7. กลิ่นคุ้น
มู่หลิงหน้าเจื่อนเมื่อถูกตำหนิซึ่งหน้า มิคิดว่าจินอ๋องจะเย็นชาไร้ใจถึงเพียงนี้ ทว่านางก็มิยอมแพ้ง่ายๆ ตำแหน่งพระชายาจินอ๋องต้องเป็นของตน
“แต่น้องสาวของหม่อมฉันมิมีผู้ใดเต็มใจเป็นชายาของพระองค์นะเพคะ น้องสี่จะแต่งงานกับสกุลเหวิน น้องห้าก็จะแต่งกับสกุลว่านที่ต่างเมือง คงมิต้องบอกว่าเพราะเหตุใดพวกนางจึงมิอยากแต่งกับพระองค์ มีแค่หม่อมฉันที่เต็มใจจะเป็นชายาของพระองค์นะเพคะ” ถ้อยคำของคุณหนูรองสกุลเฉียว ทำเอาบุรุษทั้งสามต้องรีบหันไปยังผู้ที่นั่งจิบชาด้วยท่าทางทองมิรู้ร้อน
ทว่า! ประโยคเหล่านี้หากคนที่รู้จักจินอ๋องดี จะมิมีทางพ่นคำออกมาเด็ดขาด เพราะต่างก็รู้ว่าท่านอ๋องเกลียดชังสตรีที่เข้าหาเขาที่สุด และยิ่งมาเสนอตัวถึงที่เช่นนี้ด้วย หากเขามิสั่งลงโทษก็ถือว่าบุญแล้ว ทว่า!
“ส่งนางกลับจวน แล้วก็แจ้งใต้เท้าเฉียวด้วย ว่าอย่าปล่อยให้บุตรสาวเที่ยวเพ่นพ่านมาเรือนบุรุษเช่นนี้ หากมิใช่เพราะราชโองการข้ามิมีทางแต่งบุตรสาวสกุลนี้เข้าจวนเป็นอันขาด” น้ำเสียงเขาเย็นยะเยือกมิพอ สายตานั้นก็คมดุจนคนมองถึงกับขนลุกซู่
เพราะมันมิต่างจากตอนที่ จินอ๋องมองพระชายาซูเฟยเลย มันมีแต่ความเกลียดชังจนสองสหายสัมผัสได้จึงรีบจัดการกับสตรีตัวน้อยนี้
“เชิญขอรับคุณหนูเฉียว” จงเหรินเอ่ยพร้อมกับผายมือใส่มู่หลิง ซึ่งแต่งกายมางดงามมิต่างจากหน้า ทว่ามันมิอาจดึงดูดสายตาเจ้าของจวนให้มองมาที่นางได้เลย
เฉียวมู่หลิงหน้าเสียรอบที่เท่าไหร่แล้วมิรู้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังถูกคนสนิทของเขาต้อนให้ออกโดยมิให้เกียรติสักนิด จึงได้แต่อดกลั้นจนกว่าจะได้เข้ามาอยู่ในจวนนี้
“คุณหนูยังอยากแต่งงานกับคนเช่นนี้หรือเจ้าคะ ปากร้ายยิ่งนัก” สาวใช้เอ่ยแย้งความคิดผู้เป็นนาย เพราะเกรงว่าหากแต่งไปแล้วจะมิมีความสุข
“หุบปาก! นี่เป็นโอกาสเดียวที่ข้าจะได้อยู่เหนือผู้อื่น ข้ามิมีทางยอมลามือง่ายๆ หรอก” เฉียวมู่หลิงเอ่ยเสียงแข็ง
นางยังคงมาดมั่นที่จะเป็นชายาอ๋องให้ได้ เพราะหลายปีก่อนมักถูกเหยียดหยามจากคุณหนูผู้สูงส่งในเมือง เพราะยามนั้นใต้เท้าเฉียวเป็นเพียงหัวหน้าในกรมพิธีการ สกุลเฉียวจึงมิอยู่ในสายตาของคนชั้นสูง ทว่ายามนี้นางมีโอกาสที่จะอยู่สูงเหนือกว่าคนเหล่านั้นไหนเลยจะยอมพลาด ถึงแม้จินอ๋องจะไม่ยินดีและเหลียวแลนางก็เถอะ
สามวันต่อมา
จินอ๋องเดินทางออกนอกเมืองเพื่อตรวจตราค่าย และฝึกซ้อมกับทหารจนกระทั่งบ่ายคล้อย ก่อนจะกลับก็แวะไปที่ทะเลสาบก่อนเข้าเมือง
“ท่านอ๋องมีคนอยู่ที่ท่าน้ำพ่ะย่ะค่ะ” จางเฟยรายงาน เพราะท่าน้ำที่พวกตนเคยมาตกปลาบ่อยๆ เมื่อครั้งที่พำนักอยู่เมืองหลวง ทว่ายามนี้มีหนุ่มน้อยนั่งพูดคุยกันอย่างครื้นเครง ส่งเสียงราวกับว่าอยู่กันหลายคน
“มิเป็นไร เราก็ไปร่วมวงกับพวกเขาก็ได้” กล่าวกับคนของตนแล้วก็ตรงไปยังท่าน้ำ
“คุณหนูมีคนมาเจ้าค่ะ” ฟูชิงรายงาน เฉียวหรูซินพยักหน้ารับ เพราะนางได้ยินเสียงฝีเท้าม้าแล้ว
“ขออภัยคุณชายทั้งสอง เราเองก็อยากตกปลา คงมิเป็นการรบกวนใช่หรือไม่” จางเฟยเอ่ยกับคนทั้งสอง
“ตามสบายเลยใต้เท้า ที่นี่มิใช่ของใคร” ฟูชิงตอบก่อนจะยิ้มส่งให้องครักษ์หนุ่ม เพราะรู้ดีว่าพวกเขาเป็นใคร ทำเอาจางเฟยถึงกับยืนนิ่งเพราะมิคิดว่าบุรุษตัวน้อยจะยิ้มได้ตรึงใจยิ่งกว่าสตรีเช่นนี้ ทำเอาใบหูเขาแดงทันที
เฟิงหรานมองคนสนิทก่อนจะส่ายหัวแล้วเดินมานั่งข้างกายหนุ่มน้อยอีกคน ซึ่งหน้าตาหมดจดยิ่งนัก และยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่แสนจะคุ้นจมูก จนเขาอดมิได้ที่จะขยับเข้าใกล้เพื่อสูดดม ทำให้หรูซินต้องหันมาเอ่ยกับเขาเบาๆ
“เสียมารยาทนะใต้เท้า” น้ำเสียงตำหนิเปล่งออกมา ก่อนจะหันไปสนใจเบ็ดตกปลาของตน
“เจ้าเป็นสตรี?” เฟิงหรานเอ่ยขึ้นทันที
“รู้แล้วก็ขยับออกไปสิเจ้าคะ” หันมาตอบพร้อมกับยิ้มหวานส่งให้ จินอ๋องยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะขยับออกห่างเว้นระยะเช่นที่นางเอ่ย เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นสตรี
“พวกเจ้ามานั่งที่นี่กันสองคนมิกลัวหรือ”
“ไม่เจ้าค่ะ อยู่ใกล้เมืองหลวงแค่นี้เอง อีกอย่างข้าน้อยก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา จะมีใครมาคิดร้ายหมายเอาชีวิตกันล่ะ” บอกโดยมิได้หันมาสนใจอีกฝ่ายเลย
“ก็จริง แต่อย่างไรพวกเจ้าก็เป็นสตรี ระวังตัวไว้บ้างน่าจะดีกว่า” บอกจากใจจริงจนคนฟังหันมายิ้มให้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เอ่ยจบนางก็หันไปสนใจคันเบ็ดต่อ ทำเอาเฟิงหรานถึงกับกะพริบตาถี่ มิคิดว่าจะมีสตรีเมินเฉยใส่เช่นนี้ แต่ยังมิทันได้คิดสิ่งใดต่อ คนสนิทก็ส่งคันเบ็ดมาให้ เขาโยนสายลงไปอีกด้านห่างจากสตรีตัวน้อยเพียงนิด ต่อมาเสียงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ก็ดังขึ้น ทว่ามิได้เอ่ยถามถึงฐานะของอีกฝ่ายกันเลย
มีเพียงชื่อเล่นที่ใช้แนะนำกันเพื่อเรียกขาน จนกระทั่งพลบค่ำก็ยังก่อกองไฟปิ้งปลาที่หามาได้ข้างทะเลสาบกินกันอย่างสนุกสนานจนลืมเวลา
“ดึกแล้วกลับเข้าเมืองกันเถอะ” เฟิงหรานเอ่ยกับทุกคน ซึ่งสองสาวก็พยักหน้ารับและเดินไปที่ม้าของตน
“เราจะไปส่งพวกเจ้าที่เรือน มิทราบว่าเป็นคนสกุลไหนกันหรือ” จงเหรินเอ่ยถามเพราะตั้งใจจะไปส่งทั้งคู่ตามที่ผู้เป็นนายสั่ง ทว่าสตรีตัวน้อยกลับปฎิเสธ
“มิรบกวนใต้เท้าเจ้าค่ะ แยกกันตรงนี้เลยแล้วกันนะเจ้าคะ” หรูซินเอ่ยจบก็ดึงบังเหียนบังคับหัวม้าไปตามเส้นทางกลับจวนของตน
“ท่านอ๋องจะให้สืบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” จางเฟยเอ่ยถามเมื่อเห็นผู้เป็นนายดูท่าทางสนใจสตรีตัวน้อยที่ควบม้าไป
“ช่างเถอะ นางปลอมตัวเช่นนี้แล้ว ก็หมายความว่ามิอยากให้รู้ว่าตนเป็นบุตรสาวบ้านใดนั่นแหละ” เอ่ยกับคนของตนแล้วจินอ๋องก็บังคับม้ากลับจวน
จากนั้นมาจินอ๋องก็มักจะแวะที่บึงน้ำแห่งนี้เป็นประจำ ซึ่งบางคราก็พบสตรีทั้งสองและร่วมตกปลากันเช่นเคย จนเริ่มคุ้นชินกันทำให้เขาอยากเจอนางทุกวันโดยมิรู้ตัว ต่างจากหรูซินที่รู้สึกเฉยๆ แค่พูดคุยกับเขาตามมารยาทเท่านั้น
“คุณหนูดูเหมือนท่านอ๋องจะสนใจท่านนะเจ้าคะ” ถ้อยคำของสาวใช้ทำเอาคิ้วสวยผูกกันเป็นปมทันที
“ไยพี่ถึงคิดเช่นนั้น?” ถามในขณะที่นั่งทาครีมบนหน้า ซึ่งวันนี้หรูซินมิได้ออกไปข้างนอก เพราะต้องอยู่ต้อนรับว่าที่คู่หมาย หากจะพูดง่ายๆ ก็คือการดูตัวกันนั่นเอง
“ก็ท่านอ๋องมักจะทำตัวใกล้ชิดกับคุณหนูนี่เจ้าคะ อีกอย่างเคยได้ยินว่าเขามิเคยเข้าหาสตรีก่อน แต่กับคุณหนูคือเห็นเป็นมิได้ต้องควบม้าตามทุกครา” ฟูชิงเอ่ยอย่างที่คิด และสิ่งที่ได้ยินมาเกี่ยวกับจินอ๋อง
“คนเช่นนั้นหน่ะหรือจะใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่น” นางนึกในใจ มิคิดว่าคนที่ถูกพูดถึงจะเป็นเช่นนั้น เพราะนางมิเชื่อว่าคนอำมหิตเช่นจินอ๋องจะสนใจสตรีได้
“ข้าว่าพี่ดูผิดแล้วล่ะ ข้าจะนอนแล้วพี่ก็ไปพักเถอะ” เอ่ยจบนางก็ลุกขึ้นเดินไปที่เตียง เพราะมิอยากเอ่ยถึงบุรุษใจร้ายผู้นั้นอีก แค่พูดคุยกับเขาหรูซินก็ยังต้องพยายามทำตัวปกติ หากมิใช่เพราะต้องเกี่ยวดองกันภายหน้า นางคงมิพูดคุยกับเขาในยามที่พบกัน
“คุณหนูดูมิชอบจินอ๋องเลยนะเจ้าคะ” ฟูชิงยังคงเดินตามมาที่เตียงและพูดคุยถึงบุรุษดวงพิฆาต หรูซินมองหน้าพี่เลี้ยงก่อนจะยิ้มบาง
“อย่าได้พูดเรื่องของพี่เขยอีกนะพี่ฟูชิง หากมีคนได้ยินข้าจะถูกครหาได้ ไปนอนได้แล้ว” ออกปากไล่อีกรอบ ก่อนจะนอนตะแคงหันหลังให้ ทำเอาพี่เลี้ยงถึงกับพูดมิออก เพราะสิ่งที่ผู้เป็นนายเอ่ยมามันก็จริง