6. เสนอหน้า
ด้านจวนจินอ๋อง ยามนี้เฟิงหรานกำลังนั่งให้หมอทำแผลจากการลอบสังหารเมื่อกลางวัน โดยมีพระนัดดาหรืออ๋องสี่มาเยี่ยมอาการตั้งแต่รู้ข่าว ซึ่งเขาก็เอาแต่ไต่ถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนผู้เป็นอาต้องลุกหนี
“ข้าอยากพัก เจ้ากลับเข้าวังไปได้แล้ว” ออกปากไล่ก่อนจะเดินออกจากห้องโถงเพื่อกลับห้องของตน
“เช่นนั้นวันพรุ่งหลานมาใหม่นะเสด็จอา” จินหลี่ถงยังมิวายตะโกนใส่แผ่นหลังกว้างของผู้เป็นอาก่อนจะออกจากจวนไปอย่างหมดห่วงเมื่อรู้ว่าจินอ๋องดีขึ้นแล้ว
เฟิงหรานเข้าห้องนอนได้ก็ตรงขึ้นเตียงกว้างของตน เขานอนตะแคงโดยมิห่วงบาดแผลบนตัวสักนิด เพราะมันไม่ได้ใหญ่เช่นแผลจากคมดาบยามทำศึกเลย ยามนี้เขากำลังนึกถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ได้รับก่อนจะรู้สึกตัว มันน่าแปลกเพราะเขาหมดสติอยู่แท้ๆ มิน่าจะจดจำกลิ่นได้
“นางเป็นใครกันนะ” เปล่งวาจาแผ่วเบา หวนนึกถึงคำบอกเล่าของคนสนิทที่เอ่ยถึงการรักษาของสตรีตัวน้อย เพียงแค่ให้เขากินยาก็ทำให้พิษสลายหายไป
แต่เฟิงหรานคิดว่ามันมิใช่เช่นนั้น เพราะเขารับรู้ถึงบางสิ่งในร่างกายมันไหลเวียนมาที่ปากแผล และความทรมานซึ่งมันหายไปทีละนิด เหลือเพียงความเจ็บบนปากแผลเท่านั้น และสหายเขาก็เอ่ยมิต่างกัน
“เอาเถอะ หากมีวาสนาต่อกันข้าคงได้พบเจ้าอีก” เอ่ยเพียงเท่านั้นเปลือกตาอันหนักอึ้งก็ปิดลง เพราะเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง และยังถูกลอบสังหารอีก
สายของวันใหม่ จินอ๋องเดินทางเข้าท้องพระโรงเพื่อรับการปูนบำเหน็จ ทว่ารางวัลที่ได้รับอีกอย่างคือพระราชทานสมรสกับสกุลเฉียว ซึ่งจะมีในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ทำให้ท้องพระโรงเกิดเสียงซุบซิบขึ้นมา
“เหตุใดฝ่าบาทจึงมีราชโองการให้จินอ๋องอภิเษกอีกแล้ว มิเกรงว่าเจ้าสาวจะตายเช่นคนก่อนๆ หรือ”
“นั่นสิ ใต้เท้ามิคัดค้านหน่อยหรือ ชีวิตบุตรสาวท่านเลยนะ” ขุนนางท่านหนึ่งเอ่ยถามเจ้ากรมพิธีการ หรือใต้เท้าเฉียว ซึ่งมีสีหน้าวิตกกังวลมิน้อยแม้จะรู้มาก่อนแล้ว
“ฝ่าบาททรงรับสั่งใครกันจะกล้าขัด หากเป็นใต้เท้าจะกล้าปฎิเสธหรือ” คนถูกถามตอบกลับเสียงเหนื่อย
“นั่นสิ ใต้เท้าเฉียวจะเอ่ยอันใดได้ แม้แต่จินอ๋องยังน้อมรับโดยมิปริปากเลย” เสนาขวาเอ่ยกับทั้งสาม ทำให้การพูดคุยสงบลง มินานก็ถูกสั่งให้แยกย้าย
ตำหนักในของฮ่องเต้
เฟิงหรานถูกเรียกให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว เพื่อซักถามถึงอาการบาดเจ็บ และหารือเรื่องพระราชทานสมรสซึ่งเรื่องนี้จินฟานเสียนมิได้แจ้งกับผู้เป็นอาก่อน
“เสด็จอา อาการบาดเจ็บเป็นเช่นไรบ้าง” ฮ่องเต้เอ่ยถามทันทีเมื่ออยู่กันตามลำพัง
“ดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง” บอกก่อนจะเผยยิ้มบางให้หลานชาย
“เสด็จอาโกรธหรือไม่ที่ข้าพระราชทานสมรสให้” ถามเสียงเบา ในใจก็กลัวคำตอบของผู้เป็นอา เกรงว่าจะถูกตำหนิที่ตนทำอันใดมิปรึกษาก่อน ทั้งที่พึ่งกลับมาถึง
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทคงมีเหตุผลที่รับสั่งเช่นนี้” บอกอย่างที่คิด เพราะรู้ดีว่าฮ่องเต้ต้องมีแผนเป็นแน่ ฟานเสียนผายมือให้นั่งลงบนพรมตรงข้ามกับตน
“จริงเช่นที่เสด็จอาเอ่ย ข้าอยากให้ท่านเกี่ยวดองกับสกุลเฉียว ก่อนที่ไทเฮาจะพระราชทานสมรสให้พระองค์กับท่านหญิงหลี่เหม่ย” คำบอกเล่าของฟานเสียน ทำให้คนฟังถึงกับขมวดคิ้วเป็นปมเพราะมิรู้ว่าท่านหญิงผู้นี้เป็นใคร
“นางคือหลานสาวของไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ พระนางต้องการจับคู่ให้เสด็จอา หลานคงมิต้องบอกว่าไทเฮาต้องการอันใด” ฟานเสียนเอ่ยกับผู้เป็นอา
“หึ! น่าสนใจดีนะพ่ะย่ะค่ะ น่าแปลกที่ฝ่ายนั้นมิกลัวดวงพิฆาตของกระหม่อม แต่อยากมาเกี่ยวดองเสียได้ ดูท่าคงมีเรื่องแอบแฝงใช่หรือไม่” เอ่ยถามอย่างรู้ทัน
ฟานเสียนพยักหน้าให้ ก่อนที่ทั้งคู่จะพูดถึงเรื่องนี้ โดยมีเฉินกงกงร่วมหารือด้วย และองครักษ์คนสนิทของฮ่องเต้
เนิ่นนานกว่าจินอ๋องจะได้ออกจากวัง พอเฟิงหรานกลับมาถึงจวนก็เอาแต่นึกถึงถ้อยคำของฮ่องต้ ที่ทรงเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องเมื่อหกปีก่อน
“เสด็จอามิใส่ใจเรื่องแต่งงาน จึงมิคิดตรวจสอบว่าเหตุใดเจ้าสาวถึงได้สิ้นใจ ทว่าหลานส่งคนให้สืบเรื่องนี้ตั้งแต่หกปีก่อน จึงได้รู้ว่าพวกนางต่างก็ถูกวางยาจึงทำให้ตายในวันมงคล” นี่คือสิ่งที่ฟานเสียนบอกเล่าหลังจากเก็บงำมาหลายปี
เพราะผู้เป็นอามิได้อยู่เมืองหลวง กลับมาแค่สี่ห้าวันก็ต้องกลับไปชายแดน ฟานเสียนจึงมิอยากบอกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ เกรงว่าผู้เป็นอาจะกังวลจนทำศึกมิได้
ถ้อยคำของฟานเสียนยังคงดังก้องอยู่ในหู เพราะมันทำให้เฟิงหรานอดนึกถึงเรื่องเมื่อหกปีก่อนมิได้ ยามนั้นเขาเห็นแก่สกุลจ้าวที่เสียบุตรสาวพร้อมกัน จึงมิเอ่ยถึงเรื่องที่ซูเฟยวางยาทำให้สตรีหลายนางสิ้นใจ
รวมถึงจ้าวว่านชิงผู้เป็นพี่สาวนางด้วย ยามนั้นหลักฐานการวางยาพี่สาวหนาแน่นมาก เพราะสาวใช้คนสนิทนางยอมรับเองว่าจ้าวซูเฟยเป็นคนยื่นซองยาให้เอง
ทว่ายามนี้ฮ่องเต้กลับบอกว่าเจ้าสาวเขาที่ตายในยามนั้นอาจเป็นฝีมือของไทเฮาที่รับสั่งให้ทำ ในใจจินอ๋องจึงเชื่อครึ่ง มิเชื่อครึ่ง
“ใครกันที่ลงมือทำเรื่องนี้ แต่จะว่าไปเจ้าสาวคนสุดท้ายของเจ้า ก็ตายหลังพระชายามิใช่หรือ” ไห่เฉิงเอ่ยขึ้นด้วยความฉงน หลังจากฟังสหายเล่าเรื่องราวจบ ทว่ายังมิทันได้หารืออันใดต่อ พ่อบ้านก็เดินเข้ามารายงาน
“ท่านอ๋อง คุณหนูเฉียวมู่หลิงมาขอพบพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำของพ่อบ้าน คนสนิทและสหายต่างก็หันมาให้ความสนใจเจ้าของจวน เพราะอยากรู้ว่าเขาจะทำหน้าเช่นใด เมื่อมีสตรีมาขอเข้าพบ ทั้งที่พึ่งกลับมาเมืองหลวงแค่คืนเดียว และมิแน่ว่านางอาจจะเป็นว่าที่ชายาจินอ๋องในภายหน้า เพราะเป็นคุณหนูจากสกุลเฉียว
เสียงถอนหายใจดังขึ้น ก่อนจะพยักหน้าให้คนของตน มินานบุตรสาวของใต้เท้าเฉียวก็เดินเข้ามาพร้อมสาวใช้ นางเดินมาถึงกลางห้องโถงก็ย่อตัวคำนับอย่างอ่อนน้อม ใบหน้างามของนางสะกดสายตาของบุรุษหนุ่มได้ดี ทว่ามันมิได้มีความหมายกับจินอ๋องเลย
“ถวายพระพรท่านอ๋อง หม่อมฉันเฉียวมู่หลิงเพคะ” เสียงหวานเอ่ยพร้อมกับแสดงกิริยาอ่อนน้อม นางเงยหน้าส่งยิ้มหวานให้บุรุษที่นั่งอยู่ด้านในสุด ทว่าเฟิงหรานกลับมองมาด้วยสายตาเรียบเฉย จนมู่หลิงถึงกับชาวาบทั้งตัว
“คุณหนูเฉียวมีธุระอันใดกับท่านอ๋องหรือขอรับ” จางเฟยเอ่ยถามแทนผู้เป็นนาย ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคือท่าทีมิพอใจและสายตาขุ่นของคุณหนูคนงาม ทำเอาคนถามถึงกับหน้าเสียจึงรีบถอยมายืนกับสหายเช่นเดิม เพราะมิคิดว่าจะถูกสายตาตำหนิจากผู้ที่พูดจาอ่อนหวาน
“คนของข้าถาม ไยเจ้าถึงมิตอบ” น้ำเสียงของจินอ๋องฟังดูแข็งกร้าวยิ่งนัก กลายเป็นมู่หลิงหน้าเจื่อนบ้าง
“เอ่อ…มู่หลิงอยากมาทำความรู้จักกับท่านอ๋องเพคะ อีกมินานเราก็จะอภิเษกกันแล้ว” เอ่ยด้วยท่วงท่าเอียงอาย ทว่ายามพูดมันกลับชัดเจนทุกคำ
“หึหึ มิคิดเลยว่าบุตรสาวใต้เท้าเฉียวจะไร้ยางอายเพียงนี้ ข้ายังมิทันได้ตัดสินใจว่าจะเลือกคนไหนด้วยซ้ำ คุณหนูรองก็เสนอตัวมาถึงที่” คนเย็นชาไร้ใจเอ่ยก่อนจะยกยิ้มเหยียดสตรีตัวน้อย ทำเอามู่หลิงถึงกับหน้าซีด มิคิดว่าจินอ๋องจะปากร้ายถึงเพียงนี้