บท
ตั้งค่า

บทที่ 8 ข้าจะตรวจท่านเอง

มิน่าล่ะ!

ร่างกายของฮ่องเต้ชั่วนั่นถึงย่ำแย่ลงทุกวัน กลายเป็นคนขี้โรคอ่อนแอ นี่เป็นแผนการตามใจของหนิงซงกับหนิงไต้ซีสองพ่อลูกทั้งนั้น

ต้องรู้ไว้นะว่า ถึงจีจิ่งเหวินจะอำมหิตวิปริต แต่เชี่ยวชาญตำราการปกครอง รู้จักจัดการปกครอง มีความคิดทางด้านการทหารชัดเจน มีความคิดเป็นของตนเองมาก

ที่หนิงไต้ซีบอกว่าฮ่องเต้ไม่รู้เรื่องข้อราชกิจสักนิด ก็เป็นแค่ข้อกล่าวหาที่ยัดใส่เพื่อใช้ในการควบคุมเขาเท่านั้นเอง

แต่ยิ่งมีความคิดเป็นของตนเองเท่าไหร่ก็ยิ่งยากจะควบคุมได้ ดังนั้นเจ้าหมาแก่หนิงซงเลยหมดความอดทนและคิดจะเปลี่ยนคนแทน

เปลี่ยนจีจิ่งอี้ที่อายุสิบปีเป็นรัชทายาทแทน พอตนตายไปก็ขึ้นครองราชย์ต่อได้เลย และหนิงซงก็สามารถกุมอำนาจในราชสำนักไว้ได้อย่างมั่นคง บวกกับไทเฮาหนิงไต้ซีกุมอำนาจวังหลังไว้ งั้นต้าเหยียนก็เท่ากับกลายเป็นของตระกูลหนิงไปโดยปริยาย

หลินจื่อโม่ยิ้มเย็น ในเมื่อพวกเจ้าคิดเอาชีวิตข้า งั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว

เขาก้าวเท้าเดินออกไปหนึ่งก้าว ยิ้มมุมปากจางๆ “หือ? ให้น้องชายเข้าอยู่ตำหนักตงกง?”

หนิงไต้ซีตอบ “ใช่”

หลินจื่อโม่ก้าวขึ้นหน้าอีกก้าว รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งชัดขึ้น ทั้งเย้ยหยันและเย็นชา

“นับแต่โบราณมีแต่ฮ่องเต้ที่ไร้ทายาทสวรรคต ถึงยกบัลลังก์ให้อ๋อง แต่ลูกยังอยู่ เสด็จแม่กลับจะให้น้องเจ็ดเข้าตำหนักตงกง อย่าพึ่งพูดถึงเรื่องถูกต้องกับกฎบรรพชนหรือไม่ หรือว่า...เสด็จแม่คิดว่าลูกคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้วงั้นรึ?”

หนิงไต้ซีสีหน้าไม่เปลี่ยน เพียงเหล่มองพลางว่าเขา “ข้าแค่พูดเรื่องทายาท ฮ่องเต้คิดมากไปแล้ว แค่ป้องกันไว้ก่อนเท่านั้นเอง”

“งั้นรึ? ก็เท่ากับว่าลูกจะอยู่ได้อีกไม่นานมิใช่รึ?”

หลินจื่อโม่ยิ้มบางออกมา พลางเปลี่ยนเรื่องว่า “ก็จริง เสด็จแม่เฉลียวฉลาดเชี่ยวชาญกลยุทธ์ ควบคุมดูแลวังหลังได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และควบคุมเรื่องต่างๆในราชสำนักไว้ในกำมือได้ดีด้วย”

หนิงไต้ซีอึ้งเล็กน้อย มองเขาอย่างสงสัย ก่อนจะสีหน้าเปลี่ยนทันที

เพราะนางพบว่า ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่หลินจื่อโม่มายืนเบื้องหน้าตนในระยะห่างไปไม่ถึงก้าวเท่านั้นแล้ว

“เพียงแต่ว่า....”

หลินจื่อโม่ยิ้มบาง มองหนิงไต้ซีที่นั่งอยู่อย่างผู้ที่อยู่สูงกว่า รอยยิ้มที่มุมปากโค้งขึ้นพลางว่า “เสด็จแม่รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่รู้จักบุรุษ ท่านเองก็ไม่เคยลอง จะแน่ใจได้อย่างไรว่าร่างกายข้าย่ำแย่และไม่อาจมีทายาทได้น่ะ?”

แสงตะเกียงทอประกายพลิ้วไหว ส่องสะท้อนให้รเอนร่างงดงามของหนิงไต้ซีดูเย้ายวนล้ำเลิศมากยิ่งขึ้น

จากมุมของหลินจื่อโม่ เรือนร่างในชุดหรูหรานั้นงดงามเย้ายวน ส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจน ผสมผสานเสน่ห์ของผู้หญิงเต็มวัยและความเย้ายวนของสาวน้อยไว้ด้วยกัน หลินจื่อโม่รู้สึกร้อนขึ้นที่ท้องน้อย และความร้อนนั้นค่อยๆเพิ่มขึ้น

หนิงไต้ซีอึ้ง ก่อนตะคอกว่า “เจ้า...บังอาจ!”

หลินจื่อโม่โค้งเอวลงเล็กน้อย ยื่นหน้าเข้าใกล้นาง พูดเย้าเล่นว่า “อ้อ? ข้าบังอาจตรงไหนกันล่ะ?”

ไม่รู้เพราะอะไรหัวใจของหนิงไต้ซีเรี่มเต้นเร็วขึ้น นางคิดจะถอยหลังหนีในบัดดล

นางรู้สึกว่าฮ่องเต้เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยแววเย้าหยอกและโลมเลีย ไม่มีเหิมเกริมโอหังอย่างในวันวาน ขนาดคำเรียกยังเปลี่ยนจากลูกเป็นข้า

ต้องรู้ไว้นะว่า พอมีฐานะอำมาตย์นายกหนิงซงและไทเฮาของตนกดทับไว้ ปกติต่อให้ฮ่องเต้จะบ้าคลั่งยังไง พอเห็นตนก็จะระมัดระวังเชื่อฟังว่าง่ายมาตลอด แต่วันนี้....

“เจ้า...เจ้าออกไปให้ห่างข้าหน่อย ออกไป!”

น้ำเสียงหนิงไต้ซีเริ่มสั่นเครือ

หลินจื่อโม่ส่ายหน้าบอก “ไม่ต้องรีบร้อน เสด็จแม่บอกว่าข้าร่างกายย่ำแย่มิใช่รึ ข้าเลยมาให้ท่านตรวจด้วยตนเองอย่างไรเล่า”

ระหว่างพูด เขาพลันยื่นมือไปจับมือหนิงไต้ซีมากำปลายท่อนมังกรของตนไว้

“อ๊า!”

หนิงไต้ซีรู้สึกว่าในมือกำลังกำแท่งบางอย่างที่ไม่อาจบอกชื่อได้ มันทั้งแข็ง แกร่ง ตรงและร้อน ทำเอานางตกใจร้องอุทานออกมา

เสียงร้องอุทานทำให้ด้านนอกสะดุ้ง เสียงหนึ่งร้องขึ้นอย่างร้อนรน “ไทเฮา! เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ? ให้ข้าน้อยเข้ามาได้หรือไม่?”

หลินจื่อโม่คุ้นเคยกับเสียงนี้ดี คือขันทีข้างกายไทเฮาคนนั้น

เขาพูดเสียงเบาว่า “ท่านเป็นไทเฮาที่เป็นแม่แห่งแผ่นดิน หากให้คนเข้ามาเห็นท่านกำลังลวนลามฮ่องเต้ซึ่งเป็นลูกชายท่าน ท่านว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไรกันเล่า?”

เรือนร่างหนิงไต้ซีสะท้าน ร้องเสียงดังร้อนรนทันที

“ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องเข้ามา!”

ด้านนอกไม่กล้าพูดอะไรอีก ส่วนหนิงไต้ซีพยายามดึงมือกลับอย่างสุดแรง แต่เรี่ยวแรงของหลินจื่อโม่มีมากกว่าที่นางคาดคิดไว้ นางลองอยู่หลายครั้ง แต่ยังคงถูกเขาจับไว้อย่างแน่นหนา และมือของตนก็ยังคงกำปลายท่อนร้อนของเขาเอาไว้

“เจ้าปล่อยมือข้านะ!”

หนิงไต้ซีทั้งตกใจทั้งเดือดดาล อีกมือหนึ่งถูกยกขึ้น แต่กลับโดนหลินจื่อโม่คว้าจับไว้ทัน

หลินจื่อโม่ก้าวเท้าเหยียบเก้าอี้ ใช้ร่างกดทับหนิงไต้ซีไว้พลางว่า “ท่านดูสิ ร่างกายข้าไม่ได้ย่ำแย่เสียหน่อยจริงไหม?”

“เจ้าต้องการอะไรกันแน่?!”

หนิงไต้ซีเดือดดาลเก้อเขินอย่างถึงขีดสุด ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกหวาดกลัวด้วย

“ในเมื่อเสด็จแม่พิสูจน์แล้วว่าร่างกายข้ามิได้ย่ำแย่ งั้นเรื่องให้น้องเจ็ดเข้าอยู่ตำหนักตงกงก็ไม่จำเป็นต้องจัดการต่อแล้วล่ะ”

หลินจื่อโม่ยิ้มน้อยๆ เอามือหนิงไต้ซีที่กำปลายท่อนร้อนออก ขืนจับนานกว่านี้ตนคงทนไม่ไหวแน่

แต่เขาไม่ได้ปล่อยนาง แต่กลับจับสองมือของหนิงไต้ซีกดไว้กับที่เท้าแขนทั้งสองข้าง

“ตอนนั้นที่อดีตฮ่องเต้แต่งตั้งท่านเป็นฮองเฮา เป็นแค่ข้อตกลงทางการเมืองเท่านั้นก็เพียงแค่ดำรงไว้ซึ่งความมั่นคงของราชสำนัก คิดจะยืมอำนาจเจ้าหมาแก่หนิงซงเท่านั้นเอง อันที่จริงอดีตฮ่องเต้ไม่เคยแตะต้องท่านเลย ซึ่งก็หมายความว่า จนถึงตอนนี้ท่านยังเป็นหญิงบริสุทธิ์อยู่ ดังนั้นท่านแค่มีชื่อเป็นไทเฮา แต่มิได้เป็นอย่างแท้จริง อย่าถือตนไปนักเลย”

หนิงไต้ซีมองเขาตาเบิกโพลง พลันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีแล้ว

“ข้ารู้ว่าพวกท่านล้วนกำลังรอให้ข้าตาย จากนั้นก็ยกน้องเจ็ดขึ้นมาเป็นฮ่องเต้หุ่นเชิด แต่ท่านเดาสิว่าข้าจะทำตามอย่างที่พวกท่านหวังหรือไม่?”

พอพูดจบ หลินจื่อโม่พลันยกมือขึ้นคว้าจับหน้าอกหนิงไต้ซีไว้อย่างรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด ทำเอาชุดหงส์ของนางยับย่นขึ้น

“อ๊า!”

หนิงไต้ซีร้องอุทานออกมาอีก ใบหน้างดงามเลิศล้ำลนลานไปหมด นางยกมือขึ้นผลักหลินจื่อโม่เต็มแรง แต่ประหนึ่งไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ไม่ได้ทำให้ปีศาจร้ายตรงหน้าขยับตัวเลยสักนิด

ด้านนอกประตูพลันมีเสียงขันทีแก่คนนั้นดังขึ้นอีก “ไทเฮา! ทรงปลอดภัยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ขอทรงอนุญาตให้ข้าน้อยเข้ามาด้วยเถิด!”

มีเสียงดังขึ้นอีก “ฝ่าบาทกำลังปรึกษาราชกิจกับไทเฮา ห้ามผู้ใดบุกรุก!”

ขันทีแก่ตะคอกดังอย่างเดือดดาล “เจ้าสุนัขรับใช้ กล้ามาขวางข้ารึ?”

เสียงเพี๊ยะดังขึ้น ราวกับมีคนโดนตบ จากนั้นก็มีเสียงเอะอะโวยวาย

หลินจื่อโม่ไม่ได้สนใจ แค่เพิ่มแรงบีบที่มือเล็กน้อย

กลมเด้งเต็มมือ ยืดหยุ่นมาก!

หนิงไต้ซีร้องอุทานอย่างตกใจ แต่กลับมีความรู้สึกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเข้ากระแทกกลางใจ นางแยกไม่ออกว่าเป็นความเจ็บหรือความเสียว

หลินจื่อโม่กระซิบข้างหูหนิงไต้ซี พูดอย่างเย็นชาว่า

“ข้ารู้ว่าที่อยู่ด้านนอกน่ะเป็นคนของท่าน ท่านจะร้องเรียกเข้ามาฆ่าข้าตายที่นี่ก็ได้ แต่ตระกูลหนิงของท่านวางแผนมานานหลายปีขนาดนี้ จะยอมเป็นขุนนางโฉดที่ทำการปลงพระชนม์ฮ่องเต้ในตอนนี้จริงรึ? แต่หากข้าไม่ตาย คงต้องรอดูกันละว่าใครจะตายก่อนกัน!”

ในตอนนี้เอง มีเสียงฝีเท้าสะเปะสะปะไปหมดด้านนอกตำหนัก จากนั้นก็มีเสียงขันทีแก่ดังขึ้นอย่างเดือดดาลว่า “พวกเจ้า...พวกเจ้าทำอะไรน่ะ? ใครให้พวกเจ้ามากัน?”

เสียงที่หลินจื่อโม่คุ้นเคยดังขึ้น “กระหม่อมเซี่ยหยุน มารับฝ่าบาทกลับตำหนักพ่ะย่ะค่ะ!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel