บทที่ 12 ฟ้าดินพิโรธ ผู้คนสาปแช่ง
หลินจื่อโม่มองเฉินผิงและพยักหน้าอย่างพอใจ
นี่ถึงเป็นท่าทีและลักษณะที่ถูกต้องขององครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่ง
ในที่สุดสวีเหลียงก็ลนลาน หากมิใช่ว่าโดนเชือกอ่อนพันตัวไว้แน่นหนา เขาอยากจะคุกเข่าลง แต่จะพูดระหว่างสถานการณ์ชุลมุนก็กลัวจะพูดอะไรผิดไป
“ฝ่าบาท จะทรงฆ่ากระหม่อมมิได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
หลินจื่อโม่หันมองเขา “อ๋อ? ขอสักเหตุผลให้ข้าไม่ฆ่าเจ้าสิ”
“ข้า...ข้าเป็นผู้ที่อดีตฮ่องเต้ทรงแต่งตั้ง ควบคุมดูแลองครักษ์เสื้อแพรสามหมื่นกว่าจากทั้งสิบสี่กรม หากฝ่าบาทฆ่าข้าตามใจ มิกลัวกบฏรึ?”
“เหตุผลนี้ไม่พอดอก”
หลินจื่อโม่ส่ายหัว พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ลากออกไป ประหารเสีย”
กบฏ?
ตัวหัวหน้าโดนตัดหัวแล้ว ที่เหลือก็กบฏไม่ได้แล้ว
ส่วนเรื่องที่อดีตฮ่องเต้ทรงแต่งตั้ง?
หลินจื่อโม่ยิ้มเย็น
นั่นมันพ่อของจีจิ่งเหวิน เกี่ยวอะไรกับข้ากัน?!
เซี่ยหยุนขึ้นหน้ามาเก็บป้ายหยกแสดงตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพรที่เอวของพวกเขาออก และสะบัดมือสั่งให้ องครักษ์วังหลวงหิ้วตัวพวกสวีเหลียงห้าคนออกนอกตำหนักไป
สวีเหลียงถลึงตาดิ้นรนด่ากราด “ฮ่องเต้ทรราช! เจ้ากล้าฆ่าข้ารึ?!”
อีกสี่คนที่เหลือไม่ได้อวดดีอย่างเขา และไม่มีความนิ่งเหมือนเมื่อครู่ด้วย ต่างพากันร้องโหยหวนอ้อนวอน
“ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตด้วย! ไว้ชีวิตด้วย!”
“กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว ฝ่าบาท!”
“ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีกลับตัวกลับใจเป็นสุนัขที่เชื่อฟังพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท...”
น้ำเสียงค่อยๆห่างออกไป จนไม่ได้ยิน
หลินจื่อโม่หันมองเฉินผิงที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่ พลางเคาะโต๊ะ “บอกข้าหน่อยสิว่า ระยะนี้องครักษ์เสื้อแพรเป็นอย่างไรบ้าง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ในที่สุดเฉินผิงก็ได้สติ เขารวบรวมสติเล่าออกมาอย่างละเอียดเป็นขั้นตอนและไม่รีบไม่ร้อน
ไม่ผิดจากที่หลินจื่อโม่คาดการณ์ไว้ มือของหนิงซงยื่นเข้ามาในองครักษ์เสื้อแพรนานแล้ว จากตอนแรกที่สัมผัสแบบหลบๆซ่อนๆ จนต่อมาซื้อตัวอย่างเปิดเผย องครักษ์เสื้อแพรในตอนนี้ได้ถูกพวกเขาขายให้กับหนิงซงจนหมดแล้ว
ถึงได้ทำให้ข้างกายฮ่องเต้แทบไม่เห็นร่างองครักษ์เสื้อแพรเลย และสำหรับการจับตาดูขุนนางในราชสำนัก ก็เป็นเพียงแค่คนพวกนั้นที่ไม่ใช่พรรคพวกฝ่ายตระกูลหนิงเท่านั้น
เฉินผิงเป็นองครักษ์เสื้อแพรผู้ช่วยผู้บัญชาการที่สืบทอดต่อมากันหลายรุ่น เอาแค่เรื่องนี้ก็ทำให้หลินจื่อโม่รู้สึกดีกับเขามากแล้ว
หลินจื่อโม่ครุ่นคิดก่อนหันบอกเฉินผิง “หากให้เจ้าไปจัดการเกลี้ยกล่อมชักชวนศาลาว่าการเจิ้นฝู่ซือ เจ้ามั่นใจหรือไม่? ต้องใช้เวลาเท่าไหร่?”
ศาลาว่าการเจิ้นฝู่ซือเป็นสถานที่ราชการขององครักษ์เสื้อแพรแห่งราชวงศ์ต้าเหยียน เป็นศูนย์กลางของทุกกรมในองครักษ์เสื้อแพรทั่วทั้งใต้หล้า
เฉินผิงตกใจ เขารู้สึกได้ทันทีว่า โอกาสอันยิ่งใหญ่กำลังอยู่ตรงหน้าตน
เขาคุกเข่าลงกับพื้นทันที “ทูลฝ่าบาท สวีเหลียงมิได้ใหญ่คับฟ้าในศาลาว่าการเจิ้นฝู่ซือ กระหม่อมมั่นใจว่าสามารถชักชวนและเกลี้ยกล่อมได้ ขอฝ่าบาททรงให้เวลาสาม...ไม่ สองวันแก่กระหม่อมเถิด”
“ดีมาก”
หลินจื่อโม่พยักหน้า หันไปบอกหวังชิงที่ยืนอีกข้างหนึ่งว่า “เขียนราชโองการ แต่งตั้งเฉินผิงซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หวังชิงรับบัญชา และยึดบริเวณมุมเล็กๆของโต๊ะทรงพระอักษร เขียนราชโองการจนเสร็จ ยกตราแผ่นดินถวายทั้งสองมือ
หลินจื่อโม่เหล่มอง และพูดขึ้นอย่างแปลกใจว่า “ลายมือเจ้าไม่เลวนี่นา”
หวังชิงก้มหน้าต่ำพลางตอบ “ตอนข้าน้อยยังเด็กเคยได้ร่ำเรียนมาบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
หลินจื่อโม่ชอบนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตนของหวังชิงนี่นัก จึงตบไหล่เขาแผ่วเบาเป็นเชิงให้กำลังใจ ทำเอาหวังชิงร่างสะท้าน คล้ายกับตื้นตันใจจนจะร้องไห้อยู่แล้ว
เฉินผิงมือถือราชโองการ ถวายคำนับอีกครั้ง “กระหม่อม เฉินผิง ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไปเถอะ”
หลินจื่อโม่พอใจกับท่าทีสุขุมแต่เฉลียวฉลาดของเฉินผิงนี่มาก เพราะตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรต้องให้เน่ย์เก๋อเห็นชอบถึงคัดเลือกออกมาได้ ไม่ใช่ว่าให้ฮ่องเต้สั่งการแค่คำเดียวได้เลย แต่เฉินผิงกลับมิได้พูดถึงเรื่องนี้เลย
แต่แล้วเฉินผิงกลับมิได้ถอยออกไปทันที
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
“หือ? อันใดกันรึ?”
เฉินผิงสีหน้าเคร่งเครียด
“ไต้โจวเว่ยโจวแล้งหนัก ดินแตกระแหงเป็นนับร้อยลี้ พื้นพันธุ์ปลูกไม่ขึ้นเลย”
“หลูโจวเกิดโรคระบาด โดยโรคระบาดได้ทำให้ชาวบ้านล้มตายไปสามส่วนแล้ว”
“เกิดอุทกภัยไปทั่วอู๋โจวเฮ่อโจวของมณฑลหูกว่าง ชาวบ้านนับแสนครัวเรือนต่างล้มหายตายจากและพลัดพลาก”
หลินจื่อโม่ตะลึง!
ไต้โจวเว่ยโจวอยู่ทางเหนือของเมืองหลวง หลูโจวอยู่มณฑลเจียงหวายทางตะวันออกเฉียงใต้ ยังมีหูกว่าง ทั้งสามที่ล้วนเกิดภัยธรรมชาติเช่นนี้
แต่เน่ย์เก๋อ!
เจ้าพวกสารเลวนั่นไม่มีใครสักคนรายงานเรื่องนี้มาเลย!
“บัดนี้มีผู้ลี้ภัยนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันที่นอกเมืองหลวง แต่กลับมิมีผู้ใดช่วยเหลือดูแลเลย แต่ละวันมีผู้คนหิวตายหนาวตายนับไม่ถ้วน”
หลินจื่อโม่กำหมัดแน่นทั้งสองข้าง
แต่ยังไม่จบ เฉินผิงควักกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากในอกเสื้ออีก มันยับยู่ยี่ ซ้ำทั้งเปื้อนรอยเลือดอีก
“ครึ่งเดือนก่อน โจรไอ้ยุ่นห้าพันคนขึ้นฝั่งที่ไถโจวเผาไม้บ้านเรือนปล้นฆ่าชาวบ้าน สร้างความระส่ำระสายไปทั่วทุกท่าเรือ แต่กองทหารทุกแห่งกลับมิมีผู้ใดกำราบได้เลย พากันพ่ายแพ้ไปหมด...”
น้ำเสียงเฉินผิงมีแววแหบพร่าท่ามกลางความเดือดดาล กระดาษแผ่นนี้คนบ้านเดียวกันขององครักษ์เสื้อแพรเขตไถโจว ส่งมาให้ทั้งๆที่ต้องเสี่ยงชีวิตจากมีดคมกริบของพวกโจรไอ้ยุ่น พอมอบมันถึงมือเฉินผิงก็ล้มลงขาดใจตายเลย
“สวีเหลียงบีบกดข่าวมากมายเอาไว้ และยังสั่งการให้เหล่าขุนนางห้ามแพร่งพรายออกไปโดยเด็ดขาด เพราะเหตุนี้กระหม่อมถึงขัดแย้งกับเขายกใหญ่ โดนบังคับหยุดงานอยู่บ้าน”
หลินจื่อโม่พยายามข่มกลั้นความโกรธเอาไว้ ถามเสียงต่ำว่า “เรื่องพวกนี้เน่ย์เก๋อมีมาตรการออกมาหรือไม่?”
เฉินผิงส่ายหัวบอก “ไม่มีมาตรการใดๆ”
ปึ้ง!
หลินจื่อโม่ทนไม่ไหวอีกต่อไป ตบโต๊ะดังผ่าง!
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาบิดเบี้ยว กัดฟันกรอดบอก
“เจ้าพวกสารเลว!”
หนิงซงและเหล่าสุขนับรับใช้ของมันกดดันเขา ควบคุมอำนาจฮ่องเต้อย่างเขา ไทเฮาคอยควบคุมทุกอย่างอยู่ในวังหลัง องครักษ์เสื้อแพรไม่เชื่อฟังคำสั่งและทำอะไรตามอำเภอใจ
เรื่องพวกนี้เขาไม่สนใจอะไร
แต่ตอนนี้เขาทนไม่ไหวแล้ว!
ข่าวทุกด้านถูกปิดกั้น ไม่มีผู้ใดถาม แต่นั่นน่ะชีวิตคนทั้งนั้น เป็นชีวิตชาวบ้านตาดำๆหลายแสนคนหรืออาจจะมากกว่านั้นนะ!
เขาราวกับเห็นร่างสิ้นหวังนับไม่ถ้วน บ้างล้มเอนนอนลงเหนือทะเลเลือด บ้างแหวกว่ายดิ้นรนท่ามกลางอุทกภัยซัดสาด บ้างตายอนาถภายใต้คมดาบโจรไอ้ยุ่น...
“หวังชิง!”
หลินจื่อโม่ราวกับใช้พลังหมดแล้ว เขาพูดเนิบช้าว่า
“ไปบอกพวกมัน พรุ่งนี้ข้าจะว่าราชการเช้า หากใครกล้าขาดไม่มาประชุม ประหารได้เลย!”
“ข้าน้อยน้อมรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”
หวังชิงวิ่งน้อยๆออกจากตำหนัก
เวลานี้ เซี่ยหยุนกลับเข้ามา “กราบทูลฝ่าบาท พวกสวีเหลียงห้าคนถูกประหารสิ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เหอะ! สบายพวกมันไปล่ะ”
หลินจื่อโม่ด่ากราด จากนั้นพูดด้วยสายตาดุดันว่า
“เซี่ยหยุน เจ้าพาคนไปมากหน่อย ตามไปกับเฉินผิง และจัดการองครักษ์เสื้อแพรให้ได้ด้วยความเร็วที่สุด”
“อีกอย่าง จัดการริดทรัพย์ครอบครัวของพวกสวีเหลียงเสียให้หมด อย่าให้เหลือเงินแม้แต่แดงเดียว!”
เซี่ยหยุนเฉินผิงรับคำพร้อมกัน “กระหม่อมรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ!”
หลินจื่อโม่เรียกเซี่ยหยุนไว้อีก เสริมเสียงต่ำอีกคำว่า
“โดยเฉพาะบ้านสวีเหลียง ค้นให้ละเอียดหน่อย!”
สายตาเซี่ยหยุนวาบประกายขึ้น ราวกับเข้าใจว่าหลินจื่อโม่ต้องการอะไร
สมุดบัญชี!
สมุดบัญชีที่แท้จริงขององครักษ์เสื้อแพร!
ดังนั้นเรื่องอันทำทั่วทั้งเมืองหลวงสั่นสะเทือนไปทั่วระเบิดขึ้น
เซี่ยหยุนผู้เป็นผู้บังคับบัญชาองครักษ์วังหลวงของเมืองหลวง นำกำลังพลในชุดเกราะสองพันนาย บุกทะลวงเข้าไปในศาลาว่าการเจิ้นฝู่ซือขององครักษ์เสื้อแพร และจับคนสามสิบกว่าคนด้วยความเร็วเสียยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด ส่งเข้าคุกทรมานขององครักษ์เสื้อแพร
การกระทำนี้ ทำเอาชาวบ้านทั่วทั้งเมืองพากันสงสัย จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินอีกข่าวหนึ่ง
ตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรเปลี่ยนคนแล้ว เฉินผิงที่เดิมเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้คนปัจจุบันให้มาแทนที่สวีเหลียงซึ่งเป็นผู้บัญชาการคนเดิม
และสวีเหลียงกับผู้ช่วยอีกสี่คนล้วนโดนประหารภายนอกประตูอู่
ทำเอาหลายคนสูดลมหายใจสะท้านเยือก
นี่ฮ่องเต้คิดจะทำอะไรกันแน่?