บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 แต๊ะอั๋งเสร็จแล้วก็ไป

น้ำเสียงนี้ทำให้บรรยากาศในตำหนักเปลี่ยนไปทันที หนิงไต้ซีพลันระเบิดพลังผลักหลินจื่อโม่ออกไป พลางมือกุมหน้าอกหอบหายใจรัว

หลินจื่อโม่เองก็ถอนหายใจยาวโล่งอก

เซี่ยหยุนไม่ได้ทำลายความเชื่อใจของตน เขารับองครักษ์วังหลวงมาดูแลอย่างราบรื่นจริงๆ

เขาจัดชุดมังกรให้เข้าที่ สีหน้าแปรเปลี่ยนกลับเป็นทะเล้นไม่ยี่หระอะไรเหมือนเมื่อครู่ และถวายบังคมต่อหนิงไต้ซี “เสด็จแม่ งั้นลูกทูลลาพ่ะย่ะค่ะ!”

หนิงไต้ซีหันหน้าหนี สองมือปิดอยู่ด้านหน้าของหน้าอกไม่ตอบอะไร หลินจื่อโม่ยิ้มมุมปาก หมุนตัวเดินออกไปนอกตำหนัก

พอเปิดประตูออกไป เลยได้เห็นองครักษ์วังหลวงนับร้อยได้ล้อมประตูไว้เป็นสามชั้น คนที่อยู่ด้านหน้าที่สุดคือเซี่ยหยุน ขันทีและนางกำนัลหลายคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักยังโดนไล่ห่างไกลออกไป

หลินจื่อโม่หันไปมอง เห็นว่าที่หน้าประตูยังยืนอีกสามคน นอกจากจ้าวอ๋องจีจิ่งอี้ที่ยังคงถือตำราปรัชญาด้วยสีหน้างุนงง ยังมีขันทีแก่เหิมเกริมข้างกายไทเฮาคนนั้น และก็มีขันทีวัยกลางคนที่ท้วมเล็กน้อยอีกคนหนึ่ง นี่คือขันทีตามเสด็จข้างกายเขา

เพียงแต่ตอนนี้ที่แก้มของขันทีวัยกลางคนนี้มีรอยฝ่ามือประทับอยู่ มุมปากยังมีรอยเลือด

หลินจื่อโม่มองดูเขาพลางถามเสียงเรียบ “ใครตบ?”

“กราบทูลฝ่าบาท เป็นกงกงท่านนี้ที่อยู่ข้างข้าน้อย”

เขาตอบนอบน้อมอย่างถ่อมตน และไม่ได้คิดจะถือหางยกยอฮ่องเต้ เขายังคงมีสีหน้าเรียบเฉย

ขันทีแก่เห็นประตูเปิดแล้วก็จะเข้าไปข้างใน แต่กลับโดนขันทีวัยกลางคนขวางเอาไว้

เขาตะคอกเสียงดังทันทีว่า “เจ้ากล้ามาขวางข้ารึ? คิดจะก่อกบฏหรืออย่างไรกัน?”

หลินจื่อโม่เหล่มองเขา พลางกวักมือเรียกเซี่ยหยุน

เซี่ยหยุนเข้าใจในบัดดล ยื่นดาบที่เอวใส่มือหลินจื่อโม่

ชิ้ง!

ประกายเย็นเยียบออกจากฝัก ขันทีแก่มือกุมคอด้วยหน้าตาเหลือก เลือดสดไหลออกรอยดาบที่คอ

หลินจื่อโม่เช็ดรอยเลือดของดาบที่ตัวขันทีแก่ และเก็บเข้าฝัก โยนคืนให้กับเซี่ยหยุน และไม่ชายตาแลเขาอีกเลย

เร็วมาก!

เด็ดขาดมาก!

ขันทีแก่ไม่คิดเลยว่าหลินจื่อโม่จะกล้าฆ่าเขา แถมยังฆ่าเขาที่หน้าประตูตำหนักบรรทมไทเฮาอีกด้วย

เขาเป็นถึงขันทีคนสนิทข้างกายไทเฮา ในวังหลังมีใครหน้าไหนกล้าเป็นศัตรูกับเขา ใครหน้าไหนกล้าไม่เคารพเขา?

และในตอนนี้หลินจื่อโม่กลับฆ่าเขาทิ้ง

ปุ้กดังขึ้น ขันทีแก่ล้มกระแทกพื้นดังปึ้ง เลือดไหลนองออกมา ดวงตาเบิกโพลงตายตาไม่หลับ หมดลมหายใจไปแล้ว

หนิงไต้ซีเห็นตั้งแต่อยู่ในตำหนักแล้ว นางตะคอกเสียงเดือดดาล “ฮ่องเต้ เจ้ากล้าฆ่าคนของข้าที่หน้าประตูตำหนักข้าเลยรึ?”

หลินจื่อโม่เงยหน้าขึ้นมองนางพลางพูดเสียงเรียบว่า “เสด็จแม่ไม่ได้ยินที่มันพูดรึ? ขวางทางมันเท่ากับก่อกบฏ สุนัขรับใช้ที่โอหังบังอาจเช่นนี้ เก็บไว้มีแต่จะเป็นภัยต่อเสด็จแม่นะพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้า...!”

หนิงไต้ซีใบ้กิน โต้แย้งไม่ได้เลย รู้สึกเพียงอึดอัดหนักอึ้งที่หน้าอก ใกล้จะระเบิดแล้ว

ขันทีวัยกลางคนควักเอาผ้าขาวสะอาดออกมาจากในแขนเสื้อ ถวายให้หลินจื่อโม่ด้วยสองมือ “ฝ่าบาทกรุณาเช็ดรอยเลือดพ่ะย่ะค่ะ”

หลินจื่อโม่รับมา พลางเช็ดรอยเลือดที่มือ และเหล่มองเขา “เจ้าชื่ออะไร? ตำแหน่งอะไรรึ?”

ขันทีราวกับได้ยินเสียงสวรรค์ เขาโค้งคำนับอย่างหวาดหวั่นแต่จริงจัง “กราบทูลฝ่าบาท ข้าน้อยหวังชิง รับหน้าที่อยู่ตำหนักเฉียนชิง”

หลินจื่อโม่พยักหน้าบอก “เจ้าทำดีไม่เลว”

เมื่อครู่ถึงเขาจะมองไม่เห็นสถานการณ์ด้านนอก แต่ก็พอจะนึกภาพออก ขันทีเฝ้าตำหนักตัวเล็กคนหนึ่งหาญกล้าขวางทางขันทีใหญ่คนสนิทไทเฮา ต่อให้โดนตบหน้าฉาดใหญ่ก็ไม่ยอมถอยให้ ความกล้านี้ไม่เลวจริงๆ

ฉาวสี่ซึ่งเป็นขันทีใหญ่ข้างกายฮ่องเต้จีจิ่งเหวินได้ตายแล้ว ตนเองก็ต้องหาสุนัขที่จงรักภักดีต่อตนถึงจะดี

หวังชิงคุกเข่าลงดังพลั่ก “ขอบพระทัยฝ่าบาท ข้าน้อยยินดีทำงานถวายหัวถวายชีวิตเพื่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”

“ลุกขึ้นเถิด”

หลินจื่อโม่โบกมือ จากนั้นหันมองจ้าวอ๋องจีจิ่งอี้ที่อยู่ข้างๆ เห็นเพียงเขาแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว สองขาสั่นเทาระรัว เห็นได้ชัดว่าซากศพที่อยู่บนพื้นตรงหน้าเขานั้นทำให้เขาตกใจไม่น้อย

“มานี่!”

เขามองดูน้องชายคนเล็กสุดของฮ่องเต้ พลางเอ่ยเสียงเรียบ

จีจิ่งอี้ตัวสั่นเทา มองเขาอย่างหวาดกลัว ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาหา

หลินจื่อโม่มองเขาพลางถาม “ข้าเป็นใคร?”

“หา?”

จีจิ่งอี้อึ้งเล็กน้อย พลางตอบ “คือ...เสด็จพี่”

“ดีมาก ที่แท้เจ้ารู้จักข้า”

หลินจื่อโม่พลันสีหน้าเย็นชา ตะคอกใส่ว่า “ทหาร ลากเขาออกไปโบยสิบที!”

จีจิ่งอี้ร้องดัง “เสด็จพี่ เหตุใดต้องโบยข้าด้วย?”

หลินจื่อโม่จับจ้องเขาด้วยสายตาทะมึน “ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นเสด็จพี่ของเจ้า ทำไมพบข้าแล้วไม่คุกเข่า? ทำไมเรียกแล้วไม่ขานรับ? โบยเจ้าเพื่อให้เจ้าจำกฎหมายนี้ให้ได้ จำให้ได้ว่าข้าต่างหากที่เป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าเหยียน!”

พูดพลางโบกมือ ไม่พูดอะไรมากความอีก

แต่เหล่าขันทีนางกำนัลด้านนอกตำหนักไทเฮามีใครกล้าขยับบ้าง ต่างพากันหลบหลีกให้ไกล ดูหวาดกลัวประหนึ่งนกกระทาที่ตกใจขวัญหาย

ลงโทษโบยจ้าวอ๋อง ต่อให้พวกเขาใจกล้าแค่ไหนพวกเขาก็ไม่กล้าหรอก!

เป็นหวังชิงที่เดินหน้าคุมจีจิ่งอี้ไว้ และกดลงกับโต๊ะหินที่อยู่ห่างไปไม่ไกล และหันมาเหล่มองขันทีนางกำนัลที่อยู่ไกลออกไป และชี้เรียกมาคนหนึ่งว่า “เจ้า เอาไม้มา”

ในเมื่อโดนเรียก นางกำนัลคนนั้นต่อให้ไม่อยาก ก็ได้แต่ไปหยิบไม้มา ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นขัดราชโองการ

หลินจื่อโม่มองหวังชิงอย่างนึกสนุก

ข้ารับใช้คนนี้รู้หน้าที่ สุขุม รู้จักจัดการงาน ไม่เลวจริงๆ

ไม้อยู่ในมือ หวังชิงดึงกางเกงชั้นนอกของจีจิ่งอี้ลง และเริ่มต้นโบยทันที

จีจิ่งอี้ร้องโอดโอยไม่หยุด น้ำหูน้ำตาไหลพราก เสียงร้องไห้อ้อนวอนดังไปทั่วตำหนักอี้เยว่

เขาอยากขัดขืน แต่เขาพึ่งอายุสิบขวบ ไหนเลยจะสู้แรงชายวัยกลางคนอย่างหวังชิงนี่ได้

พริบตาเดียวสิบไม้ก็โบยเสร็จ หวังชิงใส่กางเกงคืนให้เขา และพยุงให้ยืนอย่างมั่นคง พลางถอยกลับไปยืนด้านหลังหลินจื่อโม่

“น้องเจ็ด เจ้าอายุสิบขวบแล้ว มีเหตุผลบางอย่างหวังว่าเจ้าอย่าได้ลืมเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น ครั้งหน้าข้าอาจไม่แค่โบยเจ้าง่ายดายอย่างนี้แน่ เข้าใจหรือไม่?”

คำพูดของหลินจื่อโม่เต็มไปด้วยความเย็นเยียบในน้ำเสียง จีจิ่งอี้ที่เดิมยังคงสะอื้นไห้พลันชะงักกึก ได้แต่มองดูเสด็จพี่ที่ดูแล้วเหมือนคนแปลกหน้าตรงหน้านี้อย่างหวาดหวั่น

ถึงเขาจะอายุยังน้อย แต่เข้าใจเหตุผลเรื่องนี้ เพียงแต่ฮ่องเต้คนเดิมเป็นแค่ขยะ มีแต่คนดูถูกเขา ทำให้ตนเองก็ไม่เห็นพี่ใหญ่คนนี้อยู่ในสายตาเช่นกัน

นับแต่โบราณมา ผู้ที่ไร้หัวใจที่สุดคือกษัตริย์และเชื้อเครือราชวงศ์ เขาเชื่อว่า ยามมาอยู่ต่อหน้าอำนาจ ต่อให้เป็นพี่ชายน้องชายกันแท้ๆก็ไม่มีใครเมตตาใจอ่อนแน่

ดังนั้นเขาเลยหวาดกลัวขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหวาดกลัวเสด็จพี่ไร้ค่าคนนี้

หลินจื่อโม่มองเขา “ลงโทษเจ้ากลับไปคัดลอกกฎบรรพชนราชวงศ์เหยียนห้าสิบชุด และมาส่งข้าเช้าพรุ่งนี้”

“หา?”

จีจิ่งอี้ตะลึง กฎบรรพชนราชวงศ์เหยียนน่ะเป็นกฎที่บรรพชนต้าเหยียนสืบทอดต่อๆกันมาให้กับลูกหลานตระกูลจี มีทั้งหมดหนึ่งพันสามร้อยหกสิบข้อ

ตอนนี้เข้าสู่เที่ยงคืนแล้ว ให้เขากลับไปคัดลอกห้าสิบชุด คืนนี้จะได้นอนรึ?

หลินจื่อโม่เลิกคิ้วถาม “ทำไมรึ?!”

จีจิ่งอี้ตกใจรีบคำนับทันที “น้องรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”

หลินจื่อโม่พูดเสียงเย็นใส่ “เชื่อฟังง่ายๆเยี่ยงนี้แต่แรกก็ดีแล้ว หาเรื่องแท้ๆ!”

เขาหันไปมอง ไม่รู้ว่าหนิงไต้ซีกลับเข้าตำหนักด้านในตั้งแต่เมื่อไหร่ มองจากนอกประตูนี่มองไม่เห็นแล้ว

เมื่อครู่ตอนลงโทษโบยจีจิ่งอี้นางย่อมได้ยินแน่นอน แต่ความรู้สึกกดดันหลังจากความเปลี่ยนแปลงกะทันหันของหลินจื่อโม่ยังคงอยู่ รวมถึงความรู้สึกน่ากลัวยามมือนั้นกอบกุมหน้าอกตนไว้ด้วย นางยังคงไม่มีความกล้าไปยับยั้ง จึงเลือกที่จะหลบหนีแทน

หลินจื่อโม่หัวเราะเหอะๆ โบกมือบอก “กลับตำหนักเฉียนชิง!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel