บทที่ 7 ไทเฮาคนงาม
พอขึ้นนั่งในรถม้าที่ใหญ่จนต้องให้สิบหกคนหาม หลินจื่อโม่เหลือบมองเซี่ยหยุนที่อยู่ข้างๆ
เป็นคนที่เถรตรงเอามากๆจริงๆ
น้องสาวเขาเป็นฮองเฮา แต่เซี่ยหยุนไม่เพียงไม่ใช้อำนาจของฐานะพระญาติราชวงศ์หาผลประโยชน์ให้ตนเอง ตรงกันข้าม กลับคอยเป็นปฏิปักษ์กับฮ่องเต้อีก
ขอแค่เซี่ยหยุนยอมอ่อนข้อประจบเสียหน่อย ก็ไม่ถึงกับยังเป็นแค่รองผู้บังคับบัญชาแห่งองครักษ์วังหลวงแบบนี้หรอก
“เจ้ามานี่”
หลินจื่อโม่เรียกเซี่ยหยุน
ถึงเซี่ยหยุนจะไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่ก็ยอมขึ้นรถม้าโดยดี
“เรื่องท่านพ่อตา ข้าผิดเอง ข้าจะออกคำสั่งคืนตำแหน่งให้ท่านพ่อตา”
หลินจื่อโม่จู่ๆก็เอ่ยขึ้นมา ทำเอาเซี่ยหยุนอึ้งไปอีก
เมื่อก่อนฮ่องเต้สารเลวนี่บอกจะให้ท่านพ่อแก่ตายที่ชายแดนมิใช่รึ? ทำไมจู่ๆเปลี่ยนใจเสียล่ะ?
“กระหม่อมขอบพระทัยพระกรุณาล้นเกล้าของฝ่าบาทแทนท่านพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมฮ่องเต้ตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไปมากแบบนี้ เซี่ยหยุนยังคงทำความเคารพเขา แต่โดนหลินจื่อโม่ห้ามไว้ “ช่างมันเถิด มันเป็นความผิดของข้าเองนี่นา”
“ข้าตัดสินใจจะจัดระเบียบราชสำนักเสียใหม่ ต้องการให้ท่านพ่อตาและท่านพี่เมียช่วยข้าด้วย”
แต่โบราณมา การที่ฮ่องเต้จะอาศัยเครือญาติฝั่งเมียมาทำให้อำนาจตนมั่นคงนั้นเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นการแต่งงานของฮ่องเต้โดยปกติแล้วคือการแต่งงานทางการเมือง
“ข้าอยากให้ท่านพี่เมียรับตำแหน่งผู้บังคับบัญชาใหญ่แห่งองครักษ์วังหลวง อารักขาความปลอดภัยของข้ากับฮองเฮา มิทราบว่าท่านพี่เมียคิดเห็นเป็นอย่างไร?”
หลินจื่อโม่พูดอย่างจริงจังหนักแน่น จนเซี่ยหยุนคล้อยตามกับอารมณ์เขา สีหน้าตื่นเต้นมากพลางว่า “กระหม่อม เซี่ยหยุน จะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังแน่พ่ะย่ะค่ะ!”
หลังจากเซี่ยเฟิ่งชิงกลายเป็นฮองเฮา ตระกูลเซี่ยก็ถูกมัดติดกับฮ่องเต้แล้ว ตระกูลเซี่ยของพวกเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกอีก
และตำแหน่งผู้บังคับบัญชาองครักษ์วังหลวงนี่ ถือเป็นตำแหน่งขุนนางขั้นสอง ยังสูงกว่าตำแหน่งขุนนางขั้นสามชั้นพิเศษเดิมที่ท่านพ่อเคยเป็นเสียอีก
“เจ้าเอาป้ายคำสั่งของข้าไปรับกององครักษ์หลวง หากมีผู้ใดคัดค้าน ประหารก่อนมารายงานได้!”
หลินจื่อโม่หยิบตราประทับส่วนพระองค์ของตนออกมา และมอบไว้ในมือเซี่ยหยุนอย่างหนักแน่นจริงจัง
“ข้าจะถ่วงเวลาไทเฮาไว้ ท่านต้องเร่งมือเข้าล่ะ!”
“กระหม่อมรับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ!”
เซี่ยหยุนพาลูกน้องคนสนิทไม่กี่คนของตนเร่งรีบจากไป ส่วนหลินจื่อโม่ก็มาถึงตำหนักอี้เยว่ของไทเฮา
ในตำหนัก
เด็กชายอายุราวสิบปีคนหนึ่งกำลังอ่านตำราปรัชญาม้วนหนึ่ง
นี่คือลูกชายคนเล็กของฮ่องเต้องค์ก่อน ถือเป็นองค์ชายลำดับที่เจ็ดในบรรดาองค์ชายทั้งหมด แม่เขาตกเลือดตายยามคลอดเขา เลยถูกยกตัวมาให้ไทเฮาที่ไร้ทายาท
จ้าวอ๋อง จีจิ่งอี้
พอเห็นหลินจื่อโม่เดินเข้ามา จีจิ่งอี้เพียงเหล่มองเงียบๆ ไม่มีแม้แต่ทักทาย
นี่แทบจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
หลินจื่อโม่เดินเข้าไปตำหนักด้านใน และได้เห็นร่างหนึ่งนั่งอยู่หลังม่านไข่มุก เนื่องจากการกีดขวางของม่านไข่มุก ทำให้เขามองเห็นไม่ชัดนัก เห็นแค่เรือนร่างเลือนราง
หลังม่านไข่มุก
ไทเฮาหนิงไต้ซีในชุดหงส์หรูหรานั่งพิงพนักเก้าอี้ สองข้างมีนางกำนัลคอยพัดให้ นางดูจะง่วงงุนอยู่ มือขวาเท้าเก้าอี้ไว้ ใช้หลังมือพยุงแก้มด้านขวา ดวงตางามปิดอยู่เล็กน้อย
นางมีอายุเกือบสามสิบแล้วแต่ดูเหมือนแค่ยี่สิบต้นๆ ถึงจะดูอ่อนวัยอยู่ แต่เรือนร่างกลับเย้ายวนเต็มสัดส่วน อาจเพราะอยู่สูงส่งเลยไม่ขาดแคลนสารอาหารบำรุง สัดส่วนนางไม่ธรรมดาเลย สัดส่วนดูเย้ายวนตานัก ทำให้รูปหงส์ทองบนชุดหงส์ดูอวบอ้วนขึ้นหลายส่วน
อาจเพราะต้องแบกรับหน้าที่หนักหน่วงทำให้เหน็ดเหนื่อย นางเอนพิงพนักเก้าอี้น้อยๆ ดูเกียจคร้านอยู่ในที
“ไทเฮา ฝ่าบาทมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีนั่นเดินมายืนหน้าม่านไข่มุกอย่างรวดเร็ว
“ทำไมล่าช้าเพียงนี้?”
มีเสียงไม่ค่อยพอใจของไทเฮาดังมาจากด้านหลังม่านไข่มุก
“กราบทูลไทเฮา ฝ่าบาททรงปฏิเสธต่างๆนานา กระทั่งยังคุมตัวข้าน้อยไว้ด้านนอกตำหนัก ไทเฮามิทรงทราบ ครั้งข้าน้อยลำบากยิ่งนักเลยพ่ะย่ะค่ะ....”
ขันทีเล่าเรื่องอย่างใส่สีตีไข่ ถึงจะก้มหน้าทำท่าทางน่าสงสาร แต่กลับยังคงเหล่มองหลินจื่อโม่อย่างเยาะเย้ยอวดดี
“ฮ่องเต้ เป็นเช่นนี้จริงรึ?!”
“ข้ากำลังจัดการงานราชกิจ เลยมาช้าไปสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
หลินจื่อโม่ขี้เกียจอธิบาย แต่แล้วหนิงไต้ซีที่อยู่หลังม่านไข่มุกกลับเดือดเลยโพล่งว่า “ข้าบอกไม่ให้เจ้าจัดการงานราชกิจไม่ใช่รึ? ทำไมถึงบุกเข้าไปหอเหวินยวนก่อกวนงานราชกิจ?!”
หลินจื่อโม่เกือบหลุดหัวเราะด้วยความโกรธ “ลูกเป็นโอรสสวรรค์ จะไปจัดการงานราชกิจเป็นเรื่องถูกต้องและชอบธรรม คำว่าก่อกวนงานราชกิจมาจากที่ใดกันรึ?”
ด้านหลังม่านไข่มุกพลันเงียบไปครู่หนึ่ง
ไทเฮาตกตะลึง
ต้องรู้ไว้นะว่า เมื่อก่อนยามอยู่ต่อหน้านางนั้นหลินจื่อโม่จะเคารพว่าง่ายเสมอ ไม่กล้าหายใจแรงด้วยซ้ำ และไม่เคยคัดค้านต่อต้านนางเลย
“ข้าเคยพูดไว้นานแล้ว เจ้ายังอายุน้อย ไม่รู้เรื่องงานราชกิจเลยสักนิด ให้เจ้าเข้าไปจัดการข้อราชกิจ ใต้หล้ามิวุ่นวายไปใหญ่รึ?!”
จู่ๆมาโดนเขาต่อต้านเช่นนี้ ไทเฮาโกรธลุกขึ้นยืน และเดินออกมาจากหลังม่านไข่มุก
ในตอนนี้เองหลินจื่อโม่ถึงได้เห็นใบหน้าหนิงไต้ซีไทเฮาคนนี้อย่างชัดเจน
ไทเฮาตรงหน้าคิ้วโก่งดั่งคันศร ผิวเนียนราวหยกขาว
ใบหน้างดงามเลิศลักษณ์ มีปิ่นหงส์ทองแซมผม ทรวดทรงองค์เอวคอดได้รูป ทุกย่างก้าวแผ่วเบาราวเดินบนดอกบัว
ในตอนนี้เอง แม้ว่านางจะมีสีหน้าเดือดดาล หากยังคงงามล่มชาติล่มเมือง
ก่อนมาเจอไทเฮา หลินจื่อโม่เคยเจออันหลิงซวินที่งามเย้ายวนแต่กำเนิด รวมถึงเซี่ยเฟิ่งชิงที่งามดุจนางฟ้ามาแล้ว
เขาไม่เคยคิดเลยว่า ในโลกนี้จะมีสาวงามที่งดงามยิ่งกว่าพวกนางอีก
และไทเฮาตรงหน้านี้ไม่เหมือนกับพวกนางเลยสักนิด
นางเป็นของชั้นเลิศที่หากใครได้เห็นก็จะมีความพลุ่กพล่านร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างน่าประหลาด!
ยั่วคนเสียจริง
เห็นแค่แวบเดียวก็แทบจะสูญสิ้นวิญญาณเสียแล้ว
โดยเฉพาะใบหน้างดงามเลิศล้ำของไทเฮา เพียงแต่ในตอนนี้ไม่มีเวลามาเหม่อลอย
“ลูกไม่ใช่เด็กแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
หากมิใช่เพราะในตำหนักยังมีนางกำนัลและขันทีอยู่ หลินจื่อโม่คงไม่แก้ไขคำพูดให้นางหรอก “ข้าอายุยี่สิบปีแล้ว จ้าวอ๋องพึ่งสิบปีเท่านั้น แต่กลับได้เริ่มทำราชกิจ ไทเฮา ท่านลำเอียงนะพ่ะย่ะค่ะ!”
เซี่ยเฟิ่งชิงเป็นคนบอกให้เขารู้เอง ตอนจ้าวอ๋องอายุได้สี่ปี ไทเฮาก็เชิญอาจารย์มาอบรมสั่งสอนโดยเฉพาะ แถมยังพาเขาไปฟังราชกิจอยู่เป็นนิจ
เรียกว่าลำเอียงที่ไหนกัน ความคิดของไทเฮากับอำมาตย์นายกเรียกได้ว่า แทบจะประกาศให้โลกรู้แล้ว
“บังอาจ!”
“สามหาว!”
หนิงไต้ซีเดือดจัด แต่เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ “พวกเจ้าออกไปก่อน ปิดประตูด้วย ห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาโดยเด็ดขาด!”
นางสั่งให้นางกำนัลขันทีทั้งหมดออกไป
จนในตำหนักเหลือเพียงพวกเขาสองคน หนิงไต้ซีถึงพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ตั้งใจร่ำเรียนวิชาแต่เด็ก ตอนอายุน้อยก็เอาแต่ลุ่มหลงในสุรานารี ตอนนี้เจ้าอายุยี่สิบปีแล้ว แต่กลับมิมีทายาทเลย ข้าตัดสินใจแล้วจะให้จ้าวอ๋องเข้าอยู่ตำหนักตงกงเป็นรัชทายาท เพื่อกันไม่ให้ใต้หล้าระส่ำระสายยามไร้กษัตริย์ในภายภาคหน้า!”
แบบนี้นี่เอง
ตอนนี้หลินจื่อโม่ถึงได้รู้ว่า ทำไมฮ่องเต้ชั่วนั่นถึงได้รีบหาตัวแทนอย่างเขามา
หากจ้าวอ๋องเข้าอยู่ตำหนักตงกงเป็นรัชทายาท งั้นฮ่องเต้เช่นเขาเกรงว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน
แถมตามหลักแล้ว ตอนฮ่องเต้ชั่วนั่นเป็นไท่จื่อก็น่าจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวด แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ในตำหนักไท่จื่อของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยสาวงามมากมาย
เขายังอายุน้อย มีหรือจะหักห้ามความเย้ายวนนี้ได้ไหว