4. คุณหนูสกุลเฉียว
แม้ในใจอยากให้อีกฝ่ายตายไปเสีย ทว่าคุณหนูเฉียวก็ยังต้องจำใจช่วยเขา สตรีตัวน้อยขยับมาหาร่างของไห่เฉิงที่หมดสติมิต่างกัน โดยมิมีใครได้ทันสังเกตสิ่งผิดปกติ เมื่อสองคนนี้มีสีหน้าดีขึ้น
คุณหนูเฉียวจึงเหยียดกายลุกยืน นางเดินมาหาจางเฟยและจงเหรินที่บาดเจ็บหนักเพราะถูกแทง มือขาวล้วงเข้าไปหยิบขวดยาขนาดเล็กออกมาจากชายเสื้อ ก่อนจะเทลงแล้วยื่นให้ทั้งคู่
“กินเสีย มันช่วยระงับอาการปวดและห้ามเลือดได้”
สองสหายลังเลที่จะหยิบเม็ดยาใส่ปาก เพราะมิรู้ว่าสตรีผู้นี้เป็นใครนางอาจเป็นพวกเดียวกับคนร้ายก็ได้ ทำเอาผู้ที่ยืนจับตัวประกันอยู่นานแล้วถึงกับตำหนิเสียงดัง
“มิกินก็อย่ากิน นายของข้าอุตส่าห์ช่วย ยังจะมาทำยึกยักอีก เสียเวลาจริงเชียว” สาวใช้แผดเสียงลั่นถนน ทว่ามันก็มิทำให้สองสหายตัดสินใจได้เลยจนกระทั่ง
“ท่านอ๋องเป็นเช่นใดบ้าง” ไห่เฉิงที่รู้สึกตัวเปล่งเสียงถามสหายทันที ทำให้ทุกคนต่างก็หันมาสนใจคนที่เคยหมดสติ สองสหายจึงรับยาจากสตรีตัวน้อยมากินโดยมิตะขิดตะขวงใจอีก ก่อนจะหันมาสนใจร่างของผู้เป็นนาย
คุณหนูเฉียวจึงลุกขึ้นเดินมาหาคนของตน สาวใช้จึงปล่อยหัวหน้าหน่วยตรวจการ เพราะทหารรักษาเมืองก็วางดาบลงแล้ว เมื่อเห็นไห่เฉิงฟื้นขึ้นมาและยังตรวจชีพจรให้ จินอ๋องด้วย จงเหรินจึงรีบขยับเข้ามาดูอาการผู้เป็นนาย
“นี่คือยารักษาแผล ทาแค่สองสามวันก็แห้งสนิท อย่าพึ่งให้แผลถูกน้ำก็แล้วกัน มิเช่นนั้นอาจต้องใช้เวลานาน อีกอย่างจากนี้อย่าได้ตามหาเรา เพราะข้าและครอบครัวมิอยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอันตรายเช่นนี้ หากคนที่บงการรู้ว่าข้าช่วยท่านอ๋อง คงมิปล่อยครอบครัวข้าไว้ เพราะฉะนั้นอย่าตามหาและอย่าขัดขวางเรา ปล่อยให้เราสองคนไปดีดีได้หรือไม่” เอ่ยพร้อมกับส่งขวดยาสีขาวให้จางเฟย อีกฝ่ายก็เอาแต่เพ่งมองเข้าไปใต้หมวกผ้าที่นางใช้อำพรางใบหน้า
“ขอบคุณแม่นางทั้งสอง” หัวหน้าหน่วยเป็นผู้ที่เอ่ยและคำนับสตรีตัวน้อย เมื่อเห็นสีหน้าของจินอ๋องดีขึ้น ก่อนจะหันมาสั่งคนของตน “เปิดทางให้นาง”
ด้านจินอ๋องนั้นได้สติแล้ว มิหนำซ้ำยังลุกขึ้นมานั่งกุมบาดแผลที่อกตนด้วย ทว่าสายตาเขากลับสนใจอาภรณ์สีขาวซึ่งปลิดปลิวของใครบางคน กำลังเดินฝ่าฝูงชนออกไปจนกระทั่งลับตา ก่อนที่คนสนิทจะดึงความสนใจของเขา
“ท่านอ๋องยังเจ็บตรงไหนหรือไม่” จงเหรินเอ่ยกับผู้เป็นนาย แต่เท่าที่เห็นคือจินอ๋องอาการดีกว่าตนมากนัก เพราะบาดแผลนิดเดียว ที่อาการแย่ก็เพราะได้รับพิษ
“ข้าถูกพิษมิใช่หรือ” บอกในสิ่งที่ตนจำได้ กวนหลี่หัวหน้าหน่วยรักษาเมืองจึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟังทั้งหมด ว่ามีสตรีตัวน้อยรักษาเขาและทุกคน
“แล้วยามนี้นางอยู่ที่ใด” ถามทันที เมื่อมิเห็นคนที่กวนหลี่เอ่ยถึง เหตุใดนางต้องจากไป ในเมื่อมีโอกาสได้ช่วยเขาทั้งที เพราะมิว่าสตรีใดต่างก็อยากเข้าใกล้ตน
“เอ่อ…นางไปแล้วขอรับ นางบอกว่ามิอยากข้องเกี่ยวกับท่านอ๋อง เพราะเกรงว่าครอบครัวจะเดือดร้อนไปด้วย ขอให้ท่านอ๋องอย่าใส่ใจ ปล่อยพวกนางไปตามทางเสีย พวกกระหม่อมจึงมิได้รั้งไว้พ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือ” ตอบรับเสียงเบา เพราะสิ่งที่ได้ยินมันก็จริงดั่งว่า สตรีใดข้องเกี่ยวกับเขาต่างก็อยู่ได้มินาน จึงมิแปลกที่ผู้มีพระคุณจะเอ่ยเช่นนี้
“กระหม่อมจะอารักขากลับจวนก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ ส่งพระองค์แล้วค่อยเข้าวังไปรายงานให้ฝ่าบาทรู้ คงได้ยินข่าวว่าท่านอ๋องถูกลอบสังหารแล้ว ยามนี้คงเป็นกังวลมากแน่” กวนหลี่ประคองร่างของจินอ๋องขึ้น
“อืม เช่นนั้นข้าขอฝากด้วย” เอ่ยกับอีกฝ่ายแล้วร่างสูงของจินอ๋องก็ก้าวขึ้นรถม้าที่พึ่งมาถึง โดยมีไห่เฉิงตามขึ้นไปด้วย มิกี่อึดใจขบวนก็มุ่งหน้ากลับจวนทางทิศเหนือ ซึ่งชาวเมืองก็ยังคงส่งเสียงสรรเสริญเช่นเดิม โดยมีสายตาของเติ้งอ๋องมองอย่างแค้นใจ
“เจ็บใจนัก มิน่ามีคนมาช่วยมันเลย”
“ท่านอ๋องอย่าทรงกังวล กระหม่อมส่งคนตามไปจัดการสตรีสองนางนั้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” กั่วหลิงรีบรายงาน ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งก้านธูปคนของเขาก็กลับมา
“ทะ…ท่านอ๋องเราตามพวกนางไปมิทันพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ! มิได้เรื่องเลยซักอย่าง เลี้ยงเสียข้าวสุกที่สุด” น้ำเสียงที่เปล่งออกมากราดเกรี้ยวยิ่งนัก จอกสุราถูกขว้างลงพื้นจนแตกกระจาย ผู้ติดตามต่างก็พากันหมอบด้วยอาการตื่นกลัว เพราะรู้ดีว่านายของตนอารมณ์ร้ายเพียงใด
ด้านสตรีสองนางเมื่อหลบเลี่ยงผู้ที่ตามมาได้ ก็รีบถอดหมวกที่มีผ้าคลุมออก เหลือเพียงผ้าปิดหน้าซึ่งมีตั้งแต่แรก เพื่อปิดบังตัวตนมิให้ภายนอกรู้ว่าตนเป็นคนสกุลใด ก่อนจะเดินเลี่ยงไปตามตรอกรอบเมือง จนกระทั่งมาถึงจวนของตนและยังคงแอบเข้าทางด้านหลังเช่นเคย
“คุณหนูอาบน้ำเลยนะเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถามเมื่อผู้เป็นนายกลับเข้าห้องพักแล้ว
“อืม” ตอบรับคำก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะกลางห้อง รอให้สาวใช้คนสนิทสั่งคนมาเตรียมน้ำให้ มินานนักร่างเล็กอันเย้ายวนก็ลงแช่ในถังน้ำขนาดใหญ่ ทว่ายังมิทันจะได้ลงมือขัดถูร่างกายเลยด้านนอกก็มีเสียงเรียกเสียก่อน
“คุณหนู นายท่านเรียกหาเจ้าค่ะ” เสียงสาวใช้อีกคนเอ่ยขึ้นนอกประตู เสียงหวานจึงตะโกนตอบรับกลับไป
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ตั่งนั่งของห้องโถงในจวนเฉียวซึ่งมีอยู่ห้าที่ก็เต็ม เพราะเป็นครอบครัวใหญ่ มีภรรยาถึงสามซ้ำยังมีบุตรอีกห้า ชายสองหญิงสาม ยามที่อยู่กันพร้อมหน้าจึงทำให้ในจวนดูแคบไปถนัดตา
“เถียนชิงล่ะ ไยถึงได้ชักช้าเพียงนี้” เสียงตำหนิดังขึ้นเมื่อมิเห็นบุตรสาวคนเล็กวัยสิบหกปีออกมาเสียที
“ดูท่าคงแอบออกไปเที่ยวข้างนอกอีกแล้วกระมังท่านพ่อ ลูกว่าท่านพ่อควรลงโทษนางให้หลาบจำเสียบ้างนะขอรับ” เจ้าหยางรายงานบิดาทันทีที่ได้โอกาส เพราะผู้ที่เขาเอ่ยถึงคือน้องสาวคนเล็ก ทว่านางคือบุตรสาวของอนุ
“ขออภัยท่านพ่อ ลูกรู้สึกมิสบายนิดหน่อยจึงได้มาช้า ขอท่านพ่อโปรดอภัย” เสียงแหบพร่าบ่งบอกถึงอาการป่วยเช่นที่เอ่ย ใครบางคนจึงได้แต่ยกยิ้มที่มุมปาก มองดูท่าทางเสแสร้งของน้องเล็กวัยสิบหกปี
“เถียนเอ๋อมานั่งนี่มาลูก ป่วยก็น่าจะให้สาวใช้มาแจ้งท่านพ่อ จะลุกมาทำไมกัน” อนุหวังรีบเดินมาประคองบุตรสาวหน้าตาอิดโรย ถึงกระนั้นคุณหนูห้าก็ยังดูงดงาม มิต่างจากพี่สาวทั้งสองที่ยืนอยู่อีกฝั่ง
“หึ…ป่วยเพราะแอบหนีไปทำเรื่องงามหน้าน่ะสิ คิดว่ามิมีใครรู้สินะ” เสียงหยันเปล่งออกมาจากปากอิ่มคุณหนูรอง เฉียวมู่หลิง บุตรสาวของฮูหยินรอง
“พี่มู่หลิงรู้ได้เช่นไรเจ้าคะ หรือว่าแอบออกไปข้างนอกเหมือนกัน” เสียงใสของคุณหนูสี่เอ่ยขึ้นบ้าง ทำให้ได้เห็นสายตาของพี่สาวส่งมาตำหนิทันที เพราะอีกฝ่ายเอ่ยเหมือนเห็นว่านางนั้นแอบออกไปข้างนอกจริงๆ ซ้ำคุณหนูสามยังยิ้มกวนส่งให้พี่สาวจนน่าหมั่นไส้