บทย่อ
ทะลุมิติไปเป็นตัวแทนฮ่องเต้ของราชวงศ์ต้าเหยียน ข้าแค่อยากเป็นกษัตริย์ที่กุมอำนาจใต้หล้า มีหญิงงามมาปรนเปรออยู่ข้างกาย จะไงซะได้ ในวังมีขุนนางกบฎวางอำนาจบาตรใหญ่ นอกวังมีศัตรูคอยฉวยโอกาสโจมตี ทำไงได้ไอ่เราก็ต้อง ลุกขึ้นเตรียมสู้รบปรบมือ สังหารขุนนางกบฎ ล้มทลายแคว้นศัครู ตะโกนกึกก้อง:ผู้ใดกล้าล่วงเกินต้าเหยียนของข้า ผู้นั้นจักต้องหัวหล่นจากบ่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม พอหวนคิดตนนั้นได้เป็นแคว้นศูนย์กลายของยุคนั้นไปแล้ว
บทที่ 1 ไท่เฟยที่งดงามเลิศล้ำ
ตำหนักกานฉวน
“เดรัจฉาน ไม่ได้ อย่าแตะต้องข้านะ ข้าเป็นเสด็จแม่ของเจ้านะ!”
ระหว่างเสียงด่าทอกราด หลินจื่อโม่เงยหน้าขึ้นอย่างมึนงง เรือนร่างอรชรเลือนรางร่างหนึ่งค่อยๆเปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นมาต่อหน้าเขา
สตรีที่งดงามดุจภาพวาด ใส่ชุดและเครื่องประดับหรูหรา แต่ในเวลานี้ ดวงตานางฉายแววตกตะลึงและโกรธแค้น เสื้อผ้านางราวกับถูกดึงให้ฉีกขาดอย่างแรง เผยให้เห็นเสื้อตัวในแพรไหมแนบเนื้อ ถึงนางจะพยายามใช้แขนปิดบังไว้อย่างที่สุด แต่ยังคงเผยเนื้อนวลอันขาวนุ่มออกมาด้านนอกอยู่ดี
หลินจื่อโม่มองภาพเย้ายวนเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง
ดูเหมือนเขาจะ...ย้อนเวลาแล้วสิ
“เจ้าเดรัจฉาน ข้าเป็นเสด็จแม่เจ้านะ เจ้ากล้าทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”
บนเตียง สตรีที่งดงามยิ่งนักผู้นั้นเริ่มต่อว่าเขา แต่เพราะเคลื่อนไหวมากไป ทำให้หน้าอกกระเพื่อมแรง มาปะทะสายตาเขาราวกับคลื่นแรงสาดซัดฝั่ง
“เสด็จแม่?”
ทำเอาหลินจื่อโม่อดสะท้านเยือกไม่ได้
ดีนี่เจ้านี่ เจ้าของร่างเดิมกำลังทำอะไรกันเนี่ย???
จากนั้นความทรงจำก็ปราดเข้าสมองเขาระลอกแล้วระลอกเล่า
เขา เป็นตัวแทนของฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าเหยียน?!
จากความทรงจำ ร่างเดิมนี่หน้าตาเหมือนฮ่องเต้หยั่งกับแกะ เลยโดนลักพาตัวเข้าวังมา และไม่รู้ว่าทำไมราชโองการแรกของฮ่องเต้ที่ป่วยไข้ออดๆแอดๆนั่นให้กับเขาคือให้เขามายังตำหนักกานฉวนนี่
ต้องรู้ไว้สิ ของชั้นเยี่ยมตรงหน้านี้คือสนมของอดีตฮ่องเต้ ไท่เฟยในตอนนี้
จากความทรงจำ เขารู้ว่า นี่เป็นสนมคนสุดท้ายที่อดีตฮ่องเต้รับมาในบั้นปลาย ใครจะรู้ว่ายังไม่ทันได้ร่วมหอ อดีตฮ่องเต้ก็เสด็จสวรรคต
แต่ไม่นานหลินจื่อโม่ก็พบว่า เป้าหมายที่ฮ่องเต้ให้เขามาตำหนักกานฉวนนี่ดูจะไม่ธรรมดาเลย
ฮ่องเต้นั่นตอนอายุน้อยไม่รู้จักเพลาๆบ้าง เลยทำให้เหลืออาการแทรกซ้อนที่ไม่อาจชดเชยได้ ทำให้ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้วยังไม่มีทายาทเลย
คนเป็นฮ่องเต้แต่ไม่มีทายาท เป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก
เป้าหมายที่ฮ่องเต้ให้ร่างเดิมมาก็เห็นได้ชัดเลยว่า จะให้เขาทำลูกให้!
ทั้งๆที่ฮ่องเต้นั่นก็มีฮองเฮา หรือว่าสงสารฮองเฮา? เลยให้เขามาตำหนักกานฉวนนี่แทน และถ้าทำไม่สำเร็จ เขาก็ออกไปจากที่นี่ไม่ได้เลย
แต่เพราะการต่อต้านอย่างรุนแรงของผู้หญิงคนนี้ เลยพาเขามาที่นี่แทน
ตอนนี้ หลินจื่อโม่ถึงได้หันมามองวิเคราะห์ผู้หญิงตรงหน้านี้
นางดูยังสาวมาก ผมดำขลับปล่อยตัวลงดุจน้ำตก ขนตายาวงอนไหวพลิ้ว ราวกับมีน้ำตาคลอดวงตางาม ริมฝีปากแดงผสมกับฟันขาวสะอาดกระจ่างใส คอราวระหง เรียบเนียนดุจกระเบื้องเคลือบ หน้าตางดงามปานล่มชาติล่มเมือง เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ทุกกิริยาล้วนแผ่ซ่านกลิ่นอายเย้ายวน โดยเฉพาะดวงตางามเคล้าน้ำตาคู่นั้น ประหนึ่งมีตะขอแหลมคมตวัดดูดกลืนวิญญาณ ถึงนางจะกำลังจิกมองหลินจื่อโม่อย่างโกรธจัด แต่กลับทำเขาแทบอ่อนยวบไปทั้งกระดูก
สมเป็นของชั้นยอดจริงๆ
ดูเหมือนเขาในตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
งั้นคงได้แต่...
ทุกคนต่างดูออกว่าเขาโดนบังคับ เขาไม่ได้ต้องการมันเลย
“อย่าเข้ามานะ...อย่า...ปล่อยข้าไปเถอะ”
พอเห็นเขาค่อยๆเข้าใกล้ ใบหน้าเย้ายวนของอันหลิงซวินพลันมีสีหน้าหวาดกลัว ร่างน้อยถอยหนีไม่หยุด จนชิดติดผนัง ไร้หนทางหนีอีก ท่าทางนั้นดูน่าสงสารน่าทะนุถนอมนัก
ในฐานะสตรีของอดีตฮ่องเต้ หากนางสูญเสียพรหมจรรย์ ตามกฎแล้ว นางต้องตายเท่านั้น
“ข้าก็โดนบังคับมานะ....”
หลินจื่อโม่พูดพลางกดนางลงกับเตียง ผสานกับเสียง “ควาก” ผ้ายาวที่พันรอบตัวอันหลิงซวินก็ถูกกระชากออกไป
พอเสื้อตัวนอกขาดวิ่นถูกกระชากออกไป เรือนร่างนางเหลือเพียงเสื้อตัวเล็กที่บางเบาราวปีกจักจั่น เสื้อตัวเล็กนั้นทำได้เพียงปกปิดจุดสำคัญเพียงเล็กน้อย ต่อให้นางพยายามใช้มือปิดอย่างสุดชีวิต แต่ก็เป็นเพียงปกปิดได้บางส่วนเท่านั้น เนื้อนวลขาวเนียนส่วนใหญ่เผยออกมา ทำให้ห้องที่มืดมัวนี้สว่างขึ้นหลายส่วน
“เจ้า...เจ้าไม่ใช่ฮ่องเต้...เจ้าเป็นใครกันแน่....”
อันหลิงซวินอึ้งเล็กน้อย แค่ชั่วแวบเดียว เสื้อตัวเล็กที่บางเบาราวปีกจักจั่นบนร่างนางพลันถูกดึงออกไป และตกลงใต้เตียงราวกับขนนกบางเบา
“ข้าเป็นใครมิสำคัญดอก ที่สำคัญคือ วันนี้เจ้าต้องเป็นสตรีของข้า!”
ของชั้นยอดอย่างนี้มาอยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะท่าทางตกตะลึงของนางยิ่งเป็นแรงกระตุ้นชั้นดีให้กับหลินจื่อโม่ เขาทนไม่ไหวอีกแล้ว และโผเข้าไปซุกไซ้ข้างคอนาง สูดลมหายใจเอากลิ่นอายหวานหอมนี้เข้าเต็มปอด จากนั้นก็พูดเสียงต่ำข้างหูนางว่า “ให้ความร่วมมือหน่อย มิเช่นนั้น เจ้ากับข้าต้องตายอยู่ที่นี่แน่!”
อันหลิงซวินที่เดิมดิ้นรนขัดขืนเต็มแรงราวกับเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา
ดูท่าคนตรงหน้าจะมิใช่ฮ่องเต้ที่อ่อนแอขี้โรคคนนั้นจริงๆ
“ตึก ตึก....”
หลินจื่อโม่เปลือยร่างท่อนบน และเริ่มขยับเตียงด้วยเรี่ยวแรงของมือและขา
ถึงเป็นการแสดงละคร แต่ตอนนี้ทั้งสองแนบร่างชิดกัน มันทำให้หลินจื่อโม่ทนไม่ไหวหายใจกระชั้นขึ้นมา
เขาเป็นผู้ชายทั้งแท่ง แถมใต้ร่างยังเป็นสาวงามชั้นเยี่ยมแบบนี้อีก เขาจะอดใจไหวได้ยังไงกัน?
แต่เขารู้ดีว่า ยามใดที่ร่างงามนี้ตั้งท้อง มันจะเป็นวันตายของเขา
ดังนั้นเขาต้องอดทนไว้ให้ได้
“เจ้า...เจ้าจะ...”
อาจเพราะโดนเขากดทับไว้แล้วไม่สบายตัว หรืออาจเพราะการแนบชิดของสองร่างนี้ ทำให้อันหลิงซวินรู้สึกอึดอัดมาก นางค่อยๆขยับตัว ราวกับจะหลีกหนีการแนบชิดเช่นนี้
“ซี๊ด...”
นางไม่ขยับยังพอว่า พอนางขยับ ก็เกือบทำให้วิญญาณหลินจื่อโม่หลุดจากร่างเสียแล้ว
“อย่าขยับซี้ซั้ว!”
หลินจื่อโม่กดร่างท่อนล่างใส่นางทันที เลยทำให้ส่วนล่างไปชนกับทางเข้าแสนหวานของนางพอดี ใบหน้าเขาแนบติดซอกคอนาง ใบหูกลมใสน่ารักของนางอยู่ชิดปากเขาพอดี เขาเลยอ้าปากขบกัดแผ่วเบาอย่างทำโทษ
ทันใดนั้น ร่างอันหลิงซวินพลันสะท้านอย่างแรง จากนั้นตัวนางแข็งเกร็งขึ้นทันที มีความตกตะลึง หวาดกลัวและไม่รู้จะทำอย่างไรดีบนใบหน้านาง นางคิดจะผลักเขาออกทันที
แต่แล้วเพราะการกระทำของนาง กลับทำให้ทั้งสองแนบชิดกันมากขึ้น
หลินจื่อโม่รู้สึกใบ้กินกับนางทันที
หากนางไม่ให้ความร่วมมือ เป็นไปได้อย่างมากว่าพวกเขาสองคนคงออกจากห้องนี้ไม่ได้
เขางุนงงมาก
ผู้หญิงที่เข้าวังพวกนี้ ไม่ใช่ว่ามีนางกำนัลอาวุโสในวังหลังคอยรับหน้าที่สอนเรื่องพวกนี้ให้โดยเฉพาะหรือไงกัน? ทำไมทำอย่างกับเป็นสาวบริสุทธิ์ที่ไร้เดียงสาอย่างนี้ล่ะ?
เขาไหนเลยจะรู้ว่า ผู้หญิงในโลกนี้ล้วนถูกอบรมสั่งสอนแต่เด็กให้รับใช้ดูแลสามีเพียงคนเดียวทั้งชีวิต และยึดหลักครองตัวเป็นหญิงพรหมจรรย์สูงมาก
เดิมแนบร่างติดหลินจื่อโม่ ก็ทำให้อันหลิงซวินตื่นเต้นมากอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่อ่อนไหวง่ายอย่างใบหูยังมาโดนรุกรานอีก นางจะมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้มิแปลกอันใดเลย
แต่แล้วท่าทางใกล้จะร้องไห้ของนางนั้น...
กลับทำให้เลือดลมหลินจื่อโม่พลุ่กพล่านมากขึ้น
เวลาอย่างนี้แล้วยังจะมาซ้ำเติมอะไรกันอีก?!
ใบหน้าเง้างามนั่นเผยสีหน้าน่าสงสาร แต่กลับแฝงแววดื้อรั้นไม่ยอมตาม
ใครจะทนไหวเนี่ย?
ทำไมต้องมาทดสอบเขาอย่างนี้ด้วย?
แต่แล้ว ในระหว่างที่อันหลิงซวินดิ้นรนบิดตัวนั้น น้องชายของเขาพลันมุดเข้าไปในทางแสนหวานของนางพอดีเลย...
“อุ๊...”
เสียงร้องราวนกถูกเชือดของอันหลิงซวินดังออกมา หลินจื่อโม่ไม่มีแก่ใจสนใจสตรีที่ร่ำไห้ใต้ร่างเขาแล้ว เขาพลันเคลื่อนไหวร่างจนเตียงโยกไปมา
ฉาวสี่ขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ที่ยืนฟังอยู่ด้านนอกประมาณ ค่อยๆหลบเร้นหายไป
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม ความเคลื่อนไหวในตำหนักกานฉวนค่อยๆสงบลง
น้ำตาของอันหลิงซวินเหมือนจะไหลหมดแล้วในหนึ่งชั่วยามนี้ บางทีนางคงไม่อยากให้ตนส่งเสียงแปลกอะไรอีก นางจึงกัดปากแน่น ทำให้ริมฝีปากเผือดซีด ดวงตาแดงก่ำ จิกตาใส่หลินจื่อโม่ที่เอนซบบนร่างนางแทบถลน
หลินจื่อโม่เองก็ปวดหัว
คราวนี้เขาคงอายุไม่ยืนละ
ทั้งๆที่นางเป็นคนให้ร้ายเขาแท้ๆ นางกลับทำท่าทางราวกับตนรังแกนางเสียนี่
หลินจื่อโม่ไม่ตามใจนาง จัดการกระแทกอย่างแรงไปเลย
“ไม่นะ...”
อันหลิงซวินมองเขาอย่างหวาดกลัว
นี่เป็นคนจริงๆรึ?
เมื่อครู่พึ่งจะเสร็จสิ้นไปนี่นา
ดังนั้นนางยิ่งแน่ใจว่า คนตรงหน้านี้มิใช่ฮ่องเต้จริงๆ
เพราะที่จริงแล้ว หลายปีมานี้ในวังล้วนมีข่าวลือของฮ่องเต้ออกมาเสมอ
เพราะเขาได้ครองราชย์มาหลายปีแล้ว หากมิมีข่าวเรื่องทายาทออกมาเลย มันเห็นได้ชัดว่าผิดปกติ
ในเมื่อเริ่มอีกครั้ง หลินจื่อโม่ก็ไม่คิดจะหยุดลงดื้อๆ
ท่อนล่างของทั้งสองคนเริ่มขยับอีกครั้ง เตียงค่อยๆโยกเอนไปมาอีกครั้ง...
“จำไว้ ข้าต่างหากเป็นฮ่องเต้ตัวจริง!”
หลินจื่อโม่กัดเม้มใบหูงามของนางแผ่วเบา พลางพูดเสียงต่ำข้างหูนาง และลุกขึ้นลงจากเตียงไป
เขารู้สถานการณ์ในตอนนี้ของตัวเองดี ถ้าเขาอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็มีแค่ทางเดียวแล้ว.... เข้าแทนที่!
ตอนนี้ ทั่วทั้งวังมีแค่สองคนที่รู้ฐานะแท้จริงของเขา คนหนึ่งคือฮ่องเต้ อีกคนคือฉาวสี่ขันทีคนสนิทข้างกายฮ่องเต้ ส่วนคนอื่นได้ถูกกำจัดไปนานแล้ว
พอหลินจื่อโม่ออกมา ฉาวสี่ก็รออยู่แล้ว
ฉาวสี่ปรายตามองเขาอย่างเย็นชาก่อนพูดขึ้นว่า “ทำไมนานขนาดนี้ ไปกับข้าได้แล้ว”
“เหอะ!”
หลินจื่อโม่เหล่เขา แค่ขันทีถูกตอนคนหนึ่งเท่านั้นจะรู้อะไรล่ะ?
นานน่ะไม่ขายหน้าหรอก!
ถ้าสั้นสิขายขี้หน้าตายเลย!