องค์ชายผู้ถูกลืม2
“น้องสี่ ข้าขาดคนช่วยหยิบจับตำราพอดี ได้เขามาก็นับว่าต้องใช้งานเพราะยังไงข้าก็เป็นคนช่วยชีวิตเขาย่อมต้องตอบแทนกันสักหน่อย”
อิ๋นจื่อพยายามยิ้มให้เก๊ามู่เฉินอย่างเป็นมิตรเพราะเห็นใจเก๊ามู่เฉินที่โชคร้ายพัวพันความขัดแย้งนี้ อิ๋นเจิ้งดูไม่ยินดีเท่าไหร่เมื่อฟังจบเพียงพยักหน้าเบาๆ และเบือนหน้าหนีคล้ายอยากจะไปเสียจากที่ตรงนี้
“พี่สาม เขามาอยู่ที่นี่ข้ามาเยี่ยมหาเขาได้ใช่ไหม”
อิ๋นเอ๋อพูดอย่างร่าเริงพลางเดินไปกอดคอเก๊ามู่เฉินเขย่าแรงๆ อิ๋นจื่อเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจเสียงดังชัดเจนแต่ก็อดจะยิ้มไม่ได้เช่นกัน
“แน่นอน แต่ต้องพากันออกไปเล่นด้านนอก น้องสิบข้ารู้ว่าเจ้ายังเล่นสนุกเหมือนเด็กๆ จึงกลัวว่าจะทำข้าวของในห้องเสียหาย”
“พี่สามท่านพูดเหมือนพวกข้าเป็นเด็กเล็กๆ พวกข้าไม่สร้างความเดือดร้อนให้ท่านแน่นอน”
เก๊ามู่เฉินอยากจะบอกว่าใครอยากจะเล่นกับเจ้ากัน
“งั้นข้าขอตัวก่อนองค์ชายสาม”
อิ๋นเจิ้งกล่าวพลางเหลือบตามองเก๊ามู่เฉินและเดินออกไปทันที
“รักษาสุขภาพด้วยพี่สาม”
อิ๋นเสียงกล่าวลาและรีบตามไปเช่นกัน
เพียงไม่นานห้องก็เงียบอีกครั้ง องค์ชายคนอื่นๆ ตามออกไปจนหมด เก๊ามู่เฉินสังเกตเห็นอิ๋นจื่อถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดเขาก็ส่งยิ้มให้เก๊ามู่เฉินและผายมือไปทางเก้าอี้ ตรงกันข้ามกับที่เขานั่งจ้องมองใบหน้าของเก๊ามู่เฉินอย่างค้นคว้า
“นั่งสิ ข้าอยากถามสักไม่กี่คำถาม สบายใจเถอะข้าสัญญาจะทำทุกอย่างอย่างยุติธรรมที่สุด”
“ขอบคุณองค์ชายสาม”
ดูจากท่าทีและคำเรียกแล้วอิ๋นเจิ้งและองค์ชายสามคงไม่สนิทกันถึงขั้นไม่ลงรอยแต่จะด่วนสรุปยังเร็วไป เขาต้องตอบตามความจริงละทิ้งอคติ
“เจ้าเข้าไปที่จวนพี่สี่ทำไม เข้าไปได้ยังไง”
“ข้าไม่รู้ ข้าจำไม่ได้”
“เจ้ามีญาติพี่น้องหรือไม่”
“ข้าไม่มี” อิ๋นจื่อขมวดคิ้วด้วยเป็นคนที่ชอบคิดวิเคราะห์
“งั้นก็อยู่ที่นี้ช่วยงานข้าสักพักคงไม่เป็นปัญหา อยู่จนกว่าน้องสี่จะหายสงสัย”
อิ๋นจื่อหันไปเก็บตำราต่อเหมือนหมดคำถามแค่นี้จริงๆ เก๊ามู่เฉินรีบลุกขึ้นตั้งใจจะช่วยแต่กลับถูกอีกฝ่ายห้ามทันทีอย่างแตกตื่น
“นั่งก่อนเถอะ นั่งก่อนเถอะ เจ้าบาดเจ็บไว้หายดีจริงๆ แล้วข้าจะใช้งานเจ้าเอง”
“ไม่เป็นไรๆ งานง่ายๆ แค่นี้ข้าทำได้”
“งั้นก็ตามใจ”
เก๊ามู่เฉินเดินไปเก็บตำราและเศษกระดาษที่ทั้งขยำและฉีกโยนไปทั่วห้อง โห้ อย่างเยอะเลย แอบดูนิดหน่อยคงไม่เป็นไรในเมื่อก็จะทิ้งอยู่แล้วเห็นๆ เมื่อแกะกระดาษออกดูก็พบตัวหนังสือเต็มหน้ากระดาษ บางแผ่นมีภาพวาดและบางแผ่นมีสูตรที่เขาเห็นแล้วเวียนหัวกระทันหันแต่ก็แปลกใจจนอดไม่อยู่
“เห้ย องค์ชายสาม!”
“หืม? เจ้าตกใจอะไร”
อิ๋นจื่อหันมองอย่างงุนงงและเห็นเก๊ามู่เฉินอ่านกระดาษที่ยับยู่ยี่ของเขาและเบิกตาโพลง ทันใดนั้นอิ๋นจื่อก็ตกใจเช่นกัน
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว นี่มันเกี่ยวกับการเรียน เรียกว่าสูตรเรขาคณิตอมันคือวิธีคำนวณตัวเลข”
“ข้ารู้จัก ข้ารู้จัก ท่านเรียนเรื่องยากๆ แบบนี้ด้วยหรือ”
“นี่คือโจทย์สุดท้ายของข้าแล้ว เสด็จพ่อทรงให้ข้าหาความกระจ่างในเรื่องนี้”
“ท่านจะเรียนไม่จบหรือถ้าไม่สามารถแก้โจทย์นี้”
เอาเรื่องมาก องค์ชายสามจะเรียนจบป่าวแบบนี้
“ความจริงแล้วอาจจะทรงลืมไปแล้ว จึงไม่เคยทวงถามแต่มอบหมายงานเขียนหนังสือให้ข้าแทน”
“แต่ท่านก็ยังมุ่งมั่นจะหาคำตอบหรือ”
อิ๋นจื่อถอนหายใจเสียงดังสีหน้าดูเหมือนจะเหนื่อยและแอบเศร้าใจที่ทำไม่ได้สักที อาจเพราะหมายจะทำให้ได้ตามความคาดหวังของบิดาจนมากเกินไป เก๊ามู่เฉินไม่อยากจี้ใจดำต่อจึงหันไปเก็บตำราที่เหลือ
องค์ชายสามน่านับถือจริงๆ เขาในสมัยมัธยมต้นได้การบ้านคณิตศาสตร์ก็อิดออดกว่าจะเริ่มทำ แม้จะไม่ยากแต่ก็น่ารำคาญและยุ่งยากมาก องค์ชายสามไม่เคยย้อนถามตัวเองหรอว่าเรียนไปทำไม ฮ่าฮ่าฮ่า
เก๊ามู่เฉินไม่ใช่คนใจร้ายใจดำขนาดนั้นเขารู้และในใจรู้สึกขอบคุณที่องค์ชายสามพยายามช่วยเขาเรื่องอิ๋นเจิ้งจึงอดไม่ได้แอบยัดกระดาษที่มีโจทย์ขององค์ชายสาม