องค์ชายผู้ถูกลืม
อิ๋นถีเสนอพลางกวาดสายตามองหน้าองค์ชายที่เหลือเป็นเชิงถามความเห็นแต่ไม่มีใครคัดค้านมีเพียงเก๊ามู่เฉินที่ยังมีสีหน้างุนงงและครุ่นคิดคนเดียว
องค์ชายสาม? นึกว่าจะไม่มีบทบาทและเป็นตัวประกอบซะอีก
“พี่สาม อือไม่เลวทีเดียวเขาไม่ได้มีข้อขัดแย้งกับใครในพวกเรา แต่มีพี่สามคนเดียวที่ยังไม่มีชายาเกรงว่าหากให้เจ้าลูกหมาน้อยตกน้ำไปอยู่กับเขา จะยิ่งสร้างความวุ่นวายให้กับพี่สาม”
องค์ชายแปดอิ๋นสือ แบ่งรับแบ่งสู้
“เลือกมาเจ้าจะอยู่กับใคร”
อิ๋นเจิ้ง ที่ยังมีสีหน้าเรียบเฉยทว่าน้ำเสียงกดดันยิ่งนัก
“ข้าเลือกได้หรือ”
จะต้องตามน้ำไปใช่ไหมในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วจะไปทางไหนได้
“ได้ องค์ชายสาม”
เอาละว่ะ เอาองค์ชายโนเนมที่ไม่เคยเห็นในซีรี่ย์นี่แหละ อาจจะดีก็ได้ แต่ว่าก็ว่าเหอะซีรี่ย์แม่งเชื่อได้ป่าวว่ะ
“พี่สี่ ต้องอาศัยท่านแล้วแหละ ลำพังพวกเราก็ไม่กล้าจะรบกวนพี่สาม แล้วอีกอย่างท่านก็อยากจะพิสูจน์ว่าเก๊ามู่เฉินเป็นคนที่ถูกส่งมาสอดแนมจวนของท่าน”
อิ๋นถีขอร้องแกมบังคับ
“ทำไมข้าต้องทำแบบนั้นด้วยแค่ข้าบั่นคอเขาซ่ะ ก็ไม่ต้องไปพูดกับองค์ชายสามที่วันๆ หมกมุ่นอยู่แต่ตำราอะไรนั้น ข้าไม่เห็นว่าคนอย่างองค์ชายสามนั้นจะมีประโยชน์อะไรนอกจากเขียนหนังสือ และเป็นลูกที่เสด็จพ่อโปรดปราน”
นี้หย่งเจิ้งนี่คือหยงเจิ้งผู้ที่ไม่เคยญาติดีกับใครเลย ยกเว้นคู่จิ้นของเขาองค์ชายสิบสาม ไม่รู้จะรักอะไรนักหนาน้องแท้ๆก็ไม่ใช่
“การที่ไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่นคือข้อดีของพี่สามเราควรหาประโยชน์จากการไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นของเขา”
อิ๋นเสียงให้เหตุผล มีเขาคนเดียวเท่านั้นที่ใช้เหตุผลคุยกับอิ๋นเจิ้งได้ ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะใคร
องค์ชายทั้งหกที่กำลังจะใช้เก๊ามู่เฉินเพื่อหาคนที่ต้องรับผิดชอบความบาดหมางนี้
พวกเขาต่างคนต่างที่ต้องการจะบอกกับอีกฝ่ายว่า อีกฝ่ายคิดผิด
ในห้องมีกองตำราหนังสือวางกระจัดกระจายตามชั้นหนังสือและพื้น หากจะเดินจำต้องใช้เท้าเขี่ยแหวกทางหากไม่อยากเหยียบตำราบนพื้นที่ล้วนแต่เป็นตำราสำคัญ โต๊ะในสุดกลางห้องที่แดดส่องถึงอ่อนๆ แต่กระนั้นก็ยังมีฝุ่นเกาะเกรอะกรังเจ้าของห้องนั่งเขียนตำราอย่างขะมักเขม้นไม่สนใจผู้ที่ก้าวเข้ามาแม้แต่น้อย
อ้ายซิ่นเจี๋ยหลัวอิ๋นจื่อองค์ชายสามผู้รูปงาม ริมฝีปากสีแดงระเรื่อผิวขาวจนเกือบซีดทว่าผมเผ้ารุงรังเพียงแค่มัดรวบไว้ลวกๆ อย่างเร่งรีบแขนเสื้อและมือมีรอยเลอะหมึกสีดำเป็นแถบ เสื้อผ้าหน้าผมถูกละเลยไม่เรียบร้อยหรูหราประณีตเหมือนองค์ชายทั่วไป
“ข้าไม่แปลกใจเลยหากจะมีใครสักคนหายไปในห้องพี่สาม”
อิ๋นถีใช้เท้าเขี่ยตำราบนพื้นพลางมองสำรวจ ไม่บ่อยนักจะมีธุระให้มาเจอพี่สาม อิ๋นจื่อเงยหน้าขึ้นมาหันซ้ายหันขวาก่อนจะกล่าวอย่างสับสน
“ใคร มีใครหายไปในห้องข้า”
“พี่สามน้องสิบสี่แค่เปรียบเปรย ทำไมท่านปล่อยให้ห้องรกแบบนี้” อิ๋นเสียงตอบยิ้มๆ
“ข้าแค่เอาตำราทุกเล่มที่จำเป็นต้องใช้เข้ามาในห้อง นั่นเจ้าสิบสี่เจ้าเอาเท้าเขี่ยตำราเชียวหรือ”
อิ๋นจื่อลุกขึ้นและหยิบตำราที่พื้นขึ้นมาวางกองบนโต๊ะหนังสือตัวเอง เมื่อเงยหน้าก็สังเกตเห็นเก๊ามู่เฉินพลันยิ้มทันที
“เจ้า? หายดีแล้วหรือ ทำไมถึงรีบลุกเดินไปไหนมาไหนเล่า”
แววตาซื่อๆ น้ำเสียงจริงใจจนเก๊ามู่เฉินรู้สึกได้
“ข้าถูกบังคับให้เดินความจริงข้ายังขากระเพลก หัวยังเจ็บแต่คนพวกนี้ก็ยังบังคับให้ข้าเดิน”
“หากไม่ใช่คนที่เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เจ้าข้าคงคิดว่าเจ้าเป็นอิสตรี” ว่าเก๊ามู่เฉินว่าเสแสร้ง
อิ๋นเสียงกล่าวจบเก๊ามู่เฉินรวบคอเสื้อตัวเองแน่นและโวยวายทันที
“เห้ย นี่ท่านบังอาจจับต้องคนอื่นตอนเขาหมดสติหรอ”
“ข้านิยมหญิงงามถ้าไม่ใช่ข้าก็ไม่อยากจะแตะต้องเจ้าสักนิด หากพี่สี่ไม่สั่งมีหรือข้าจะทำ”
อิ๋นเสียงถอนหายใจ
“แล้วพวกเจ้ามีธุระอะไรกับข้าหรือ”
อิ๋นจื่อถามเมื่อเก็บตำราบนพื้นเสร็จ
“พี่สี่ พูดอะไรหน่อยสิ”
อิ๋นถีหันไปหาอิ๋นเจิ้ง
“ดูแลตัวเองด้วย”
อิ๋นเจิ้งพูดเสียงเรียบกับเก๊ามู่เฉิน
“ท่านเป็นห่วงข้าด้วย?”
เก๊ามู่เฉินหันขวับ
“ข้าหมายถึงให้ระวังตัว หากทำผิดพลาดเพียงนิด…ข้าจับตาดูเจ้าอยู่”
อิ๋นเจิ้งเชิดหน้าขึ้นส่งสายตาไม่เป็นมิตร
“พี่สี่ ข้าหมายถึงพูดกับพี่สาม” อิ๋นถีรีบขัด