4.ต่อรอง
หานซูอันยกยิ้ม เมื่อได้ฟังคำต่อรองจากสามีเจ้าของร่าง คนแบบนี้นางรักเข้าไปได้เยี่ยงไร เห็นแก่ตัวเป็นที่สุด แต่จะว่าไปก็เหมาะสมกันดีกับหานซูอันคนเก่า ดูจากสายตาผู้คนรวมถึงจวิ้นอ๋องที่มองมา นางคงเป็นสตรีที่ไม่เอาไหนเลย
แม้แต่ความทรงจำที่ตนได้รับ เห็นภาพทีไรยังต้องถอนหายใจทุกครั้ง นางเอาแต่แต่งตัวงาม ๆ เพื่อให้เถาอวี้หรานสนใจ เป็นที่เลื่องลือให้ผู้คนเอ่ยถึงไม่หยุดปาก
“ได้ แต่ท่านต้องเขียนสัญญาให้ข้าก่อนว่าจะหย่าแน่นอน ที่สำคัญข้าจะอยู่ที่นี่ไม่กลับจวนสกุลเถา หากอายเกรงคำครหาก็บอกทุกคนว่าข้าไว้ทุกข์ให้บิดา ต้องการอยู่ที่นี่ไปซักระยะ”
“ได้ แต่เจ้าต้องเก็บเรื่องราวสาเหตุที่บิดาเจ้าสิ้นให้สนิท ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน” อวี้หรานยังมิวายขู่ หากนางไม่ปากโป้ง เขาก็จะเมตตาปล่อยไป
แม้ว่าเรื่องทั้งหมดมันจะเกิดเพราะความโง่เขลาของนางเอง ทว่าในใจลึก ๆ เขาก็คิดว่าตนเองมีส่วนผิด ถ้านางไม่กล่าวโทษทำให้ผู้อื่นล่วงรู้สาเหตุการตายของหมอหลวงหาน เขาก็ยินดีจะปล่อยนางให้มีชีวิตอยู่ต่อ ทว่าผู้เป็นบิดาไม่ได้คิดเช่นนั้นน่ะสิ
หมอหลวงหานเป็นคนสำคัญของราชสำนัก ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยมาก หากรู้ว่าสาเหตุของการจากไปเป็นเพราะบุตรชายเขา หน้าที่การงานที่กำลังรุ่งโรจน์คงต้องหยุดชะงักลงแน่ ฉะนั้นช่วงเวลาที่ปล่อยให้นางไว้ทุกข์เขาจะกำจัดไปเสีย
“เอาเถิด พ่อเคารพการตัดสินใจของสะใภ้ อวี้หรานเองก็ทำไม่ดีกับเจ้า มันคงเป็นเรื่องยากที่จะกลับมาอยู่ด้วยกัน ทว่าหนึ่งปีต่อจากนี้ เจ้าสองคนต้องพยายามหันหน้าเข้าหากันนะ เจ้าเองก็ต้องปรับตัวรู้หรือไม่อวี้หราน ยามนี้น้องไม่มีใครแล้ว เรื่องไหนไม่ดีก็อย่าทำเข้าใจหรือไม่” แสร้งหันมาตำหนิบุตรตน
“ท่านพ่อ คนไม่ชอบจะให้ปรับตัวไปเพื่อการใด” เอ่ยอย่างไม่ไยดี จึงถูกผู้เป็นพ่อบิดเข้าที่เอวทันที ชายหนุ่มถึงกับหน้าเสีย ก่อนจะมองเปลือกตาบิดาที่กำลังขยับกะพริบขึ้นลง
ซูอันเห็นแล้วก็ลอบยิ้มหยัน ใต้เท้าเถาคงคิดว่านางรู้ไม่ทันสินะ คำพูดสวยหรูเหล่านี้เขาก็แค่พ่นออกมาเพื่อให้นางสบายใจ แล้วไม่เอ่ยเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้ใดเท่านั้น ทว่านางไม่รู้ถึงใจของอีกฝ่าย ซึ่งกำลังคิดเรื่องใหญ่มากกว่า
“ช่างเถิดเจ้าค่ะ ข้าเองก็ไม่รู้สึกอันใดกับบุรุษผู้นี้อีกแล้ว ความรักที่ข้ามีให้เขา มันคงสลายหายไปกับน้ำแล้วกระมัง ยามนี้จึงเหลือแค่ความเกลียดชังและขยะแขยง” เอ่ยแล้วก็เงยหน้ายิ้มอ่อน แต่ถ้ามองดูดีดีมันเหมือนกับนางยิ้มหยันเสียมากกว่า ทั้งที่ก่อนนั้นเคยตามตื๊อเขาจนได้มาครองในที่สุด ทว่า นั่นมันหานซูอันคนก่อน มิใช่ผู้ที่นั่งอยู่ในยามนี้ นางไม่มีเยื่อใยใดต่อเขา
เถาอวี้หรานยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะได้ยินถ้อยคำหยาบคายจากปากสตรีที่เคยเอ่ยวาจาเอาอกเอาใจตน ราวกับคนตรงหน้ามิใช่หานซูอันเสียอย่างนั้น
แม้แต่ใต้เท้าเถาผู้เป็นบิดาก็ยังยืนอึ้งไม่แพ้กัน
“ในเมื่อทำความเข้าใจกันแล้ว ท่านทั้งสองก็กลับไปเถิดเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะอยู่ที่นี่นับแต่บัดนี้ไป” เอ่ยโดยไม่มองหน้า นางหันกลับมาเผากระดาษต่อ มิได้สนใจผู้ที่ยืนมองเลยสักนิด
“เช่นนั้นพ่อก็ขอตัวกลับก่อน” ใต้เท้าเถาเอ่ยเสียงเรียบ ในเมื่อสะใภ้ไม่เห็นหัว เขาก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
“ว่านชิงไปส่งคนสกุลเถาแทนข้าที” หันมาเอ่ยกับสาวใช้ข้างกายที่กำลังมึนงงสับสนกับหลายอย่างที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะท่าทางเย็นชาของผู้เป็นนาย หากเป็นแต่ก่อน หานซูอันคงอ้อนวอนขอให้เถาอวี้หรานอยู่เป็นเพื่อน ทว่าครานี้กลับไล่ไม่ใยดี
สองพ่อลูกมองสตรีที่นั่งเผากระดาษเงินด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะเถาอวี้หราน เขาเดินออกมาพร้อมกับครุ่นคิดถึงคำพูดและการกระทำที่เปลี่ยนออกไปของหานซูอัน นางไม่น่าเปลี่ยนไปมากมายถึงเพียงนี้เลย เขาหยุดสองเท้าลงเมื่อเดินออกมานอกเรือนแล้ว “ลูกจะอยู่ที่นี่ ท่านพ่อกลับไปก่อน”
ใต้เท้าเถามองหน้าค้นหาคำตอบจากคำพูดบุตรชาย ทว่าไม่นานเขาก็กระจ่างใจ คิดว่าอวี้หรานคงไม่อยากให้ผู้คนครหาเป็นแน่ ก็ดี อย่างน้อยคนของท่านอ๋องที่เฝ้าอยู่ด้านนอกจะได้กลับไปรายงานเจ้านาย ว่าพวกเขาไม่ได้ทอดทิ้งนางไว้ลำพัง
“อืม เช่นนั้นพ่อไปล่ะ” ยกมือขึ้นตบไหล่บุตรแล้วก็เดินออกไป อวี้หรานมองตามบิดาจนลับตา เขาก็เดินกลับมาที่ห้องทำพิธีซึ่งหานซูอันก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม
นางเหลือบมองด้วยหางตาเล็กน้อย เสียงฝีเท้าหนักนี้หญิงสาวเริ่มคุ้นเคยบ้างแล้ว จึงแสร้งทำเป็นไม่สนใจ อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นไรต่อจากนี้ ทว่าจนแล้วจนรอด เถาอวี้หรานก็เพียงแต่นั่งมองนางเผากระดาษโดยไม่เอ่ยอันใดตลอดทั้งคืน
ซึ่งเขาก็ทำอยู่เช่นนี้จนกระทั่งครบสามวัน เพื่อสังเกตท่าทางของหานซูอันที่ดูประหลาดขึ้นทุกที นางไม่แม้แต่จะหันมาพูดคุยกับเขา และที่สำคัญคือไม่มองหน้าสักนิด ทำเหมือนสามีไม่ได้อยู่ภายในห้องด้วย จนอวี้หรานเริ่มรู้สึกเหมือนเขาไม่มีตัวตน สร้างความฉงนให้มากขึ้นไปอีก
วันพรุ่งร่างไร้วิญญาณของหมอหลวงหานต้องถูกแห่ออกไปฝังที่สุสานนอกเมืองหลวง เขาเองก็ต้องเดินทางไปส่งด้วยเช่นกัน เพื่อให้ชาวเมืองได้เห็นว่าสกุลเถาไม่ได้ทอดทิ้งนาง
ทว่าสามวันมานี้ ใจเขากลับเกิดความสับสนปนอยากรู้ขึ้นมา หานซูอันเปลี่ยนไปมาก ไม่มีท่าทางของคนที่เอาแต่ใจ พ่อบ้านแนะนำสิ่งใดนางก็ทำ ผู้อาวุโสในราชสำนักมาก็ต้อนรับขับสู้อย่างดี ท่าทีก็อ่อนน้อมกว่าแต่ก่อน วาจาไพเราะเสนาะหู แต่ส่วนมากนางจะเอ่ยกับผู้อื่น มิใช่เขา
“คุณหนู ดึกแล้วกลับไปพักเถิดเจ้าค่ะ” ว่านชิงประคองผู้เป็นนายให้ลุกขึ้น หลังจากนั่งอยู่เช่นนี้มาค่อนคืนแล้ว
“ข้าขอนั่งต่ออีกสักนิดนะ ถ้าเจ้าง่วงก็ไปนอนก่อนเถอะ” เผยยิ้มอ่อนโยนให้สาวใช้ที่ตาปรืออย่างน่าสงสาร
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าจะอยู่กับท่าน” ว่าแล้วก็ขยับย่อตัวนั่งลง ทว่านั่งอยู่ได้ไม่นาน หญิงสาววัยสิบหกก็เอนตัวลงนอนข้างผู้เป็นนาย เพราะว่านชิงเหน็ดเหนื่อยจนฝืนร่างกายไม่ไหวแล้ว
ต่างจากคนที่เคยฝึกมาตั้งแต่เด็ก แม้ยามนี้จะอยู่ในร่างกายใหม่ ทว่าซูอันก็ยังมีความสามารถนี้อยู่ นางไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิดที่ต้องนอนไม่เต็มอิ่มติดกันหลายคืน
อวี้หรานมองฮูหยินของตน สุดท้ายความสงสัยก็นำพาให้เขาเดินมานั่งลงข้างนาง มือก็หยิบกระดาษมาช่วยเผา หากเป็นแต่ก่อนนางคงเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้แล้ว ทว่านี่กลับนิ่ง ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนเสียอย่างนั้น
“ดึกมากแล้วเจ้าควรไปพัก” น้ำเสียงเขาราบเรียบเหมือนแววตาที่มองฮูหยินตนในยามนี้ ใจหนึ่งเขาก็รู้สึกสงสาร ในภายหน้าหานซูอันไม่เหลือใครอีกแล้ว ทว่าความเห็นแก่ตัวและนิสัยเอาแต่ใจของนางมันก็ทำให้เขาไม่อาจรับได้จริง ๆ
ซูอันเงยหน้ามองเขา แววตาว่างเปล่านี้ทำผู้เป็นสามีอดใจหายไม่ได้ หรือนางกำลังโทษเขากันนะ “เจ้าค่ะ” เสียงตอบดังมาแผ่วเบา ก่อนที่ร่างเล็กจะหันไปปลุกสาวใช้ที่นอนข้างกาย เมื่อว่านชิงสะลึมสะลือตื่นขึ้น แขนเล็กก็รั้งพาเดินออกไป
หานซูอันไม่ได้เอ่ยอันใดอีก และไม่หันกลับมามองสามีแม้แต่น้อย ผู้ที่นั่งอยู่ถึงกับมึนงงเมื่อเห็นนางเชื่อฟังดีเหลือเกิน
“หากแต่ก่อนเจ้าว่าง่ายและอ่อนน้อมเช่นนี้ก็ดี” เขาพึมพำตามหลังสตรีที่แม้แต่พูดด้วยเขายังไม่อยากจะทำเลย
หานซูอันสำหรับเถาอวี้หราน นางก็แค่สตรีขี้อิจฉา เขาไปที่ใดนางก็ไปก่อกวน แม้แต่ทำงานก็ไม่เว้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกรังเกียจนางมาก ทว่ายามนี้สตรีที่เคยไล่ตามเขา กลับไม่สนใจไยดี ไม่คิดแม้แต่จะมองหน้า หรือความเจ็บปวดที่ได้รับ มันมากจนทำให้นางถอดใจจากเขากันนะ
นึกมาถึงตรงนี้ แววตาสีดำขลับก็หม่นลง
#งงล่ะสิ ลูกสาวฉันไม่สนใจ