เลือกมาเลยจะเอาคนไหน
อันนี้มันปู้ปู้จิงซินชัดๆ ด้วยสมองอันชาญฉลาดของคริสหรือเก๊ามู่เฉินทำให้วิเคราะห์เรื่องนี้ได้ไม่ยาก
“จะยากอะไรส่งคนผู้นี้ไปทรมานให้คายความจริงออกมา”
องค์ชายเก้าอ้ายซิ่นเจี๋ยหลัวอิ๋นถังท่าทีเย่อหยิ่งแม้จะมีใบหน้าหล่อเหลาแต่สายตาไม่เป็นมิตร
“น้องเก้า ทำอย่างนั้นก็เท่ากับไร้ความยุติธรรม เสด็จพ่อทรงสั่งสอนให้เราทั้งหมดยึดมั่นคุณธรรม คนไม่ผิดจะลงทัณฑ์ง่ายดายได้อย่างไร”
อิ๋นสือปรามเบาๆ น้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟัง
“องค์ชายแปดมาเพื่อการนี้ ตั้งใจปกป้องเขา พูดให้พี่สี่ดูแย่ว่าพี่สี่ไร้คุณธรรมเพื่อปกป้องคนของท่าน”
อิ๋นเสียงยิ้มเหยียด
“น้องสิบสาม เจ้าประเมินพี่แปดต่ำไป ข้าไม่ได้มีเจตนากล่าวร้ายพี่สี่”
“ข้าไม่รู้จักใครทั้งนั้น ก็แค่คนเลี้ยงม้า”
เก๊ามู่เฉินแก้สถานการณ์โดยเร็ว หากปล่อยไว้ต้องมีการประลองกระบี่กันแน่
“เลี้ยงม้า?”
คนทั้งหมดอุทานออกมาพร้อมกัน
“เลี้ยงม้าอยู่ในน้ำอะเหรอ” อิ๋นถีแหนบ
“ท่านไม่รู้จักม้าน้ำหรอ” เก๊ามู่เฉินถามกลับทันควัน
คนทั้งหมดส่ายหน้าถอนหายใจ
“ข้าเห็นเจ้าลับๆ ล่อๆ ก่อนที่ข้าจะซัดฝ่ามือเข้าใส่จนตกลงไปในน้ำดีนะที่องค์ชายสามช่วยเจ้าไว้ไม่อย่างนั้นข้าจะปล่อยให้เจ้าจมน้ำตาย เจ้าผ่านองครักษ์ของข้าเข้ามาได้อย่างไร หากเป็นเพียงคนเลี้ยงม้าไร้ฝีมือ”
“ต้าชิงมีองค์ชายสามด้วยหรือ?” เก๊ามู่เฉินขมวดคิ้วดกดำ
“ข้าพลาดอะไรไปป่าวเนี้ย”
องค์ชายสิบอ้ายซิ่นเจี๋ยหลัวอิ๋นเอ๋อวิ่งเข้ามาในห้อง
“เรากำลังหารือกันว่าจะเอาเจ้าคนเลี้ยงม้าคนนี้ไปไว้ตรงไหน ที่พอจะจับตามองเขาได้ตลอดเวลา เพราะเขาทำให้พี่แปดของเจ้ากับพี่สี่บาดหมางกัน”
อิ๋นสือพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มชวนฟังทำให้ผู้ฟังรู้สึกผ่อนคลายแต่ไม่ใช่อิ๋นเจิ้งและอิ๋นเสียง
“ข้ารับไว้เอง”
อิ๋นเอ๋อเสนอตัวทั้งๆ ที่มาทีหลังไม่รู้เรื่องอะไร
“เหอะ อย่างเจ้าน่ะหรออิ๋นเอ๋อจะจับตาใครได้ ลำพังเจ้าเองยังเอาตัวไม่รอดเล่นสนุกไปวันๆ”
อิ๋นถังสบประมาท
“ข้าช่วยจับตาแทนเขาเอง รูปร่างผอมบางราวกับอิสตรีไม่คณามือข้าหรอก”
อิ๋นถีรีบเสนอตัว
“พวกเจ้าแย่งชิงอะไรกันคนเลี้ยงม้ามีค่าพอให้เจ้าจับตาหรือว่าต้องการปกปิดอะไรกันแน่”
อิ๋นเสียงตั้งข้อสังเกตอิ๋นเสียงผู้ที่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาแต่ทว่าเจ้ากลยุทธ์
“อ้ายซิ่นเจี๋ยหลัวแปลว่าอะไร?”
เก๊ามู่เฉินเลิกคิ้วพูดตัดบทลดความตึงเครียด
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ข้าชอบเขา ข้าชอบเขา พี่สี่อย่าใจแคบไปหน่อยเลยให้เขาไปอยู่จวนข้าเถอะ”
อิ๋นเอ๋อหัวเราะดังลั่นดวงตาเป็นประกาย ทำให้ใบหน้าใสน่ามองยามหัวเราะร่า
อิ๋นเจิ้งขมวดคิ้วคมดวงตากร้าว
“เจ้าอยากรู้ไปทำไมกัน”
อิ๋นเสียงและอิ๋นถีกลั้นหัวเราะกับท่าทีขึงขังของอิ๋นเจิ้ง อิ๋นถังส่ายหน้าไปมาด้วยความเบื่อหน่าย
“อ้ายซิ่นเจี๋ยหลัวเป็นราชตระกูลในราชวงศ์ชิง ซึ่งมีเชื้อสายแมนจูในภาษาแมนจูแปลว่า...ทอง”
อิ๋นสืออธิบายสายตาเอ็นดูส่งมายังเก๊ามู่เฉินที่ทำตาปริบๆ นั่งตั้งใจฟังคำอธิบาย ทั้งน้ำเสียงที่นุ่มนวลและท่าที่อ่อนโยนทำให้คำพูดน่าเชื่อถือ ต้องเป็นคนแบบไหนกันที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง”
อิ๋นเจิ้งหันกลับมามองตาเก๊ามู่เฉินใส่สายตากดดันอย่างเห็นได้ชัด เก๋ามู่เฉินเก็บอาการไม่แสดงสีหน้าว่าไม่พอใจแบบที่เขาทำทุกครั้งที่ผ่านมากับเพื่อนๆ
แต่ก็โต้ตอบคำพูดอย่างใจเย็น
“ข้ายืนยันว่าข้าแค่คนเลี้ยงม้า ไม่รู้จักใคร”
“หากพูดแค่นี้ก็บริสุทธิ์ ก็คงไม่ต้องมีการพิสูจน์เกิดขึ้น”
“ข้าไม่มีอาวุธติดกายสักชิ้นท่านไม่สังเกตหรือ”
อิ๋นถีเลิกคิ้วมองเก๊ามู่เฉินอย่างสนใจพลางอมยิ้ม คนผู้นี้กล้าไม่เบาจริงๆ
“พี่สี่ น้องสิบสามขออาสาจับตาดูเขาเอง”
อิ๋นเสียงพูดอีกครั้ง
“เดี๋ยวๆ ข้าเสนอตัวก่อนทำไมจะชิงตัดหน้ากันแบบนี้” อิ๋นเอ๋อโวยวาย
“หากเป็นพี่สามเล่า? เขา…ช่วงนี้วุ่นวายกับการเขียนหนังสือคงไม่สนใจเรื่องพวกนี้และพี่สามยุติธรรมที่สุด ไหนๆ เขาก็เป็นคนเจอคนผู้นี้ก็ควรรับผิดชอบ จะอยู่หรือตายก็เป็นพี่สามที่ช่วยชีวิตเขาไว้”