5.คุณหนูทั้งสาม
“เอาล่ะ เอาล่ะ อย่ามัวแต่โทษกันไปมา พวกเจ้าทำสิ่งใดกันคิดหรือว่าพ่อมิรู้ ต่อจากนี้ห้ามออกไปนอกจวนโดยมิได้รับอนุญาตอีก เพราะอีกมินานพวกเจ้าก็ต้องออกเรือนแล้ว ทำตัวให้มันดีดีอย่าสร้างความเสื่อมเสียให้สกุลอีก”
ถ้อยคำของบิดาทำเอาบุตรสาวทั้งสามต่างก็เงียบงัน ทว่าก็ยังมีใครบางคนที่เผยยิ้ม ต่างจากสองคนที่นั่งเงียบ โดยเฉพาะคุณหนูเล็กเถียนชิง สาเหตุที่นางหนีออกจากจวนบ่อยๆ ก็เพื่อไปหาคุณชายเฟย คนรักที่กำลังคบหากัน เขาเป็นบัณฑิตที่เข้ามาสอบในเมืองหลวง
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ภายในห้องโถงก็เงียบสงัดไร้คน เพราะประมุขจวนสั่งให้แยกย้าย หลังจากแจ้งเรื่องการหมั้นหมายของบุตรสาวแต่ละนางแล้ว ทำให้ยามนี้แต่ละเรือนต่างก็เกิดเสียงโวยวาย เพราะมิชอบใจที่ถูกบังคับให้แต่งกับบุรุษที่ตนมิเคยเห็นหน้า
“ท่านแม่ ลูกมิแต่งนะเจ้าคะ” เถียนชิงนั่งเขย่าแขนมารดา เมื่อได้ยินว่าตนนั้นต้องแต่งกับคุณชายสกุลว่าน ซึ่ง อยู่ต่างเมืองห่างออกไปเป็นวัน
“หากเจ้ามิแต่งกับคุณชายว่าน ก็ต้องแต่งกับจินอ๋องนะ แม่ยอมมิได้หรอกที่จะให้เจ้าแต่งกับคนดวงพิฆาตเช่นนั้น” อนุหวังเกลี้ยกล่อมบุตรสาวเสียงอ้อนวอน
“แต่ข้ามีคนรักแล้ว ข้ามิแต่งกับคนอื่น” เถียนชิงแผดเสียงใส่มารดา ทำให้อนุหวังต้องรีบปิดปากไว้ เพราะเกรงว่าจะมีคนมาได้ยินแล้วนำไปบอกสามี
“เอาน่า มิแน่คุณชายว่านอาจจะรูปงามก็ได้นะ ฐานะก็ดีมิต่างจากสกุลเรา แม่รู่ว่าเจ้าพึงใจคุณชายเฟยก็เพราะเขารูปงามมิใช่หรือ เจ้าก็อย่าพึ่งตีตนไปก่อนไข้นัก ประเดี๋ยวแม่จะส่งคนไปสืบว่าเขาหน้าตาเป็นเช่นไรดีหรือไม่ ยามนี้ก็อยู่เฉยไปก่อนก็แล้วกันนะเถียนเอ๋อ” คนเป็นแม่ได้แต่เกลี่ยกล่อมบุตรสาวให้ใจเย็น เพราะเกรงว่านางจะทำเรื่องมิควรขึ้นมา
ด้านเรือนทางฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นที่พำนับของฮูหยิน รอง และคุณหนูรองรวมถึงบุตรชายสี่เจ้าหยาง ยามนี้กำลังหารือกันอย่างเข้มข้น เพราะใจหนึ่งฮูหยินใหญ่ก็อยากให้บุตรสาวแต่งกับจินอ๋องเพื่ออำนาจ
อีกใจก็หวาดกลัวยิ่งนัก เกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นที่ได้ยินมากับบุตรสาวของตน ซึ่งข้อนี้ตัวมู่หลิงกังวลอยู่มิน้อย ทว่าความทะเยอทะยานของนางก็มีมาก จนอยากเป็นชายาของจินอ๋องแม้จะมีคำล่ำลือเกี่ยวกับเขามากมาย
“มู่เอ๋อ เจ้าคิดดีแล้วหรือ แม่เกรงว่า” เมื่อรู้ว่าบุตรสาวตั้งใจจะตบปากรับคำแต่งกับจินอ๋อง เฉียวฮูหยินก็เกิดกังวลขึ้นมา ทว่ามู่หลิงก็ยังเสียงแข็งอยากเป็นชายาอ๋อง จนมิฟังอันใดและบอกให้มารดาบอกเรื่องนี้กับบิดาโดยไว ประเดี๋ยวจะมีคนตัดหน้าไปก่อน
“ได้ แม่จะรีบไปบอกกับพ่อของเจ้า หากเรามิรีบตอบตกลงโดยไว แม่ใหญ่เจ้าคงชิงลงมือก่อนแน่ รอฟังข่าวดีได้เลยนะลูกแม่” ฮูหยินรองเอ่ยก่อนจะรีบออกจากเรือน
ส่วนอีกเรือนทางทิศเหนือของฮูหยินใหญ่ ซึ่งเป็นที่พำนับของมารดาเฉียวถานเหว่ยและเฉียวหรูซิน กลับมีแต่เสียงหัวเราะต่างจากเรือนอื่น ที่เคร่งเครียดเรื่องแต่งงาน ทว่าคนเป็นแม่ก็ยังกังวลเพราะเกรงว่าบุตรสาวจะไม่มีความสุข ยิ่งไปกว่านั้นคือกลัวว่าจะได้แต่งกับจินอ๋อง
“หรูซิน เจ้าเต็มใจแต่งงานหรือไม่” ถามเสียงเบาจนบุตรสาวและบุตรชายต่างก็เผยยิ้ม
“ท่านแม่กังวลอันใดหรือขอรับ เจ้าเด็กดื้อคนนี้ผู้ใดจะรังแกนางได้ มีแต่คนที่หมายจะหาเรื่องต่างหากที่ต้องถูกนางจัดการ” พี่ชายเย้าคนน้องทันที
“จริงด้วย ท่านแม่ก็รู้ว่าลูกมิใช่คนอ่อนแอเช่นแต่ก่อน อย่าห่วงเลยนะเจ้าคะ” ปลอบมารดาเพื่อให้เบาใจ
“ก็เพราะเจ้ามิเหมือนเดิมและยังต่างจากผู้อื่นน่ะสิ แม่ถึงได้ห่วง อีกอย่างหากต้องแต่งกับจินอ๋องดวงพิฆาตของเขาอาจส่งผลร้ายกับเจ้าก็ได้นะ” คนเป็นแม่ไหนเลยจะอยากเห็นบุตรสาวร่วมชีวิตกับบุรุษที่เป็นดั่งประตูนรก
เพราะสตรีใดอยู่ใกล้ก็มักจะล้มตายไปในช่วงเวลามิถึงเดือน ไหนจะเรื่องที่ถูกลอบสังหารอยู่บ่อยครั้งอีก เฉียวฮูหยินจึงมิอยากให้บุตรข้องเกี่ยวกับจินอ๋อง
“เจ้าคงมิเคยได้ยินข่าวลือเมื่อหกปีก่อน มันน่ากลัวยิ่งนัก ทั้งพระชายาซูเฟยและชายารองที่กำลังจะรับเข้าจวนต่างก็ตายเวลาไล่เลี่ยกัน ไหนจะพี่สาวของพระชายาอีก แม่เกรงว่ามันอาจเกิดขึ้นอีกก็ได้หากจินอ๋องคิดจะรับชายาอีกครั้ง” เฉียวฮูหยินเล่าเรื่องเมื่อหกปีก่อนให้บุตรทั้งสองฟัง หรูซินก็ได้แต่ยิ้มเอ็นดูมารดากับท่าทีกังวลของนาง
“ท่านแม่ คนจะตายต่อให้มิเจอดวงพิฆาตก็ตายได้นะเจ้าคะ แผ่นดินนี้มีคนตายมากมายทุกวัน คนเหล่านั้นก็หาได้เกี่ยวข้องกับท่านอ๋องไม่ อีกอย่างลูกคิดว่ายามนี้อาจมีคนเสนอตัวแต่งกับจินอ๋องไปแล้วก็ได้” เอ่ยก่อนจะยิ้มใส่
“เจ้านี่นะ ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่หากหลีกเลี่ยงได้มันก็ดีกว่ามิใช่หรือ ในเมื่อเรารู้ต้นสายปลายเหตุอยู่แล้ว” นางยังคงย้ำคำเพื่อเตือนบุตรสาว
“ลูกรู้แล้วเจ้าค่ะ เอาไว้รอฟังข่าววันพรุ่งก่อนนะเจ้าคะ ค่อยมากลุ้มเรื่องนี้อีกที ท่านแม่อย่ากังวลไปเลยนะ” บอกพร้อมกับขยับกอดเอวมารดาไว้ ด้านถานเหว่ยก็ได้แต่ยิ้มเอ็นดูน้องสาวที่แสนจะขี้อ้อนของเขา
เมื่อหารือกันแล้วเสร็จพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับห้อง พอถึงเตียงหรูซินก็นอนแผ่หรา จนสาวใช้อย่างฟูชิงถึงกับส่ายหัว เพราะผู้เป็นนายมิต่างจากเด็กสี่ห้าขวบเลย
“คุณหนูดื่มยาก่อนนะเจ้าคะ” ถ้วยหยกสีขาวถูกยื่นมาตรงหน้าผู้ที่นอนอยู่บนเตียง ร่างเล็กดีดตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับยิ้มหวานส่งให้สาวใช้คนสนิท ซึ่งหรูซินช่วยไว้เมื่อสี่ปีก่อน และนางก็มิมีที่ไปจึงอยู่รับใช้คุณหนูสี่เรื่อยมา
“ขอบคุณพี่ฟูชิง น่ารักจริงๆ” เอ่ยก่อนจะยิ้มหวาน
“วันนี้ใช้พลังช่วยชีวิตคนไว้ถึงสองคน รู้สึกเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ” ถามเสียงอ่อนเพราะรู้ว่าผู้เป็นนายคงสูญเสียพลังไปมาก แม้สีหน้านางจะดูปกติดีก็เถอะ ทว่าทุกครั้งที่ใช้พลังรักษาร่างกายนางก็มักจะอ่อนแอลง
“ข้ามิเป็นไร นอนพักสักคืนร่างกายก็เข้าที่แล้ว” บอกก่อนจะส่งถ้วยยาคืนให้ แล้วทิ้งตัวลงนอนเช่นเคย เพราะรู้สึกอ่อนเพลียเนื่องจากสูญเสียพลัง
“เช่นนั้นก็นอนเถอะเจ้าค่ะ” กล่าวพร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มให้จนถึงคอ พร้อมกับยิ้มเอ็นดูเด็กน้อยที่ตนคอยดูแลมากว่าสี่ปี ฟูชิงมิอยากเอ่ยถามถึงสิ่งที่อยู่ในใจของคุณหนูตน ก่อนจะดับเทียนในห้องให้แล้วออกไป