5. หานซูอันมีวิชา
สายของวันใหม่
ร่างไร้วิญญาณของหมอหลวงหานได้ถูกเคลื่อนออกจากเรือน ยังความโศกเศร้ามาให้แก่ชาวเมืองที่มาร่วมไว้อาลัยตลอดเส้นทาง บ้างก็มาเพราะอยากรู้ว่าบุตรสาวคนเดียวของหมอหลวงหานจะมีท่าทีเช่นใด เพราะตลอดสี่วันที่ผ่านมา ข่าวขอหย่าของนางได้แพร่สะพัดออกไปทั่วเมืองแล้ว จึงทำให้ผู้คนสนใจและอยากรู้เป็นจำนวนมาก พวกเขาจึงมาเฝ้าดูเช่นนี้
เสียงซุบซิบเริ่มดังมา มีทั้งดีและไม่ดี บ้างก็ชื่นชมความดีของหมอหลวงหาน บ้างก็กล่าวถึงสตรีที่เดินก้มหน้าอยู่ข้างรถลากโลงศพ ไม่มีใครเห็นใบหน้าและแววตานางชัดเจน เพราะหานซูอันดึงผ้าคลุมหัวลงมาเกือบครึ่ง และท่าทางสงบมาก
“เป็นนางแน่หรือ” ตู้หรง คนสนิทจวิ้นอ๋องเอ่ยกับสหาย พวกเขายืนมองอยู่ที่หน้าประตูเมือง ตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ที่ให้มาส่งและตรวจตราความเรียบร้อยในการฝังร่างท่านหมอ
“หึหึ เจ้านี่นะ คนโศกเศร้าก็ไม่เว้น”
“ก็มันจริง ปกติหานซูอันเอาแต่ใจตน นางไม่มีทางมาเดินไว้อาลัยบิดาเช่นนี้หรอก” คำปรามาสเปล่งออกมาจากปากของ องครักษ์หนุ่มหน้าตาดี เพราะเขาไม่ชอบสตรีผู้นี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยามพวกเขาไปที่จวนสกุลหาน นางจะวางอำนาจใส่เสมอ
พูดจาก็ไม่น่าฟัง มารยาทก็ไม่มี ดีแต่ดูถูกผู้อื่นว่าต้อยต่ำกว่า ทั้งที่ตนก็ไม่ได้สูงส่งอันใดนัก หากไม่มีชื่อเสียงของบิดาคุ้มหัว เชื่อว่าไม่มีใครอยากเสวนาด้วยเป็นแน่
เสียงพูดคุยจบลงเมื่อขบวนเริ่มเคลื่อนผ่านมาถึงหน้าประตู องครักษ์หนุ่มจึงสั่งทหารเปิดทางให้ ผู้คนที่กำลังเข้าออกเมืองก็ยืนรอเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้วายชนม์ ทว่าบุตรสาวคนเดียวของหมอหลวงหานกลับหยุดลง ก่อนจะหันมาหาองครักษ์ที่ยืนอยู่
นางเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งคู่แล้วเอ่ยออกมาเสียงเรียบ
“ชายสองคนด้านหลังสุดไม่ใช่คนของข้า” นางกล่าวเท่านั้นก็เดินจากไป สร้างความฉงนแก่องครักษ์ทั้งสองเป็นอย่างมาก
ทั้งคู่ไม่ได้หันไปมองในทันที เพียงแต่แสร้งยืนรอเพื่อปิดท้ายขบวน ซึ่งมันทำให้ผู้ที่แฝงตัวมาไม่ได้สงสัยอันใด
“ข้าชอบความคิดพี่สามจริง ๆ ไม่มีใครสงสัยเราเลย”
“หึหึ ง่ายใช่หรือไม่ ต้องขอบคุณหมอหลวงหานที่มาตายในช่วงนี้ เราจึงแอบแฝงตัวไปกับขบวนได้โดยง่าย ใช้บารมีพวกคนใหญ่คนโตนี่แหละหลบหนี ไม่มีใครคาดถึงแน่ เอาไว้หากมีโอกาสผ่านสุสาน ข้าจะเอาสุราดีมาเซ่นไหว้แล้วกัน” เอ่ยอย่างกระหยิ่มใจ ก่อนจะเดินก้มหน้ากันต่อ ทำทีโศกเศร้าเหมือนคนอื่น ๆ เมื่อต้องผ่านกลุ่มทหารรักษาเมืองที่หน้าประตู ซึ่งมันก็ได้ผลจริง ๆ ไม่มีใครสังเกตหรือจับผิดทั้งคู่เลย เพราะนึกไม่ถึงว่าจะมีคนร้ายแฝงตัวอยู่ในขบวนนั่นเอง กระทั่งออกมาพ้นประตูเมือง ซึ่งทำให้ทั้งคู่นึกโล่งใจขึ้นมาก เพราะคิดว่าตนหนีพ้นแล้ว
ทว่าพอหันกลับมา ก็พบว่ามีคนของทางการนับสิบตามอยู่ด้านหลังแล้ว มือสังหารจึงไม่รีรอรีบวิ่งหนีตรงไปข้างหน้าทันที เพราะคนที่ตามมาคือหัวหน้าหน่วยตรวจการ ที่พึ่งประมือกันไปเมื่อคืนก่อน จนคนของเขาต้องตายไป แน่นอนว่าอีกฝ่ายจำเขาได้แน่ ขืนแสร้งทำเป็นคนของจวนสกุลหานต่อมีหวังได้หนีไม่รอด
เสียงเอะอะจากด้านหลัง ทำให้ขบวนต้องหยุดลง พร้อมกับหันกลับมาดูว่าเกิดอันใดขึ้น บรรดาบ่าวไพร่เมื่อเห็นชายฉกรรจ์สองคนวิ่งตรงมาพร้อมอาวุธก็รีบหาที่หลบ ต่างจากคุณหนูหานที่ยังยืนอยู่ที่เดิม และมองคนร้ายสองคนวิ่งตรงเข้ามาหาตนอย่างไม่ตื่นกลัว นางไม่หลบไม่ขยับแม้แต่น้อย
“คุณหนูหนีเจ้าค่ะ” ว่านชิงตระโกนเสียงดังเตือนสติผู้เป็นนาย เพราะเข้าใจว่าหานซูอันคงกลัวจนก้าวขาไม่ออก ตัวนางก็ถูกสาวใช้อีกคนลากมา จึงต้องอยู่คนละทิศละทางกับผู้เป็นนาย
หานซูอันไม่ได้ทำตามที่อีกฝ่ายบอก นางไม่จำเป็นต้องกลัวบุรุษร่างโตพวกนี้ เพราะตนมิใช่หานซูอันคนเก่า
ชายฉกรรจ์วิ่งตรงเข้ามาหา พร้อมกับชักอาวุธหมายจะจับนางเป็นตัวประกัน ทว่าพุ่งมายังไม่ทันถึงตัว สตรีที่ถูกมองว่าอ่อนแอ ก็เอียงตัวไปข้างหน้าดีดปลายเท้าตีวงมาจากด้านหลัง ฟาดปะทะเข้าที่หัวอีกฝ่ายด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย ทว่าน้ำหนักที่กระทบเข้าไปนั้น กลับทำให้คนร้ายหงายหลังกองกับพื้นทันที
ผู้ร้ายอีกคนยืนมองด้วยความมึนงง พอตั้งสติได้มันก็ง้างดาบหมายจะจัดการผู้ที่ทำให้พี่ใหญ่ของตนเสียท่าลงไปกองกับพื้น ทว่าเพียงแค่ก้าวตรงมาหานางบางสิ่งก็พุ่งทะลุอกเสียแล้ว ทำให้ร่างสูงนั้นทรุดลงกับพื้นคุกเข่าตรงหน้านางทันที
ซูอันเงยหน้าขึ้นไปมองผู้ที่ยืนอยู่บนฝั่งกำแพง จุดที่คมศรพุ่งมา นางคือนักแม่นปืนจึงรู้ทิศทางการยิงเป็นอย่างดี ท่าทางสง่างามนั้น แม้เห็นเขาเพียงแค่ครั้งเดียวนางก็จำได้
“เอาตัวพวกมันไป” เสียงสั่งการของหัวหน้าหน่วยดังขึ้น คนร้ายที่ถูกฝ่าเท้าหานซูอันจึงถูกหิ้วแขนออกไป ไม่ต่างจากสหายที่ยามนี้ขาดใจตายไปแล้ว เพราะคมธนูพุ่งปักกลางใจ
“ทำคุณหนูหานตกใจแล้ว พวกมันคือคนร้ายที่หนีการจับกุมมาตั้งแต่เมื่อคืน ขอบคุณที่ท่านแจ้งเบาะแส”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวนะเจ้าคะ” กล่าวแล้วนางก็โค้งให้อย่างมีมารยาท ก่อนจะเหลือบมองไปด้านบนอีก และคนผู้นั้นก็ยังยืนอยู่ที่เดิมในมือก็ยังถือคันธนูอยู่
ทว่าพอหันกลับมาก็พบกับสามีเจ้าของร่างยืนอึ้งไม่พูดจา แล้วเมื่อครู่เขาไปอยู่ที่ไหน ต่อให้ไม่รักเขาก็ควรปกป้องตามหน้าที่สิ นี่อะไร หายหัวไปราวกับว่าไม่ได้อยู่ในขบวน
“เสียใจด้วยนะ ข้ายังไม่ตาย” เอ่ยเพียงเท่านั้นนางก็เดินไปหยุดข้างรถลากเช่นเดิม ก่อนจะออกคำสั่งให้เดินทางต่อ ทิ้งให้สามียืนมึนงงกับเหตุการณ์เมื่อครู่รวมถึงท่าทางของนางด้วย
อวี้หรานมองตามร่างเล็กที่ไม่มีอาการตื่นกลัวแม้แต่น้อยด้วยความสงสัย ซึ่งมันไม่ใช่แค่เขาหรอกที่คิดเช่นนี้ คงมีอีกหลายคนที่ตั้งคำถามอยู่ในใจเช่นกัน รวมถึงผู้ที่ยืนอยู่บนกำแพง ภาพที่เห็นมันไม่น่าเป็นไปได้เลย หานซูอันมีวิชาต่อสู้ติดตัวงั้นหรือ
ความฉงนเกิดขึ้นในใจของใครหลาย ๆ คน
“ข้าไม่ยักกะรู้ว่านางรู้ทักษะเช่นนี้” เหยียนซีหนานเอ่ย
“หลานก็พึ่งรู้พ่ะย่ะค่ะเสด็จอา อวี้หรานเคยเล่าให้ฟังว่านางเป็นสตรีที่เอาแต่ใจ ไม่เคยใฝ่รู้เรื่องใดเลย นอกจากแต่งกายงามไปวัน ๆ แต่เหตุไฉนหานซูอันจึงจัดการบุรุษร่างสูงได้ในคราวเดียว รวดเร็วและคล่องแคล่ว ราวกับฝึกมาหลายปีเลยพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสี่เหยียนมู่ฟานเอ่ยในสิ่งที่ได้ยินมา ครั้งที่สหายตนมักจะมาปรับทุกข์ ก่อนจะแต่งหานซูอันเป็นฮูหยิน
นัยน์ตาคมของจวิ้นอ๋องหรี่ลงเล็กน้อย เรื่องเหล่านี้เขารู้อยู่แล้ว เพราะมักไปที่จวนสกุลหานบ่อย ๆ เพียงแต่เขาไม่ค่อยได้พบหานซูอันเท่าใดนัก นางมักเก็บตัว จะออกไปก็ต่อเมื่อได้ยินข่าวของเถาอวี้หรานเท่านั้น เรียกง่าย ๆ ก็คือตามแต่ผู้ชายที่ชอบ
จากนี้เขาคงปล่อยผ่านไม่ได้แล้ว เพราะนางได้ทำแผนของคนร้ายที่คิดจะหนีออกนอกเมืองพัง คนกลุ่มนี้มีพี่น้องมากมายในสำนัก ภายหน้าต้องมาเอาคืนหานซูอันเป็นแน่
“ข้าจะไปส่งหมอหลวงหานเป็นครั้งสุดท้าย หากเจ้าอยากไปก็หาม้าเอาเอง” ผู้เป็นอาเอ่ยโดยไม่ไยดี ก่อนจะส่งคันธนูให้คนสนิท จากนั้นก็เดินนำคนของตนลงมาจากกำแพง
เหยียนมู่ฟานจึงต้องรีบสั่งคนของตนให้จัดการ เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้น มันทำให้เขาเกิดสนใจมาก ยิ่งไปกว่านั้นการตายของหมอหลวงหาน เขาเองก็เป็นสาเหตุหนึ่ง จึงอยากไปเคารพศพผู้วายชนม์เป็นครั้งสุดท้าย และขอขมาด้วย
ซึ่งเรื่องนี้ เขาไม่กล้าบอกใครเลย แม้แต่หน้าหานซูอันเขาก็ยังไม่ค่อยกล้ามอง เพราะรู้สึกผิดอยู่ในใจนั่นเอง
#งงกันล่ะสิ อิอิ