9. งานโคมไฟ
พลบค่ำ แสงของโคมไฟที่ถูกประดับตบแต่งโดยรอบก็เริ่มสว่างขึ้น ชาวเมืองทะยอยกันออกมาเดินเที่ยวงาน รวมถึงเหล่าหนุ่มสาวชั้นสูงที่มีหน้ามีตาในเมือง
“คุณหนูได้ยินว่าจินอ๋องได้เสด็จมางานด้วยนะเจ้าคะ” สาวใช้จวนสกุลหลี่รายงานผู้เป็นนาย พร้อมกับส่งสายตาให้มองขึ้นไปบนหอน้ำชาที่อยู่ติดถนนใหญ่
“เจ้าว่า ข้าควรไปทักทายดีหรือไม่ อย่างน้อยยามเขาเห็นหน้า อะไรมันอาจจะง่ายขึ้นก็ได้” เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับเผยยิ้ม เมื่อได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย
“น่าจะเป็นเรื่องดีนะเจ้าคะ ความงามของคุณหนูเป็นที่เลื่องลือ มิแน่ว่าท่านอ๋องเห็นแล้วอาจถูกพระทัยจนมิอยากแต่งกับคุณหนูสกุลเฉียวก็เป็นได้” เมื่อได้ฟังคำยั่วยุจากสาวใช้ หลี่เหม่ยก็มิรีรอที่จะเดินไปยังหอน้ำชาอันเลื่องชื่อของเมือง ซึ่งมีสายตาของใครบางคนมองตามอยู่
“เดินตามไปดีหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถามผู้เป็นนาย ซึ่งมู่หลิงยังมิเห็นว่าหลี่เหม่ยนั้นเดินไปเข้าหอน้ำชาด้วยเหตุใด ทว่าความอยากมีหน้ามีตาจากการคบหาคนชั้นสูง ก็เพิ่มความทะเยอทะยานให้มู่หลิงมากขึ้น นางจึงพยักหน้าให้คนของตน ก่อนจะเดินตามไปโดยมิเรียกขานหลี่เหม่ยให้รู้ตัว
ด้านบนของหอน้ำชา จินอ๋องนั่งอยู่กับอ๋องสาม พระนัดดาจอมตื๊อของเขา ยามนี้เลยต้องทนฟังอีกฝ่ายถามเรื่องนั้นเรื่องนี้จนต้องให้คนสนิทไปตามไห่เฉิงมาคุยเป็นเพื่อนอีกคน เพราะเหนื่อยจะตอบคำถามเต็มที
“ท่านอ๋องคุณหนูหลี่เหม่ยมาพ่ะย่ะค่ะ” จางเฟยรายงาน เมื่อเห็นบุตรสาวของอัครมหาเสนาบดีเดินเข้ามา
“ถวายพระพรจินอ๋อง และอ๋องสามเพคะ มิคิดว่าจะพบพระองค์ทั้งสองที่นี่” น้ำเสียงของสตรีวัยยี่สิบสองผู้นี้ฟังดูละมุนยิ่งนัก น่าแปลกใจที่นางมิออกเรือนไปเสียที
“ตามสบายเถอะคุณหนูหลี่ เราก็แค่อยากออกมาเปิดหูเปิดตาเท่านั้น” เฟิงหรานตอบเสียงทุ้มอ่อน
ทำเอาผู้ที่ยืนอยู่หน้าห้องถึงกับกำมือแน่น เพราะอารมณ์ขุ่นมัวที่กำลังก่อเกิดในยามนี้ เพราะถ้อยคำที่ท่านอ๋องเอ่ยกับสตรีผู้นี้อ่อนโยนนัก ต่างจากยามที่เขาพบเจอหน้านางอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือ
“คุณหนู ใจเย็นนะเจ้าคะ หากท่านใส่อารมณ์ผลออกมามันจะไม่ดีต่อตัวท่านเองนะเจ้าคะ” สาวใช้รีบเตือนเมื่อเห็นผู้เป็นนายตาแดงก่ำ มือก็กำแน่นจนขึ้นสีเรื่อ
“ข้ารู้หรอกน่า” เสียงรอดไรฟันเปล่งออกมาจนน่าใจหาย พร้อมกับสายตาคมดุจ้องมองสตรีในห้อง ก่อนมันจะแปรเปลี่ยนเป็นปกติตามมาด้วยรอยยิ้ม
“พี่หญิงเหม่ย มิคิดว่าจะได้เจอท่านที่นี่เลย อุ๊ย!...ท่านอ๋องก็อยู่ด้วย ถวายพระพรเพคะจินอ๋อง อ๋องสาม” มู่หลิง ย่อตัวคำนับอย่างนอบน้อม พร้อมกับช้อนตามองว่าที่สามีของตนด้วย ทว่าอีกฝ่ายกลับมิมองนางสักนิด
ยามนี้จึงมีใครบางคนเผยยิ้มหยันออกมา ก่อนที่มันจะหายไปในเวลาอันรวดเร็วเมื่อบุรุษที่ตนชอบพอพูดด้วย
“หากคุณหนูหลี่มิมีธุระอันใดก็นั่งด้วยกันก่อนสิ” เมื่อนึกบางสิ่งได้เฟิงหรานก็ชักชวนหลี่เหม่ยให้ร่วมวง เป็นที่ถูกใจนางอย่างมาก จึงหมายจะนั่งฝั่งเดียวกับจินอ๋อง ทว่า
“ขออภัยคุณหนูหลี่ ตรงนี้ให้คู่หมั้นข้านั่งเถอะ ประเดี๋ยวผู้คนจะเอาท่านไปครหาว่ามิเหมาะควร มานั่งนี่สิมู่หลิง หรือเจ้าจะไปที่อื่นต่อ” ประโยคแรกเอ่ยกับหลี่เหม่ยนั้นอ่อนหวาน ทว่าประโยคที่เอื้อนเอ่ยกับคู่หมายนั้นดูแข็งกระด้างอย่างเห็นได้ชัด
แต่คนเช่นมู่หลิงไหนเลยจะใส่ใจ ในเมื่อคนที่ชอบเชื้อเชิญ นางจึงรีบเดินเข้าไปนั่งฝั่งเดียวกันกับจินอ๋องทันที ทำเอาสตรีอีกคนถึงกับหน้าเจื่อนก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกัน แต่หลี่เหม่ยก็ยังคงยิ้มแย้มในเวลาต่อมา เพราะเป็นคนควบคุมอารมณ์ได้ดี
ต่างจากมู่หลิงเมื่อเห็นทั้งสี่คุยกันอย่างสนิทสนมก็เกิดหงุดหงิดขึ้น ทว่านางก็จำต้องนั่งฟังและปั้นหน้ายิ้มต่อไป เมื่อคนข้างกายยังคอยรินชาให้ แม้จินอ๋องจะไม่พูดด้วย ทว่าเขาก็ยังใส่ใจนาง
“ท่านอ๋องคิดอย่างไรจึงให้สตรีสองนางนี้นั่งโต๊ะเดียวกัน และยังคอยดูแลคุณหนูเฉียวอีก” จางเฟยกระซิบถามสหาย ซึ่งอีกฝ่ายก็คอยจับสังเกตอยู่เช่นกัน
“ท่านอ๋องต้องมีแผนในใจเป็นแน่ พระองค์มิเคยใส่ใจสตรีใดนอกจากคุณหนูหรูซินเจ้าก็เห็น”
“นั่นสิ เราคงต้องรอดูต่อไปแล้วล่ะ” สองสหายยังคงมิเข้าใจการกระทำของผู้เป็นนาย ทว่าพวกเขาก็ได้แต่ยืนมองและคอยอารักขาเท่านั้น
“เอ๊ะ…นั่นฟูชิงนี่ มากับใคร” จางเฟยเอ่ยเสียงดังเมื่อมองลงไปเห็นสตรีที่ไม่ได้เจอกันนาน ซึ่งนางยังคงแต่งกายด้วยชุดบุรุษเช่นเคย ทว่าอีกคนเขากลับไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด ที่สำคัญคือนางงามมาก จะเรียกว่างามล่มเมืองก็ได้
“นั่นสิ คงมิใช่คุณหนู..อื้อ” สหายปิดปากไว้ทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าที่นี่มีคุณหนูเฉียวอีกคน จงเหรินได้สติรีบพยักหน้าก่อนจะหันไปมองผู้เป็นนาย ซึ่งยามนี้สายตาเขามันก็จ้องอยู่ที่สตรีตัวน้อยนามว่าหรูซิน
เพราะนางมิได้มากับสาวใช้แค่สองคนเช่นทุกครั้ง ทว่ามีหนุ่มรูปงามเดินเคียงข้างกันด้วย
“แม่นางน้อยนั้นเป็นใครกัน ไยนางถึงงามนัก” จินเจิ้นเทียนเกาะขอบระเบียงมองสตรีที่เดินอยู่ด้านล่างอย่างสนใจ ทำเอาสตรีอีกสองนางที่นั่งอยู่ต้องชะเง้อคอมองตาม เพราะเห็นว่าจินอ๋องก็สนใจมิน้อย
“นั่นน้องสาวหม่อมฉันกับคู่หมายของนางเพคะ จะหมั้นกันหลังจากหม่อมฉันและท่านอ๋องเข้าพิธี” รีบบอกให้บุรุษทั้งสามคลายความสงสัย
ไห่เฉิงหันขวับมองคุณหนูเฉียวทันที “จริงหรือ? ที่นางมีคู่หมายแล้ว” ถามเสียงอ่อยเพราะผิดหวัง
“ใช่เจ้าค่ะใต้เท้า หรูซินเองก็ดูจะถูกใจคุณชายเสิ่นมิน้อย ยามนี้ทั้งสองไปมาหาสู่กันทุกวัน ชวนกันออกนอกเมืองอยู่บ่อยครั้ง เมื่อครึ่งเดือนก่อนยิ่งออกไปทุกวันเลยนะเจ้าคะ ข้าน้อยเตือนเท่าใดก็มิฟัง เกรงว่าจะถูกผู้คนครหาเอาได้” ถ้อยคำนี้หากเป็นคนอื่นคงเชื่อสิ่งที่นางเอ่ย
ทว่ากับจินอ๋องและคนสนิทต่างก็ยกยิ้มที่มุมปาก แม้สิ่งที่นางเอ่ยมันจะจริงอยู่บ้าง เรื่องที่หรูซินออกไปเที่ยวเล่นนอกเมืองประจำ แต่บุรุษที่นางเจอคือพวกเขา ตกเย็นก็กลับเข้าเมืองด้วยกันทุกครั้ง แล้วจะเอาเวลาไหนไปเที่ยวเล่นกับคู่หมายได้ พอเห็นเช่นนี้จินอ๋องก็ยิ่งรังเกียจมู่หลิง
“จริงหรือนี่ ข้าอุตส่าห์จะลงไปเกี้ยวเสียหน่อย” อ๋องสามเอ่ยขึ้นอย่างเสียดาย
ด้านจินอ๋องนั้นส่งสายตาให้คนของตน ยามนี้จงเหรินจึงเดินออกจากห้องไปโดยที่มิมีผู้ใดสังเกต เพราะมัวแต่สนใจด้านล่างอยู่นั่นเอง เมื่อสตรีงามเดินพ้นสายตาทั้งหมดจึงหันมาพูดคุยกันตามเดิม
ซึ่งสตรีทั้งสองต่างก็จับสังเกตจินอ๋องมิวางตา เพราะอยากรู้ว่าเขาสนใจหรูซินเช่นสหายและพระนัดดาหรือไม่ ทว่าเฟิงหรานก็มิได้ทำสิ่งใดให้ผิดสังเกต เพราะมิอยากให้คนตัวเล็กนั้นเดือดร้อนไปด้วย หากสตรีตรงหน้ารู้ว่าเขาพึงใจในตัวคุณหนูสี่จวนสกุลเฉียวอาจเป็นภัยต่อนางก็ได้
“นั่งนานแล้วเราไปเดินเที่ยวงานกันดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ” ไห่เฉิงเอ่ยชักชวนทุกคน ทั้งหมดจึงเห็นดีด้วย ก่อนจะลุกเดินลงจากหอน้ำชาออกมาเป็นกลุ่มใหญ่
“บอกคนของเราเดินให้ห่างหน่อย” มู่หลิงเอ่ยกับสาวใช้ เพราะนางมีผู้ติดตามนับสิบ ยามนี้มีจินอ๋องอยู่ด้วย จึงอยากใช้เวลากับเขา อีกทั้งยังได้เดินรวมกลุ่มกับราชวงศ์ถึงสองพระองค์ และยังมีขุนนางใหญ่อีกคน รวมถึงคุณหนูสกุลหลี่อีก มู่หลิงจึงเชิดหน้าราวกับนางพญาก็มิปาน
“ชูคอราวกับตนนั้นเป็นหงส์ อีกมินานหรอกเจ้าจะเหลือเพียงชื่อ” หลี่เหม่ยคิดในใจเมื่อเห็นท่าทีของมู่หลิง