บทที่ 13 จัดระเบียบศาลชั้นใน
หลินจื่อโม่ไม่ได้รีบไปคิดบัญชีกับหนิงซงที่เน่ย์เก๋อ
เขาในตอนนี้ยังไม่มีกำลังมากพอไปงัดข้อกับเจ้าสุนัขนั่น แต่สำหรับหลายเรื่องในตอนนี้เขาต้องทำอะไรบางอย่างก่อน
นี่เป็นโอกาสที่ดีมาก
โอกาสที่จะแย่งชิงอำนาจส่วนหนึ่งกลับมา
และจิตใจด้านคุณธรรมของเขาไม่อนุญาตให้เขาปล่อยปละไม่สนใจประชาชนที่ประสบภัย
เป็นแบบนี้ต่อไปราชวงศ์ต้าเหยียนล่มสลายแน่
หลินจื่อโม่แค่อยากอยู่อย่างมีความสุขหลังแย่งชิงอำนาจกลับมา เป็นทรราชที่ลุ่มหลงมัวเมาในสุราและเงินทอง แต่ไม่อยากเป็นกษัตริย์ของแคว้นที่สิ้นชาติ!
แต่จะว่าไปมีเรื่องหนึ่งแปลกมาก เขาฆ่าฉาวสี่ก่อน และยังกำจัดซื่อหลางฝ่ายซ้ายของกรมขุนนางอย่างต้วนฮว๋าไป เมื่อวานก็ฆ่าขันทีใหญ่คนสนิทข้างกายไทเฮาไปอีก
เรื่องพวกนี้เพียงพอให้หนิงซงกับไทเฮามาเอาโทษ แต่จนถึงตอนนี้ยังคงสงบนิ่งอยู่ ไม่มีเรื่องใดๆเกิดขึ้นเลย
หลินจื่อโม่มีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ถ้าเป็นเรื่องที่คิดไม่ตกก็จะเลิกคิดชั่วคราว ดังนั้นเขาเลยคิดจะโยนเรื่องพวกนี้ทิ้งไปก่อน และกลับไปเตรียมตัวเพื่อการว่าราชการเช้าพรุ่งนี้ดีกว่า
เพียงแต่ตอนจะกลับถึงตำหนัก หลินจื่อโม่พลันตบหน้าผากตัวเองดังผ่าง
เขาเป็นฮ่องเต้ตัวปลอม แถมพึ่งย้อนเวลามาได้ไม่นาน ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับราชวงศ์นี้เท่าไหร่
เมื่อครู่ในห้องทรงพระอักษรมีหนังสือไม่น้อย เป็นสิ่งที่สามารถทำให้เขาคุ้นเคยกับโลกนี้ได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนใจเดินไปทางห้องทรงพระอักษร
หวังชิงไปประกาศราชโองการแล้ว ข้างกายมีเพียงขันทีน้อยสองคนตามติดและองครักษ์หลวงที่เซี่ยหยุนพามาไม่กี่คนเท่านั้น พอเห็นอย่างนี้ก็พากันมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร
ในตอนที่เขาเกือบถึงนอกห้องทรงพระอักษร พลันได้ยินว่า บนทางเดินนอกห้องทรงพระอักษรเหมือนมีคนกำลังพูดกัน เขาหยุดฝีเท้าลอบฟัง
“ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย สุนัขรับใช้อย่างเจ้าคิดจะกบฏงั้นรึ?”
น้ำเสียงแหลมปรี๊ด หลินจื่อโม่จำไม่ได้เลยว่าเป็นใคร
กลับได้ยินคนผู้นั้นยิ้มเย็นบอก “เจ้าคิดว่าฝ่าบาทให้เจ้าเป็นข้ารับใช้คอยสั่งการเจ้า เจ้าจะกลายเป็นคนสนิทของฝ่าบาทกระนั้นรึ? เจ้าคิดว่าไม่มีฉาวกงกงแล้วเจ้าก็จะได้ขึ้นมาแทนที่อย่างนั้นรึ? ต่อให้จะมีขันทีกุมตราประทับ ก็ควรจะเป็นข้า! ใครก็ได้ โบยมันเลย โบยให้หนักๆ ให้เจ้าสุนัขรับใช้นี่จำไว้แม่นๆ!”
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงไม้กระทบเนื้อดังมาระลอก ผสานกับเสียงแค่นหนัก
หลินจื่อโม่ตะลึง แต่เขาคุ้นเคยกับเสียงนี้ดี
หวังชิง?
เขาถูกโบยงั้นรึ?
เขาไม่ลังเลอีก รีบก้าวเท้าเข้าไปในตำหนัก สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือ หวังชิงโดนขันทีสองคนจับกดไว้กับพื้น และมีขันทีอีกสองคนถือไม้โบยกำลังจะฟาดลงไป ข้างๆยังมีขันทีแก่หน้าอ้วนหูใหญ่คนหนึ่งนั่งยิ้มเย็นมองดูอยู่
“ฝ่าบาทเสด็จ!”
ขันทีน้อยข้างกายหลินจื่อโม่ร้องตะโกนทันที
ขันทีที่ถือไม้ตกใจ หยุดมือทันที ทั้งหมดพากันคุกเข่าลง
“ถวายบังคมฝ่าบาท!”
ขันทีแก่ที่นั่งอยู่ลุกขึ้นอย่างนวยนาด แสร้งทำทีว่าเอวไม่ดี ก่อนยิ้มบอก “ไอ้โหย ข้าน้อยถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
หลินจื่อโม่เหล่เขาพลางถาม “ถวายบังคม? ทำไมเจ้าไม่หมอบกราบข้าล่ะ?”
ขันทีแก่ตะลึง ราวกับไม่คิดว่าฮ่องเต้จะพูดแบบนี้ จากนั้นเกลี่ยยิ้มบอก “ข้าน้อยปวดเอว ขอฝ่าบาททรงพระกรุณาข้าน้อยด้วย”
กรุณากับผีแกสิ!
หลินจื่อโม่เกือบทนไม่ไหวอาเจียนออกมาด้วยความขยะแขยง
เขาเดาได้แล้วว่าขันทีแก่นี่คือใคร ขันทีดูแลพู่กันและช่วยจักรพรรดิเขียนตอบด้วยหมึกสีชาดบนหนังสือราชการของสำนักขันทีฝ่ายพิธีการ ไต้เหลียนนั่นเอง!
งั้นหลินจื่อโม่ไม่เกรงใจแล้วล่ะนะ
ขันทีผู้ดำเนินการตราประทับจักรพรรดิฉาวสี่เป็นคนสนิทของจีจิ่งเหวิน แต่แล้วงานราชกิจในยามปกติไม่ผ่านมือสำนักขันทีฝ่ายพิธีการเลย ล้วนเป็นเน่ย์เก๋อและไทเฮาร่วมมือกันจัดการ ด้วยเหตุนี้ ทำให้ขันทีผู้ดำเนินการตราประทับจักรพรรดิผู้นี้อย่างฉาวสี่มีเพียงตำแหน่งเปล่าๆเท่านั้น
แต่ไต้เหลียนไม่เหมือนกัน เขาไม่ต้องดูแลพู่กันและเขียนตอบด้วยหมึกสีชาดจริงๆ แต่เขาแอบส่งสายตาให้กับหนิงซงอย่างลับๆเสมอ และยังแอบจับตาดูการกระทำทุกอย่างของจีจิ่งเหวินอย่างลับๆอีกด้วย
ฉาวสี่เป็นหมาที่จงรักภักดีของจีจิ่งเหวิน ส่วนไต้เหลียนกลับเป็นหมาเลี้ยงไม่เชื่องตัวหนึ่งดีๆนี่เอง
หลินจื่อโม่มองดูเขา พลางก้าวเท้ามายืนตรงหน้าเขา มองสำรวจจากบนลงล่าง พยักหน้าบอก “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ”
ไต้เหลียนยิ้มกว้างมากขึ้น แต่แล้วหลินจื่อโม่กลับพูดขึ้นอีกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเจ้าก็ออกจากวังไปเถอะ”
“ออก...ออกจากวัง?”
ไต้เหลียนงุนงงไปชั่วขณะ
หลินจื่อโม่พูดอีกว่า “เจ้าเจ็บเอวมิใช่รึ? ข้าอนุญาตให้เจ้าออกจากวังไปพักรักษาตัวให้ดีเถอะ”
ไต้เหลียนยิ้มค้าง “นี่ฝ่าบาท...ทรงล้อข้าน้อยเล่นกระมัง?”
หลินจื่อโม่ยกเท้าขึ้นอย่างแรงทันที และเหยียบไปที่ท้องอ้วนกลมของไต้เหลียนอย่างเต็มฝ่าเท้า
“อ๊าก!”
ไต้เหลียนอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนล้มลงอย่างหนักกับพื้นราวกับภูเขาขนาดย่อมๆ
“ข้า ฮ่องเต้แห่งประเทศนี้ มีเวลามาล้อเล่นกับหมารับใช้อย่างเจ้าด้วยรึ?”
หลินจื่อโม่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ข้าให้หวังชิงตามรับใช้ เจ้ากล้าทำร้ายเขา เท่ากับไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะเก็บเจ้าไว้ทำไมกัน?”
ไต้เหลียนดิ้นรนพยายามจะลุกขึ้น แต่น้ำหนักเท้าของหลินจื่อโม่หนักอึ้ง เขาลุกขึ้นไม่ได้เลยสักนิด
พอเห็นสีหน้าทะมึนดุดันของหลินจื่อโม่แล้ว เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า นี่คือฮ่องเต้ขยะที่เก่งแต่ระบายความโกรธใส่นางกำนัล หากไม่กล้าหาเรื่องใครทั้งนั้นคนนั้นรึ?
“ทหาร หักขามันทั้งสองข้าง และโยนออกจากวังซะ”
เดิมหลินจื่อโม่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว ไต้เหลียนนี่ถือว่าหาเรื่องได้ถูกจังหวะพอดี หากไม่ใช่เพราะว่าฉาวสี่พึ่งตายไปได้วันเดียว ถ้าตอนนี้ฆ่าไต้เหลียนอีกต้องมีปัญหายุ่งยากกับไทเฮาแน่ หลินจื่อโม่อยากจะจับมันสับเอาไปเลี้ยงหมาเสียจริงๆ
ให้ตายสิ ไอ้สารเลวเอ้ย!
ในที่สุด ไต้เหลียนก็ได้สติ รีบคุกเข่าลงพื้น และไม่สนใจอาการเจ็บที่เอวแล้ว ร้องโหยหวนอ้อนวอนว่า “ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว!”
แต่ทว่ามันสายไปแล้ว องครักษ์วังหลวงสองคนขึ้นหน้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ควักดาบที่เอวออกมาฟันลงไปทันที
เสียงกระดูกหักดังชัดเจนขึ้นมาสองครั้ง ไต้เหลียนสองขาหักลง และสลบไปเลย
ไต้เหลียนโดนลากออกไป หลินจื่อโม่หันมองขันทีหลายคนนั้นอีก พูดเสียงเย็นว่า “พวกเจ้า ตบปากกันและกัน!”
ขันทีหลายคนนั้นตกใจตัวสั่นเทากันหมด พอได้ยินอย่างนั้นก็ไม่กล้ารอช้า มองสบตากันไปมาและคุกเข่าลงเริ่มตบปากกันและกัน
หวังชิงใส่กางเกงกลับแล้ว และลุกขึ้นมายืนข้างกายหลินจื่อโม่ เขามองดูทุกอย่าง สีหน้าราบเรียบในยามปกติเริ่มเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย มีน้ำตารื้นขึ้นมาคลอเบ้า
เดิมเขาเป็นแค่คนรับใช้ต่ำต้อยคนหนึ่ง อาศัยว่าเชื่อฟังและทำงานได้ดี หลังจากเข้าวังมาได้ยี่สิบกว่าปีก็ได้ขึ้นเป็นขันทีเฝ้าตำหนัก แต่ก็เป็นแค่คนหนึ่งในบรรดาขันทีมากมายเท่านั้นเอง
การได้เลื่อนขั้นลืมตาอ้าปากเป็นความฝันที่ไม่อาจคาดหวังได้เลย เขาเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลย แต่แล้ววันนี้ ฮ่องเต้ผู้นี้ที่เป็นคนคุ้มดีคุ้มร้ายในสายตาผู้อื่น แต่กลับคุ้มครองเขาด้วยกำลังของตนคนเดียว ซ้ำยังขับไล่ไต้เหลียนซึ่งเป็นผู้มีอำนาจอันดับสองของสำนักขันทีฝ่ายพิธีการออกไปด้วย
“ฝ่าบาท ชีวิตของข้าน้อยนับแต่นี้เป็นของพระองค์แล้ว!”
คำพูดนี้ หวังชิงมิได้พูดออกมา แต่สลักไว้ในใจส่วนลึก
หลินจื่อโม่ไม่ได้พูดอะไรอีก พอเข้าห้องทรงพระอักษรก็เลือกหนังสือมาหลายเล่มอย่างตั้งใจ มีกฎหมายของราชวงศ์ต้าเหยียน เรื่องของรัชกาลก่อน รวมถึงเรื่องในระยะร้อยปีมานี้ที่คัดลอกเอาไว้ด้วย
พอออกมาจากห้องทรงพระอักษร ขันทีพวกนั้นยังตบปากกันอยู่ แต่ละคนหน้าบวมเป็นหัวหมูกันหมดแล้ว บนพื้นยังมีฟันร่วงลงมาสิบกว่าซี่
หลินจื่อโม่แค่นเสียงหึ “ไสหัวกันไปได้ละ”
ขันทีหลายคนถึงหยุดมือ ขอบพระทัยและถอยหนีออกไปทันที
หลินจื่อโม่เอ่ยขึ้น “หวังชิง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนเจ้าไปประกาศราชโองการ พวกเขามีท่าทีอย่างไร?”
“กราบทูลฝ่าบาท อำมาตย์นายกหนิงมิได้มีท่าทีอะไร เพียงบอกว่ารับรู้แล้ว ส่วนฉางยงซึ่งเป็นมหาราชบัณฑิตตำหนักเหวินหัวร้องเอ๋ออกมาคำหนึ่ง ส่วนไช่โย่วซึ่งเป็นเสนาบดีกรมคลังหัวเราะออกมา”
หวังชิงไม่ได้เล่าอย่างใส่สีตีไข่ แต่เล่าตามความจริง
หลินจื่อโม่พยักหน้า จำชื่อสองคนนี้ไว้ในใจ พลางยิ้มเย็นบอก
“ไช่โย่ว เสนาบดีกรมคลัง ไม่เลว ต่อไปก็ถึงตาเจ้าล่ะ”