บท
ตั้งค่า

บทที่ 11 จับตัวไว้

“ก็มิมีอันใดมาก แค่อยากดูว่าระยะนี้พวกเจ้ายุ่งเรื่องอะไรกัน ข้าไม่เห็นพวกเจ้ามาหลายวันแล้ว”

หลินจื่อโม่เปิดสมุดเล่มหนึ่งบนโต๊ะ ไม่ได้มองสวีเหลียงเลย น้ำเสียงราบเรียบ แต่คำที่พูดออกมากลับทำให้พวกสวีเหลียงสีหน้าตึงเครียดขึ้นมา

สวีเหลียงลังเลชั่วครู่ ก่อนตอบ “ทูลฝ่าบาท พวกกระหม่อมระยะนี้ภารกิจมากนัก เรื่องต่างๆในเมืองหลวงค่อนข้างยุ่งยาก คนไม่ค่อยพอใช้พ่ะย่ะค่ะ”

หลินจื่อโม่ยังคงก้มหน้ามองสมุดในมือ และพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นเลยสักนิดว่า “ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง งั้นก็เข้าใจเจ้าผิดไปสินะ”

สวีเหลียงยกมือคำนับ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เข้าใจพวกกระหม่อม”

“อืม”

หลินจื่อโม่พยักหน้าพลางวางสมุดลง และหันมองสวีเหลียง “สมุดบัญชีนั่นของเจ้าน่าจะพกติดตัวกระมัง เอามาให้ข้าดูหน่อยสิ”

สวีเหลียงสีหน้าเปลี่ยนทันที

สมุดบัญชีขององครักษ์เสื้อแพรไม่ใช่สมุดเล่มจริง แต่เป็นสมุดที่จดความลับของเหล่าขุนนางมากมาย

ใครรับสินบนเท่าไหร่วันไหน ใครแย่งชิงที่นาเท่าไหร่วันไหน กระทั่งใครไปหอนางโลมไม่จ่ายเงินวันไหนด้วย

ทุกเรื่องทุกรายละเอียด มีเต็มไปหมด เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมจุดอ่อนของเหล่าขุนนางเล่มหนึ่งเลยทีเดียว

องครักษ์เสื้อแพรนั้นนอกจากจะเฝ้ารักษาวังหลวงแล้ว ความสามารถประเภทสืบสวนสอบสวน หรือรวบรวมความผิดแบบนี้ถือเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าเลย

ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรรัชกาลก่อนๆล้วนมีสมุดแบบนี้หนึ่งเล่ม สวีเหลียงเองก็เช่นกัน แต่หลินจื่อโม่...รวมถึงจีจิ่งเหวิน กลับไม่ได้เห็นสมุดเช่นนี้นานแล้ว

ตอนนี้องครักษ์เสื้อแพรได้คืนสู่ความเข้มงวดแล้ว หลินจื่อโม่มีเหตุผลที่จะเชื่อว่า พวกเขากับหนิงซงจะรวมหัวกัน

หลินจื่อโม่ไม่ได้ไปจัดการราชสำนัก แต่เริ่มลงมือจากองครักษ์เสื้อแพรก่อน

เพราะมีแต่การเก็บดาบแหลมคมที่สุดนี่ สุนัขที่ดุร้ายที่สุดตัวนี้กลับมา เขาถึงจะเริ่มกระบวนการเอาอำนาจกลับมาจากราชสำนัก

สวีเหลียงลังเลชั่วครู่ ก่อนจะควักสมุดขอบหนังสีฟ้าเล่มหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ และลุกขึ้นถวายวางบนโต๊ะของหลินจื่อโม่ จากนั้นกลับไปนั่งประจำที่ต่อ

หลินจื่อโม่รับมาเปิดออกดู หน้าแรกที่เข้าสู่สายตาเขียนว่า --- วันที่เจ็ดเดือนสามปีปีรัชสมัยที่สิบหก เซี่ยจ้งเจ๋อดื่มเหล้าเมาในกองทัพ และเพ้อว่า ฮ่องเต้ไร้คุณธรรม ประเทศชาติล่มจม

บรรทัดต่อมา – วันที่สิบเอ็ดเดือนสามปีรัชสมัยที่สิบหก เซี่ยจ้งเจ๋อลงโทษฟาดแส้ใส่ทหารโดยไร้เหตุผล จนแทบเกิดกบฏทางทหาร

หลินจื่อโม่ตากระตุก เริ่มมาก็จัดแรงเลย แถมที่พูดถึงไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพ่อตาตนนี่เอง

แต่เรื่องที่เซี่ยจ้งเจ๋อพูดว่าฮ่องเต้ไร้คุณธรรมนั้นเป็นไปได้ว่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะเมื่อก่อนฮ่องเต้ไม่ใช่คนดีอะไรจริงๆ แต่เรื่องลงโทษฟาดแส้ทหารจนเกือบทำให้เกิดกบฏนั้น เขามีคำถามขึ้นทันที

จากคำบอกเล่าของเซี่ยเฟิ่งชิง เขารู้มาว่า ท่านพ่อตาเป็นทหารที่รักลูกน้องดุจลูกในไส้ ไม่มีทางลงโทษทหารอย่างไร้เหตุผลแน่นอน หากมิใช่มีเรื่องซ่อนงำ ก็ต้องเป็นเพราะสวีเหลียงกุเรื่องเท็จใส่ร้ายแน่

เขาอ่านต่อไปอย่างไม่แสดงพิรุธอะไร มีทั้งหมอของกรมโยธาแจ้งราคาซื้อขายวัตถุดิบอย่างเป็นเท็จ มีทั้งมหาราชบัณฑิตบางคนเขียนโคลงกวีแดกดันฮ่องเต้อยู่ที่บ้านด้วย

ในห้องทรงพระอักษรค่อนข้างเงียบ มีเพียงเสียงหลินจื่อโม่เปิดอ่านสมุดแผ่วเบาเท่านั้น

พวกสวีเหลียงก็นั่งอยู่เงียบๆ ไม่ได้ส่งเสียงรบกวนอะไร

หลินจื่อโม่อ่านอย่างตั้งใจมาก ละเอียดมาก เขาเห็นเรื่องแปลกเรื่องหนึ่งจากในสมุดนี้แล้ว

นั่นก็คือทุกเรื่องที่จดบันทึกในสมุดเล่มนี้ล้วนไม่มีชื่อหนิงซงเลยสักนิด

ในสองวันนี้ เขาได้รู้รายชื่อสมาชิกสำคัญของพรรคพวกฝ่ายตระกูลหนิงจากปากเซี่ยเฟิ่งชิง แต่กลับไม่เห็นในนี้เลยสักรายชื่อ

ในตอนนี้เอง มีเสียงหวังชิงดังขึ้นจากด้านนอก

“กราบทูลฝ่าบาท เฉินผิงมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หลินจื่อโม่วางสมุดลง “เข้ามาเถอะ”

ประตูตำหนักเปิดออก ชายหนุ่มร่างผอมปานกลางเดินเข้ามา ใกล้พลางสะบัดชุดขุนนางและคุกเข่าลงกับพื้น

“กระหม่อม เฉินผิง ผู้ช่วยผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!”

หลินจื่อโม่พอใจมาก ในที่สุดก็เจอคนที่รู้จักมารยาทสักที

“ลุกขึ้นเถิด เข้ามาให้ข้าดูหน่อยสิ”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”

เฉินผิงลุกขึ้น เดินมายืนหน้าโต๊ะทรงพระอักษรตัวตรงแหน่ว

หลินจื่อโม่มองสำรวจเขาไปมา พลางถาม “เจ้าบาดเจ็บตรงไหนรึ?”

เฉินผิงหรุบตาลงต่ำพลางตอบ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมิได้รับบาดเจ็บพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วเหตุใดสวีเหลียงบอกว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บล่ะ? แล้วทำไมเจ้าไม่มาเข้าเฝ้าข้าพร้อมกับพวกเขา?”

“ขอฝ่าบาททรงอภัยด้วย กระหม่อมมิทราบเลยว่าฝ่าบาททรงเรียกเข้าเฝ้า”

สายตาหลินจื่อโม่มีแววสนุก พลางหันมองสวีเหลียง

“หือ? ไม่รู้รึ?”

สีหน้าสวีเหลียงเปลี่ยนเล็กน้อย แต่ยังคงนั่งอยู่ไม่ลุกขึ้น เพียงตอบเสียงเรียบว่า “ฝ่าบาท เฉินผิงน่ะนิสัยโผงผางวู่วาม ชอบขัดแย้งกับคนอื่นบ่อยๆ กระหม่อมเลยไม่ได้พาเขามาเข้าเฝ้า”

สายตาหลินจื่อโม่ค่อยๆทะมึนขึ้นเรื่อยๆ “งั้นรึ? งั้นเหตุใดข้าเห็นว่าเขารู้จักมารยาทมากกว่าพวกเจ้ากันล่ะ ซ้ำเคารพข้ามากกว่าด้วย? เกรงว่าคนที่เขาขัดแย้งด้วยน่าจะเป็นเจ้ากระมัง?”

สวีเหลียงเงยหน้าขึ้นมองเขา ตอบเสียงราบเรียบว่า

“ฝ่าบาททรงตรัสว่ากระไรพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมมิเข้าใจ”

“มิเข้าใจ?”

หลินจื่อโม่ยิ้มเย็น “ข้าพูดง่ายๆเช่นนี้เจ้ากลับฟังไม่เข้าใจ งั้นตำแหน่งผู้บัญชาการนี่เจ้าก็อย่าเป็นต่อไปเลย”

สีหน้าสวีเหลียงเปลี่ยนทันที แต่ยังคงคอแข็งเถียงต่อว่า “องครักษ์เสื้อแพรเป็นตำแหน่งสำคัญ หากตำแหน่งผู้บัญชาการของกระหม่อมถูกเปลี่ยน ต้องให้เน่ย์เก๋อคัดเลือกอย่างเข้มงวด มิใช่จะปลดได้เพียงแค่คำพูดประโยคเดียว มันประหนึ่งเป็นเรื่องล้อเล่น ขอฝ่าบาททรงวินิจฉัยด้วย!”

หลินจื่อโม่มองเขาอย่างเย็นชามือทั้งสองพลางเอามือเท้าโต๊ะไว้ “เจ้าเองก็รู้รึว่า องครักษ์เสื้อแพรนั้นเป็นตำแหน่งสำคัญ? เหตุใดไม่อยู่ข้างกายข้า? เหตุใดไม่พบที่ประตูอู่? เหตุใดสมุดเล่มนี้ของเจ้าถึงมีแต่เรื่องเหลวไหลเช่นนี้?”

“องครักษ์เสื้อแพรคืออะไร? เป็นสุนัขที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ที่สุด! ส่วนเจ้าและพวกเจ้า รับราชการกินเสบียงหลวง แต่กลับไม่คิดจะตอบแทนบุญคุณประเทศชาติ หาญกล้ามาพูดจาประชดประชันใส่ข้า! เหอะ หมาที่เลี้ยงในบ้านถึงจะมีเนื้อกิน หมาที่วิ่งออกไปข้างนอกก็คือหมาไม่มีเจ้าของ ได้แต่โดนห้อยตัวขึ้นมาทุบตีจนตายเท่านั้นเอง!”

สวีเหลียงผลุดลุกขึ้นทันที พลางจ้องมองหลินจื่อโม่เขม็งด้วยสายตามาดร้าย “ฝ่าบาทตรัสมิผิดเลย พวกกระหม่อมเป็นเพียงสุนัขเท่านั้น หากฝ่าบาทจะปลดป้ายตำแหน่งที่เอวของกระหม่อม กระหม่อมย่อมหมดคำพูด แต่ตำแหน่งสำคัญเพียงนี้อย่างผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ฝ่าบาททรงถามความเห็นอำมาตย์นายกหนิงของเน่ย์เก๋อสักหน่อยจะดีกว่า!”

อีกสี่คนก็ลุกขึ้นยืนตาม และมองหลินจื่อโม่ด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเหมือนกัน

“เจ้าหมาแก่หนิงซงเหมือนกับพวกเจ้า เป็นเพียงสุนัขรับใช้ของข้าเท่านั้นเอง เจ้ากลับคิดเอามันมากดข้ารึ”

หลินจื่อโม่ตบโต๊ะดังผ่าง ตะคอกว่า “กินดีหมีมาหรือไง?”

สวีเหลียงเดือดจัด ไม่สนมารยาทระหว่างเจ้าชีวิตและขุนนางอีกต่อไป เขาก้าวเท้าเขยิบขึ้นมาชี้หน้าหลินจื่อโม่พลางว่า “เจ้า...”

แต่แล้วเขาพึ่งพูดได้เพียงคำเดียว ด้านหลังตู้หนังสือที่กว้างขวางหนักอึ้งพลันมีเชือกอ่อนพุ่งออกมาสิบกว่าสาย และมัดพวกสวีเหลียงไว้ด้วยกันทันที

พวกสวีเหลียงตกใจมาก คิดดิ้นรนขัดขืน หากพลันร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดแทน

เพราะบนเชือกอ่อนนั่นมัดกรงเล็บไว้ พอโดนรัดไว้แบบนี้ กรงเล็บสิบกว่าอันที่แหลมคมก็เจาะเข้าร่างกายพวกเขา

จากนั้นเซี่ยหยุนกับองครักษ์วังหลวงยี่สิบนายปรากฏตัวออกมาจากหลังตู้ ไม่รอสวีเหลียงรู้ตัว ก็มีดาบพาดมาที่คอพวกเขาแล้ว

ความรู้สึกเย็นเยียบเสียดกระดูกแทรกซึมเข้าผิว สวีเหลียงถึงได้สติกลับมา

เขารู้ละว่าตนหลงกลแล้ว!

แต่เขาก็ไม่เข้าใจอีกว่า ทำไมฮ่องเต้ขยะที่รู้จักแต่ทรมานนางกำนัล ไร้อำนาจใดๆในมือ จะพลันหาญกล้ามาลงมือกับพวกตน

ดาบซิ่วชุนในมือเฉินผิงชักออกมาได้ครึ่งหนึ่ง แต่ก็อึ้งอยู่ตรงนั้น เรื่องมันแปรเปลี่ยนฉับไว ในวินาทีที่เชือกอ่อนลอยออกมา เขาควักดาบออกมายืนขวางหน้าปกป้องหลินจื่อโม่ทันที จากนั้นก็งุนงงไปเลย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel