” นางนึกในใจก่อนจะแหงนขึ้นไปด้านบน
มันจริงอย่างที่เขาว่า ซูเหยาก็แค่ผู้หญิงธรรมดา แม้จะมาจากโลกอนาคต แต่ก็รู้แค่เรื่องรักษาและฉลาดคิดในบางเรื่องเท่านั้น ไม่ได้เก่งเรื่องวางแผนหรือต่อสู้อะไร
ผาสูงแบบนี้ถ้าจะให้นางคิดหาวิธีเอาสมุนไพรลงมาคงต้องรอนานหน่อย เพราะฉะนั้นปล่อยให้เป็นเรื่องผู้ชายเขาดีกว่า อีกอย่างซูเหยาก็กลัวความสูงด้วย แหงนดูด้านบนแล้ว ก็ยังต้องมาผวาด้านล่างอีก เพราะตอนนี้พวกตนอยู่กึ่งกลางความสูงของผาพอดี นี่จึงเป็นปัญหาใหญ่ในตอนนี้
“แยกย้ายกันไปหาอาหาร อีกกลุ่มก็ไปหาฟืนมาก่อกองไฟ เอามามากหน่อยที่นี่หนาว อีกอย่างอาจมีสัตว์ร้ายออกมาหากินตอนกลางคืน แล้วค่อยมาคิดหาวิธีเก็บสมุนไพรกันอีกที” ฉินอ๋องออกคำสั่งกับคนของตน ทั้งหมดจึงแยกย้ายแบ่งเป็นสามกลุ่ม เพื่อไปหาอาหารและสำรวจโดยรอบ ที่เหลือก็อยู่อารักขาผู้เป็นนาย
“สูงเช่นนี้จะข้ามไปอย่างไรเพคะ” ใบหน้าหวานหันกลับมาถามผู้ที่ยืนอยู่ข้างกาย
“เจ้าว่าที่นี่สวยหรือไม่” เฟยหรงไม่ได้ตอบคำถามคนน้องเลย แต่กลับเบี่ยงตัวมายืนซ้อนหลังกอดนางไว้
“ท่านอ๋องไยไม่อายเหล่าองครักษ์บ้างเพคะ”
“อายทำไม ข้ากอดภรรยาตนเอง หาได้กอดสตรีอื่นไม่”
“ชิ!..ท่านช่างเป็นบุรุษหน้ามึนยิ่งนัก” ตำหนิไปเช่นนั้นเอง สุดท้ายมือเล็กก็ยกขึ้นมาวางทับมืออีกฝ่ายไว้
“เอาไว้แก้ไขเรื่องนี้แล้วเราแต่งงานกันนะ พี่ไม่อยากเสียเจ้าไป” เสียงทุ้มอ่อนโยนเอ่ยอยู่ข้างหูคนน้อง ซึ่งตอนนี้มันขึ้นสีแดงเรื่อเพราะคนตัวโตขบเม้มด้วย ใจดวงน้อยเต้นรัวราวกับกลองที่มีคนรัวตีเป็นชุด
ก่อนจะถูกสะกดด้วยภาพเบื้องหน้าซึ่งคงไม่มีโอกาสได้เห็นมันอีกหากไม่อยู่ที่นี่ ทิวทัศน์งดงามเบื้องหน้า มองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา แทรกแซงด้วยใบไม้เขียวขจี ปะปนกับกลีบดอกหลากสีที่กำลังเบ่งบาน มันช่างเป็นภาพที่สวยงามยิ่งนัก ยามต้องแสงอาทิตย์ยามอัสดง
“เพคะ”เสียงหวานตอบรับทำเอาคนฟังอบอุ่นใจไม่น้อย
“พี่รักเจ้าซูเหยา สาบานต่อแม่น้ำขุนเขาจะมีแค่เจ้าผู้เดียว อย่าทิ้งพี่ไปนะ” ถ้อยคำสั่นเครือเปล่งออกมา ซึ่งซูเหยาเข้าใจดีว่าเหตุใดอ๋องหนุ่มจึงหวาดกลัวเช่นนี้
“หากท่านอ๋องคิดว่าตนรักมั่นไม่เป็นอื่น ก็จงเชื่อใจหม่อมฉันเถอะเพคะ ต่อให้มีบุรุษใดเอามีดมาจี้คอ ซูเหยาผู้นี้ก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจจากพระองค์เป็นแน่” ถ้อยคำที่เอ่ยแม้จะไม่มีคำว่ารักปะปนอยู่ แต่เฟยหรงก็รู้ว่ามันออกมาจากใจคนน้อง และเชื่อว่านางจะทำอย่างที่พูดจริงๆ
“ท่านอ๋อง จ้าวเก๋อล่ากวางมาได้พ่ะย่ะค่ะ” ไป่หยาเอ่ยบอกผู้เป็นนาย พร้อมกับยิ้มร่าดีใจ
“ท่านอ๋อง กระหม่อมได้หมูป่าพ่ะย่ะค่ะ” สหายอีกคนก็แบกสิ่งที่เอ่ยออกมาเช่นกัน
“ดี รีบจัดการให้เสร็จเถอะจะได้พักผ่อน”
ทุกคนต่างก็กุลีกุจอกันคนละไม้คนละมือ กองไฟใหญ่ถูกก่อขึ้นบนลานกว้างซึ่งถูกถากถางจนเตียน ส่วนคนจัดการกับอาหารก็เลี่ยงออกไปทำในป่า
เพราะเกรงว่ามันจะส่งกลิ่นคาวเรียกให้อันตรายคืบคลานเข้ามา แล้วเสร็จก็จัดการฝังดับกลิ่นก่อนจะเอาย่างไฟถ่านที่ถูกเตรียมไว้แล้ว
“อยากเช็ดตัวหน่อยหรือไม่” เสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้น เมื่อเห็นคนน้องดูท่าอยู่ไม่สุข ซูเหยาหันกลับมายิ้มแห้งใส่ทันที ก็นางไม่ชินกับการเดินป่า พอเหงื่อออกมันก็คันยุบยิบขึ้นมา ไม่ว่าใครก็เป็นกันทั้งนั้น
“ก็อยากอยู่เพคะ มันคัน” เอ่ยเสียงเบาให้ได้ยินแค่สองคน เฟยหรงยกยิ้มก่อนจะสั่งให้คนของคนรองน้ำตกไปไว้ในพุ่มไม้ไม่ไกลจากที่พัก ยังดีที่ตะกร้าสานซึ่งเอามาเก็บสมุนไพรนั้นสามารถใส่น้ำได้ ใช้แค่สามตะกร้าก็พอสำหรับคนตัวเล็ก ขอแค่ได้ล้างตัวบ้างก็ยังดี
“ไปเถอะพี่จะดูต้นทางให้”
“ชิ!..ดูต้นทาง หรือไปยืนดูกันแน่เพคะ”
ซูเหยาเอ่ยอย่างคนรู้ทัน เพราะดูจากรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาแล้ว คงไม่ทำอย่างที่พูดแน่
“ก็ทั้งดูต้นทาง แล้วก็ดูเมียด้วยสองอย่างเลย รีบไปเถอะจะมืดแล้ว ประเดี๋ยวสัตว์ป่าออกมาหากินจะแย่ ถ้าพี่ยืนถือคบไฟคนข้างนอกคงเห็นหมดพอดี”
ใบหน้าหวานค้อนขวับเข้าให้ สุดท้ายนางก็ต้องอาบน้ำโดยมีสามีเฝ้า แต่ยังดีที่เขาหันหลังให้ ซูเหยาเลยรีบนั่งลงตักน้ำล้างเนื้อตัวไม่นานก็แล้วเสร็จ ก่อนจะดึงผ้าที่พาดอยู่บนบ่าแกร่งมาเช็ดลวกๆ มือเรียวส่งอาภรณ์ให้คนน้อง
“ให้พี่ช่วยใส่ไหม” แสร้งถามออกไปอย่างนั้นเอง
“ไม่ต้องเลย หม่อมฉันใส่ได้” เสียงหวานแห้วมาทันที อ๋องหนุ่มก็ได้แต่ยืนยิ้ม สักพักคนน้องก็สะกิด
“เสร็จแล้วเพคะ” ได้ยินเช่นนั้นเฟยหรงก็หันมา เขายกยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าของชายาตัวน้อย เพราะแม้จะพึ่งล้างหน้า แต่นางก็ยังดูสดใสงดงามเช่นเคย
“ไยพี่ถึงโชคดีเช่นนี้นะ” เขาเอ่ยก่อนจะรั้งคนน้องเข้ามา